สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
อัจฉรินทร์ สารสาส
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เกิดขึ้นจากการรวมตัวของบริษัทผู้ประกอบการรถยนต์ภายในประเทศจัดตั้งขึ้นเป็นกลุ่มหนึ่งใน 29 กลุ่มของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงมีบทบาทอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจยานยนต์ในประเทศไทย โดยเฉพาะในการเข้าร่วมกับภาครัฐบาลกำหนดนโยบายที่เป็นพื้นฐานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์มาโดยตลอด 26 ปี
"ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ อัจฉรินทร์ สารสาส ประธาน กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ คนใหม่ ที่เข้ามาแทน นินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคนเก่าซึ่งเพิ่งหมดวาระไป
นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ยังมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ และสถาบันยานยนต์ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ ให้แข่งขันได้ในระดับนานาชาติ
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่าเพราะเหตุใดจึงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธาน กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ?
อัจฉรินทร์ : ผมคลุกคลีอยู่กับสภาอุตสาหกรรม ฯ ตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนปี 2530 เคยปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์มาหลายสมัยทำให้ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกจึงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธาน กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่าตำแหน่งที่ได้รับจะหนักเกินไปหรือไม่ เพราะต้องรับผิดชอบพร้อมกับงานที่ บริษัท สยามนิสสัน ออโต้โมบิล ?
อัจฉรินทร์ : ไม่หนักจนเกินไป เพราะที่ผ่านมาก็ทำงานในด้านนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ทำเลยจะอึดอัดมากกว่า จะว่าไปแล้วผมอยู่ในวงการยานยนต์ตั้งแต่เรียนจบ
ฟอร์มูลา : มุมมองอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นอย่างไร ?
อัจฉรินทร์ : ถ้าให้มองตอนนี้ประเทศไทยเป็นดีทรอยท์ตะวันออกไปแล้ว หากแบ่งโลกออกเป็น 4 ซีก อเมริกา ยุโรปจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะนี้เกือบทุกบริษัทก็ย้ายฐานการผลิตมาไทยกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอีซูซุ/มิตซูบิชิ/โตโยตา/ฮอนดา/ฟอร์ด และมาซดา ภาระของประเทศ ก็คือต้องพยายามให้บริษัทเหล่านี้อยู่ที่นี่ตลอดไปจะว่าไปแล้วก็คือทำอย่างไรให้เขาอยู่กับเรานานแสนนาน
ดังนั้นเพื่อให้บริษัทแม่ที่เข้ามาลงทุนอยู่กับประเทศไทยตลอดไป เราจะต้องมีการดูแลใน 3 ประเด็น คือ 1.ปัจจัยพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ ถนน น้ำ ไฟ ต้องมีความพร้อม และสามารถให้การบริการได้ทันต่อการขยายตัว 2.กฎข้อบังคับต่างๆ ต้องมีความรัดกุม ง่าย สะดวก เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนอยู่นานๆ 3. บุคลากรจุดนี้เป็นสิ่งที่จะต้องดูแลอย่างมาก เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเคยชินกับวินัยในโรงงานอุตสาหกรรมจึงจำเป็นต้องสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น เพื่อให้นักลงทุนเกิดความไว้วางใจ มั่นใจในการเข้ามาลงทุนวิสัยทัศน์ของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นมุ่งมั่นใช้การผลิตและประกอบยานยนต์ในไทยให้ทั่วโลกยอมรับว่าอยู่ในมาตรฐานระดับโลกซึ่งตอนนี้เราก็เป็นอยู่แล้ว แต่จะต้องรักษามาตรฐานนั้นไว้ ซึ่งหากมองให้ลึกลงไปกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นตัวเชื่อมโยงธุรกิจยานยนต์กับอีกหลายธุรกิจร่วมกัน
ฟอร์มูลา : คุณจะพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไปในทิศทางใดบ้าง ?
