บทความ
รถวิเศษในบางกอก
เก๊ง...เก๊ง เก๊ง...เก๊ง เสียงนี้คนกรุงเทพ ฯ ยังคงจำได้ดีว่าเป็นเสียงระฆังของรถราง ซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้ มันก็ยังวิ่งอยู่ในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงครามรถรางได้มีบทบาทในการเป็นพาหนะอย่างสำคัญของชาวกรุงตลอดมา จนกระทั่งทางราชการสั่งเลิกเพื่อให้การจราจรในกรุงเทพ ฯ คล่องตัวขึ้นเพราะเห็นว่ารถรางเป็นพาหนะที่ไม่เหมาะสมกับสภาพการจราจรในปัจจุบัน
เนื่องจากรถรางเป็นพาหนะที่สำคัญในสมัยก่อนดังกล่าวดังนั้นจึงขอเขียนประวัติรถรางไว้เป็นอนุสรณ์อีกเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะในชื่อเรื่อง "แตรมเว-รถวิเศษในบางกอก"
สมัยเมื่อเริ่มมีรถรางใหม่ๆ คนกรุงเทพ ฯ เรียกรถรางว่า "แตรมเว" หรือ "แทรมเว"ตามอย่างชาวต่างประเทศซึ่งเป็นผู้นำมาวิ่งเช่นเดียวกับที่เรียก "สถานี" ว่า "สเตชัน" หรือโทรเลขว่า "ตะแลปแกป"แต่ต่อมาก็พากันเรียกว่ารถราง จนกระทั่งบัดนี้
ตามประวัติได้ความว่า กรุงเทพ ฯ เริ่มมีรถรางวิ่งมาตั้งแต่ พศ. 2430 แต่รถรางที่ใช้วิ่งในครั้งนั้นเป็นรถรางที่ใช้ม้าลากพูดง่ายๆ ก็คือเป็นรถเทียมม้าที่วิ่งในรางนั่นเอง
สำหรับผู้ได้รับสัมปทาน ในการเดินรถรางครั้งแรกนี้ได้แก่นายจอน ลอฟตัส และนายเอ ดูเปลสิเดริเชอเลียวโดยวางรางวิ่งระหว่างพระบรมมหาราชวัง กับบางคอแหลม ตามเส้นทางสายเจริญกรุงแต่ต่อมาสัมปทานนี้ได้โอนให้แก่ บริษัทบางกอกแทรมเวส์คอมปานีลิมิเตด ซึ่งเป็นบริษัทของอังกฤษ
เท่าที่ผู้หลักผู้ใหญ่เล่าให้ฟังได้ความว่า รถรางคันหนึ่งๆ ต้องใช้ม้าลากถึง 4 ตัว โดยเทียมเป็น 2 คู่ เรียกว่าพวงหนึ่งแต่เวลาขึ้นสะพานต้องใช้ม้าอีกพวงหนึ่งเทียมเพิ่มด้วย เพราะลำพังม้าพวงเดียวลากตัวรถขึ้นสะพานไม่ไหวนอกจากนั้นจะต้องใช้ม้าผลัดเปลี่ยนเป็นระยะๆเพื่อให้ม้าได้พักผ่อนกินหญ้ากินน้ำตลอดทางตั้งแต่พระบรมมหาราชวังจนกระทั่งถึงบางคอแหลมด้วย
ปรากฎว่าการดำเนินงานของบริษัทนี้ชั่วระยะเวลาไม่กี่ปี ก็ต้องประสบกับการขาดทุนถึงกับล้มละลายเพราะรายได้ไม่คุ้มกับรายจ่าย เนื่องจากเก็บค่าโดยสารแพงจึงทำให้ประชาชนไม่ขึ้นรถรางและประกอบกับต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อม้า เลี้ยงม้าจิปาถะ จึงเป็นเหตุให้บริษัทต้องขาดทุนย่อยยับทุกปี
หลังจากที่บริษัทแทรมเวส์ ฯ เลิกกิจการเดินรถรางด้วยม้าแล้ว ก็ได้โอนสัมปทานให้กับบริษัทเดนมาร์ค เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พศ. 2435
พอบริษัทเดนมาร์ค ฯ ได้รับสัมปทานต่อมา จึงได้จัดการเดินรถรางในระบบใหม่ คือใช้เดินด้วยกำลังไฟฟ้าซึ่งนับเป็นการเดินรถรางด้วยไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในภูมิภาคนี้ หรือเกือบจะพูดได้ว่าเป็นประเทศแรกๆ ในโลกด้วยซ้ำไปเพราะปรากฏว่าแม้แต่ยุโรปในเวลานั้น บางประเทศก็ยังไม่มีรถรางไฟฟ้าใช้กันเลย
บริษัทเดนมาร์ค ฯ ได้ทำการก่อสร้างราง และสร้างรถรางไฟฟ้าเสร็จเปิดใช้วิ่งได้ในราวเดือนพฤษภาคม พศ. 2437 ทั้งนี้ได้ยังความตื่นเต้นให้กับชาวไทยและชาวต่างประเทศในเมืองไทยเป็นอันมาก
เนื่องจากรถรางไฟฟ้าของบริษัทนี้ วิ่งไปด้วยเครื่องยนต์กลไกค่าโดยสารก็ย่อมเยาและแถมวิ่งได้เร็วทันอกทันใจอีกด้วย จึงทำให้มีคนอุดหนุนพากันขึ้นโดยสารเป็นประจำสำหรับคนที่ขึ้นรถรางเองก็รู้สึกว่าตัวเป็นคนทันสมัยขึ้น
บริษัทนี้ดำเนินกิจการเดินรถรางมาหลายปี จนถึง พศ. 2443 จึงได้เข้าร่วมกับบริษัทอีเลกตริกซิตี คอมปานีลิมิเตดซึ่งบริษัทนี้ก็ได้รับโอนสัมปทานเดินรถรางสายสามเสนมาจากนายแอล เดอริเชอเลียว และนายอ๊อก เวสเตนโฮลส์อีกสายหนึ่งด้วย แต่รถรางสายสามเสนนี้ได้เปิดใช้การเมื่อ พศ. 2444
เมื่อมารวมกับบริษัทอีเลกตริกซิตี คอมปานีลิมิเตด ได้เพียงปีเดียวในที่สุดสัมปทานเดินรถรางดังกล่าวก็ตกมาอยู่กับบริษัท ไฟฟ้าสยาม จำกัด (ไซแอมอีเลกตริกซิตี คอมปานีลิมิเตด)ซึ่งเป็นบริษัทของชาวเดนมาร์คตั้งขึ้นในกรุงโคเปนเฮเกน
บริษัทไฟฟ้าสยาม ฯ นี้นอกจากจะได้รับสัมปทานเดินรถรางไฟฟ้าแล้วยังได้รับสัมปทานให้จำหน่ายกระแสไฟฟ้าในกรุงเทพ ฯ อีกด้วย
เมื่อสัมปทานการเดินรถราง ตกมาอยู่กับบริษัทไฟฟ้าสยาม ฯ แล้ว ทางบริษัทก็ได้รื้อเครื่องจักรต่างๆของโรงไฟฟ้าบริษัทรถรางทั้งหมด ไปตั้งใหม่ในบริเวณวัดราชบูรณะ (วัดเลียบ)
เนื่องจากเห็นว่าบริษัทฝรั่งดำเนินกิจการรถรางได้กำไรเป็นผลดี ใน พศ. 2448จึงได้เกิดมีบริษัทรถรางไฟฟ้าขึ้นมาใหม่อีกบริษัทหนึ่ง ถือหุ้นโดยเจ้านาย และข้าราชการบรรดาศักดิ์หลายท่านบริษัทนี้มีชื่อว่า "บริษัทรถรางไทย ท.จ.ก." (ไซมิส แทรมเวส์ คอมปานีลิมิเตด) บริษัทรถรางไทย ฯได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พศ. 2448 ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดที่โรงพิธีของบริษัทใต้วัดราชาธิวาส ซึ่งพระองค์มีพระราชดำรัสถึงเรื่องรถรางว่า
"ดูกรนายก (กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์) แลกรรมการ เป็นที่พึงใจของเรามากที่ท่านทั้งหลายได้เชิญเราให้มาทำการสิทธิกรรมของรถรางสายนี้ ในข้อต้นเราย่อมเห็นอยู่ว่ารถรางเป็นเครื่องสำเร็จประโยชน์แก่มหาชนในพระนครของเรา ด้วยกระทำให้การไปมาในที่ไกลเป็นการง่ายอีกประการหนึ่งบริษัทนี้ได้ตั้งขึ้นโดยคนไทย ทั้งมีความยากลำบากซึ่งจะต้องข้ามล่วง ได้ข้ามล่วงลุแล้วถึงเวลาที่จะได้เปิดใช้ในกำหนดวันเร็วไม่เคลื่อนคลาด น่าชมความฉลาดแลความพยายามของผู้ที่จัดการให้สำเร็จได้เรามีความปรารถนาที่จะใคร่ได้เห็นคนของเรา กระทำการอันเกิดประโยชน์เจริญโภคทรัพย์ในเมืองเราซึ่งควรจะเป็นของเราให้ทวีแพร่หลายยิ่งขึ้นโดยเร็ว ความลำบากที่บริษัทนี้ได้รับแลความสำเร็จที่ได้เป็นไปในวันนี้จะเป็นตัวอย่างอันดีให้ชนชาวเราทั้งหลายคิดอ่านการงานหาผลประโยชน์สืบไปด้วยความคิดอันรอบคอบแลมั่นคงขึ้นอีก ทั้งจะมั่นใจในการที่เห็นผลสำเร็จ เพื่อการดำเนินไปได้สะดวกดี ก็จะมีผู้คิดการงานใหญ่กว้างขึ้นความบริบูรณ์จะพึงมีแก่ชาวเราทั้งหลายเหมือนชนในประเทศอื่น เราขออำนวยพรให้บริษัท รถรางไทยทุน จำกัดเจริญประโยชน์ตั้งมั่นถาวรสืบไป"
บริษัทรถรางไทย ฯ ดังกล่าวได้รับสัมปทานให้วิ่งรถรางสายรอบเมืองหรือที่เรียกว่าสายดุสิตแต่ราษฎรเรียกรถรางสายนี้ว่า รถรางสายแดง เพราะเหตุว่าตัวรถทาสีแดง ส่วนรถรางของบริษัทไฟฟ้าสยาม ฯ ตัวรถทาสีเหลือง ราษฎรจึงเรียกว่ารถรางสายเหลือง
(อ่านต่อฉบับหน้า)
เรื่องโดย : เทพชู ทับทอง
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2545
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51166