อัจฉรินทร์ : ผมได้เปลี่ยนวิธีการทำงาน จากแบบรับเป็นรุก โดยแบ่งกลุ่มการทำงานออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มดูแลด้านภาษีอากรและระเบียบปฏิบัติ โดยจะมีคณะทำงานดูแลในเรื่องนี้โดยเฉพาะเพื่อเชื่อมโยงกับทางราชการ 2. กลุ่มข้อมูลและตัวเลข ในจุดนี้นับว่าประเทศไทยยังมีจุดอ่อนในเรื่องของข้อมูลตัวเลขซึ่งหลังจากนี้จะมีความชัดเจน ทันเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่น หากต้องการดูยอดกาผลิตรถยนต์ จักรยานยนต์การส่งออก ทั้งหมดต้องสรุปได้ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไปและเมื่อทราบยอดแล้วก็ต้องมีการประมาณการของเดือนนั้น และรู้ล่วงหน้าประมาณการ 3 เดือน 3.ดูแลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น WTO อาฟตา และ 4. คณะทำงานด้านวิชาการ
นอกจากนี้ก็จะเน้นที่แนวทางการปฏิบัติ โดยเน้นที่จรรยาบรรณมาก ต้องยึดมั่นในจรรยาบรรณโดยรับผิดชอบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ต่อสิ่งแวดล้อม การให้ข้อมูลต่อหน่วยงานราชการในการแข่งขันทางธุรกิจ ต่อผู้บริโภค และการใช้แรงงาน รวมถึงการรับผิดชอบต่อสังคม
สำหรับกลยุทธ์ที่จะใช้ในการทำงานนั้น ประกอบด้วย การตอบสนองนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนแข็งแรงขึ้น ประสานงานกับสมาชิกและหน่วยงานราชการและพัฒนาคนด้วยการให้การสนับสนุนสถาบันยานยนต์เต็มที่ เพื่อให้มีผลทางรูปธรรม
สำหรับการพัฒนาเพื่อให้เกินขีดความสามารถในการแข่งขันได้นั้น ปัจจุบันบริษัทแม่ได้เข้ามาหมดแล้วจึงไม่น่ามีปัญหาด้านเทคโนโลยี จะมีก็แต่เพียงว่าต้องสร้างการตอบสนองให้ได้
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มีจุดอ่อนที่ใดบ้าง และควรได้รับการแก้ไข อย่างไร ?
อัจฉรินทร์ : ผมคิดว่าควรให้ความสนใจต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนของเราอย่างมาก ปัจจุบันผู้ผลิตชิ้นส่วนสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ เจ้าของผลิตภัณฑ์มาลงทุนและดำเนินการทั้งหมดเจ้าของผลิตภัณฑ์มาร่วมลงทุนกับนักลงทุนชาวไทย และกลุ่มสุดท้าย ที่ควรให้ความสนใจ คือ กลุ่มที่เป็นไทย 100 %
อย่างไรก็ตามผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศไทยในปัจจุบันจึงถือได้ว่าเป็นจุดแข็งไม่ใช่จุดอ่อนแต่หากมองไปในอนาคตก็น่าเป็นห่วง
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่าไทยควรจะเตรียมพร้อมรับการลงทุนของบรรดาบริษัทผู้ผลิตอย่างไร ?
อัจฉรินทร์ : การที่บริษัทแม่เข้ามาลงทุนเองเราต้องคอยติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่าเราได้อะไรจากเขาและเขาได้อะไรจากเรา เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและยุติธรรม
ฟอร์มูลา : การเข้ามาลงทุนของต่างประเทศจะทำให้บริษัทไทยสูญเสียโอกาสหรือไม่ ?
อัจฉรินทร์ : คงพูดอะไรไม่ได้ เพราะปัจจุบัน ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจเปิดที่เชื้อเชิญให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนถ้าบริษัทไหนกลัวเสียโอกาสก็ต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมาสู้กับเขาในกติกาเดียวกันให้ได้
ฟอร์มูลา : การพัฒนาแผนงานของคุณจะมีทิศทางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อยเพียงใด ?
อัจฉรินทร์ : หลังจากเข้ารับตำแหน่ง การแก้ไขแผนงานหรือเปลี่ยนแปลงทิศทางคงไม่มี แต่อยากปลุกระดมไปเรื่อยๆให้ตัวแทนที่มานั่งทำงาน ถอดหมวกตัวแทนบริษัทออกเนื่องจากหากรักบริษัทมากเกินไปบางทีอาจจะมีส่วนร่วมในระดับชาติได้ไม่ดีนัก
โดยส่วนตัวแล้วทำไม่ยาก เพราะเคยทำงานด้านนี้มามาก แฟร์และเป็นกลางซึ่งขณะนี้ก็กำลังทำให้เกิดความเป็นกลางเพื่อให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติมากที่สุด
ฟอร์มูลา : อุตสาหกรรมรถยนต์จะเติบโตไปในทิศทางใด ปริมาณการขายต่อปีจะกลับไปเทียบเท่ากับการเติบโตสูงสุดในปี 2539 หรือไม่ ?
อัจฉรินทร์ : การผลิตรถยนต์นั้นจะมากหรือน้อยนั้นต้องดูเศรษฐกิจภายในประเทศและความเชื่อถือจากต่างประเทศจะเห็นได้ว่าในอดีตที่ผ่านมา เมื่อปี 2539 ตลาดรถยนต์ในประเทศเติบโตสูงเกือบ 600,000 คันแต่ในปัจจุบันตลาดลดลงเหลือ 320,000 คัน เฉพาะในประเทศ และส่งออกอีกประมาณ 170,000 คัน รวมเป็น490,000-500,000 คัน มองว่าตลาดในอนาคตนั้นเติบโตแน่ แต่ต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีต่อไปนี้จะทำอะไรก็ต้องเตรียมความพร้อมให้รอบคอบกว่าที่ผ่านมา เพราะถ้าไม่ระวังก็อาจจะผิดพลาดและส่งผลกระทบตามมาอีก ดังนั้นถ้าจะให้ครบ 600,000 คัน รวมส่งออกด้วยต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย
ฟอร์มูลา : คุณคิดอย่างไรกับเรื่องภาษีรถยนต์อัตราใหม่ที่กำลังพิจารณากันอยู่ในขณะนี้ ?
อัจฉรินทร์ : การปรับโครงสร้างภาษีของรัฐในครั้งนี้ยังไม่มีบทสรุปว่าจะเป็นอย่างไร ในตอนเริ่มต้น รัฐ ฯได้ออกข่าวความต้องการปรับโครงสร้างภาษีทั้งหมด กลุ่ม ฯ ได้ทำหนังสือขอเข้าพบอธิบดีกรมสรรพสามิตเพื่อขอความชัดเจน และอธิบดีได้กรุณาให้เข้าพบทันที แล้วอธิบายให้ชัดเจนว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ต้องการให้การจัดเก็บภาษีง่ายขึ้นเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น โดยไม่มีความประสงค์จะเพิ่มรายรับจากภาษีรถยนต์และหากพิจารณาเสร็จเป็นรูปเป็นร่าง แล้วก็จะเชิญภาคเอกชน มาปรึกษาหารือด้วยหลังจากนั้นทางกลุ่มก็ได้ตั้งคณะทำงาน เพื่อรองรับเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จนถึงวันนี้ ทางกรม ฯยังมิได้เรียกคณะทำงานเพื่อปรึกษาหารือแต่อย่างไร
ฟอร์มูลา : ในความเห็นของคุณ ซิทีคาร์ เหมาะสมกับประเทศไทยหรือไม่ ?
อัจฉรินทร์ : เรื่อง ซิทีคาร์ นั้น มองได้หลายด้าน แต่โดยทั่วไปแล้วมองเห็นว่า ประเทศไทยให้อิสระในการเลือกใช้รถเล็กจะขายได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมหลายประการแต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่าลูกค้าคนไทยยังไม่ให้ความสนใจ ซิทีคาร์ มากนัก
ฟอร์มูลา : หลังจากเข้ารับตำแหน่งคุณได้ดำเนินการอะไรไปบ้างแล้ว จะเห็นผลเมื่อไร ?
อัจฉรินทร์ : 1. จัดองค์กร แบ่งแยกความรับผิดชอบเป็น 4 คณะทำงาน 2.สร้างภาพพจน์ของกลุ่มให้สื่อเพื่อให้เห็นว่าเราทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม 3. รณรงค์การทำงาน ให้มีจรรยาบรรณพยายามที่จะให้ผู้เกี่ยวข้องทราบว่าเราจะร่วมกันทำอะไร 4.พัฒนาการข้อมูลให้มั่นใจว่าถูกต้องที่สุด โดยมีข้อมูลประมาณการ 3 เดือนล่วงหน้า อุตสาหกรรมอื่นไม่มีส่วนที่ยังไม่เห็นผลก็เห็นจะเป็นเรื่องภาษีอากรที่ยังไม่สรุป เรื่องระเบียบปฏิบัติต่างๆ ที่เราขอเข้าไปมีส่วนร่วมคิดด้วย
ฟอร์มูลา : ผลงานที่คุณภูมิใจมีเรื่องใดบ้าง ?
อัจฉรินทร์ : ถ้าจะพูดในเรื่องของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์แล้วผมนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของผู้ก่อตั้ง ตั้งแต่ 30กว่าปีที่แล้ว เริ่มตั้งแต่การประชุมในร้านอาหาร จนกระทั่งมีรูปแบบเป็นเรื่องเป็นราว และผมก็เคยเป็นเลขาธิการซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญ เคยเป็นรองประธานกลุ่ม จนกระทั่งปัจจุบันได้รับตำแหน่งเป็นประธาน
ผมจริงใจ จริงจัง รู้สึกว่าการทำงานที่ผ่านมาไม่จำเป็นต้องมีใครปรบมือให้เราอยากให้งานที่ออกมาเป็นรูปธรรมมากกว่านามธรรม
ถ้าจะพูดถึงผลงานอื่นๆ แล้ว ผมเป็นคนนำเรื่อง QC มาใช้ในประเทศไทย ตั้งแต่ทำงานที่ บริษัท ฮีโน่ ฯแล้วก็ได้มีการเผยแพร่ไปทั่ว จนกระทั่งปัจจุบันมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นความภูมิใจลึกๆ
ระบบ QC ที่นำมาเป็นของญี่ปุ่น คือ การพัฒนาคนให้มีการทำงานเป็นทีม ผมมีความรู้สึกว่าคนไทยเก่งถ้าทำคนเดียวแต่เมื่อทำงานเป็นทีมแล้วประสิทธิภาพจะลดลง มีคนพูดว่าคนไทย 1 คน เท่ากับญี่ปุ่น 2 คน แต่ถ้าคนไทย 2 คนจะเท่ากับญี่ปุ่น 1 คน และคนไทย 3 คน เท่ากับญี่ปุ่นครึ่งคนเลยพยายามศึกษาดูว่ามีวิชาอะไรบ้างที่จะสามารถพัฒนาการทำงานเป็นทีมได้บ้าง จึงได้เกิดระบบนี้ขึ้นมา
ฟอร์มูลา : คุณมองว่ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะก้าวไปสู่จุดใด เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ?
อัจฉรินทร์ : ผมมองแบบต่างประเทศเขามี เช่น ในญี่ปุน เยอรมนี จะมีสมาพันธ์ยานยนต์ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพด้วยข้อมูลตัวเลขที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้เราแทบจะไม่มีอะไรเลยแต่โชคดีที่เรายังมีสถาบันยานยนต์แม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับเรา แต่เราก็ยินดีที่จะเข้าไปช่วยเหลือเต็มที่เพื่อพัฒนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ การเป็นศูนย์รวมข้อมูลต่างๆ ที่ให้ประโยชน์แก่นักธุรกิจน่าจะเป็นเป้าหมายแรกประหยัดเวลา และเพื่อการตัดสินใจในการลงทุน ทางหนึ่งซึ่งจะเอื้อประโยชน์กลับมาที่กลุ่มได้มากที่สุด
ประวัติการทำงาน
ปี 2530-2535 เลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ปี 2532-2535 คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์
ปี 2539-2540 นายกสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)
ปี 2538-2539 ประธานกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ปี 2538-2539 นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
ปี 2538-2539 ประธานสมาคมนายจ้างอุตสาหกรรมยานยนต์
ปี 2539-2544 รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ตำแหน่งปัจจุบัน
- ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
- รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามนิสสัน ออโต้โมบิล จำกัด
- กรรมการ สถาบันยานยนต์
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2545
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51133