รอบรู้เรื่องรถ
รถทนทาน เพราะผู้สร้าง หรือเพราะผู้ใช้
เป็นคำถาม “ถาวร” ของผู้ใช้รถทุกยุคสมัยครับ ว่ารถที่พวกเราใช้กันอยู่นี้ มันมีอายุขัยที่แท้จริงสักเท่าไร ก่อนที่จะต้อง “ซ่อมใหญ่” หรือว่าต้องเลิกใช้แล้วทิ้งไป เนื่องจากมันถูกประกอบขึ้นมาจากชิ้นส่วนต่างๆ มากมาย และล้วนแต่เป็นของแข็งที่เสื่อมสภาพได้ยากเวลา หรืออายุของรถ จึงไม่ใช่ตัวแปรที่สำคัญนัก แต่กลับเป็นระยะทางที่รถนั้นควรทำได้มากกว่า ชิ้นส่วนที่สึกหรอมาก หรือน้อยตามแต่ระยะทางที่รถถูกใช้งานนั้น ถ้าไม่นับส่วนที่เปลี่ยนง่ายนับเป็นเรื่องปกติ อย่างผ้าเบรค จานคลัทช์ (ของรถเกียร์ “ธรรมดา”) ก็เหลือเพียงระบบขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าตัดชุดส่งกำลังซึ่งอายุค่อนข้างยืนยาวออกไป ก็จะเหลือส่วนสำคัญที่สุด ที่พวกเราผู้ใช้รถ ล้วนคาดหวังว่าจะให้มันทำหน้าที่ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ หรือ “ซ่อมใหญ่” เพราะเป็นทั้งงานใหญ่ และยังสิ้นเปลืองเงินมากอีกด้วย มีตัวแปรซึ่งมีผลต่ออายุใช้งานของเครื่องยนต์รถของเราอยู่มากพอสมควรครับ เช่น วิธีขับ (ซึ่งมีตั้งแต่แบบถูกหลัก ทะนุถนอม ไปจนถึงทั้งผิดหลักและยัง “ตะบัน” อีกด้วย) การบำรุงรักษา สภาพแวดล้อมที่รถถูกใช้งาน คุณภาพของน้ำมันหล่อลื่น หรือแม้แต่คุณภาพของวัสดุที่ใช้ทำชิ้นส่วนภายในของเครื่องยนต์ ก็ส่งผลต่อความทนทานของเครื่องยนต์อย่างมากครับ ลองนึกภาพแหวนลูกสูบที่ทำจากวัสดุคุณภาพต่ำดูก็ได้ครับ ว่าจะทนต่อความร้อนในห้องเผาไหม้ และการเสียดสีกับผนังกระบอกสูบ ขึ้น/ลงนับพันล้านครั้งได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำได้ ก็น่าจะเป็นการดูตัวอย่างจากการใช้งานจริงของรถที่ทนทานเป็นพิเศษหลายๆ ประเภท จากแหล่งผลิตที่ต่างกัน ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน แล้วเราค่อยมาคัดแยกกันอีกที ว่าอะไร คือ ปัจจัยที่ทำให้รถเหล่านี้ทนทานเป็นพิเศษ จากนั้นก็ถอยกลับมาประเมินกันอย่างหยาบๆ ว่ารถระดับเฉลี่ยที่ถูกใช้งานระดับเฉลี่ยทั่วไป ได้รับการบำรุงรักษาตามที่ควรจะเป็นนั้น น่าจะมีอายุใช้งานยืนยาวระดับไหน คงไม่มีประเทศไหนที่เหมาะแก่การหาข้อมูลอ้างอิงในเรื่องนี้ เท่ากับประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน คือ เป็นประเทศที่ราคาเชื้อเพลิงต่ำเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของประชาชน มีขนาดใหญ่มาก ประชาชนใช้รถยนต์เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง และไม่มีค่านิยมในการเปลี่ยนรถบ่อย ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่ใช้รถก่อนจะเปลี่ยนเป็นคันใหม่ ของผู้ใช้รถในประเทศนี้ คือ 11 ปีเศษครับ ถือว่าคุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือยเลย ถึงแม้จะเป็นประเทศที่ร่ำรวยก็ตาม เราจะเห็นว่าทุกข้อที่กล่าวมานี้ ล้วนเอื้อต่อการพบรถที่ถูกใช้งานยาวนาน และส่วนใหญ่เป็นระยะทางที่มาจากการเดินทางไกล ถึงแม้ว่าจะเป็นการใช้ในภารกิจประจำวันก็ตาม จึงมี “ชนรมรถ 1 ล้านไมล์” หรือกลุ่มผู้รักรถทนทาน ถูกก่อตั้งขึ้นมาหลายแห่งด้วยกัน และผมจะสุ่มเลือกมาเป็นตัวอย่างให้ดูกัน โดยไม่เรียงลำดับระยะทางนะครับ SAAB SPG ปี 1989 เจ้าของรถคันนี้ ขับใช้งานเป็นระยะทางทั้งสิ้น 1,611,228 กม. หรือ 1 ล้านไมล์ กับเศษอีกนิดหน่อย (1 ไมล์ ยาวประมาณ 1.609 กม.) เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรนะครับ แค่ต้องการให้เกินระยะทางนี้ เพื่อความภูมิใจ หลังจากนั้นก็ได้บริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์รถยนต์แห่งหนึ่ง ในปี 2006 รวมอายุใช้งานทั้งสิ้น 17 ปี เฉลี่ยแล้วรถคันนี้ถูกขับปีละเกือบ 95,000 กม. หรือเดือนละ 7,900 กม. หารต่ออีกที เป็นวันละราวๆ 260 กม. ไม่มีพิรุธครับ การขับรถส่วนตัวระยะทางแค่นี้ต่อหนึ่งวัน ถือเป็นเรื่องปกติมาก ในประเทศที่เนื้อที่ของบางรัฐ ใหญ่กว่าอีกหลายประเทศ PORSCHE 356 C ปี 1964 เจ้าของรถได้รถคันนี้ใหม่เอี่ยม เป็นของขวัญจากบิดาในวันรับปริญญา และใช้มันมาเรื่อยจนเลขระยะทางเข้าใกล้ 1 ล้านไมล์ และมีชื่อเสียงโด่งดัง จากการประโคมข่าวของสื่อทั่วประเทศ จนโจรเห็นรูปในข่าวแล้วทนไม่ไหว หรืออาจจะเป็นการก่อเหตุโดยบังเอิญก็ได้ ซึ่งคงไม่มีใครรู้ความจริง เพราะโจรเปลี่ยนใจกลางคัน ทิ้งรถไว้ข้างทางก่อนที่จะหายตัวไป เมื่อได้รถคืนมา เจ้าของเร่ง “ทำระยะทาง” จนผ่าน 1 ล้านไมล์ (ประมาณ 1,609,000 กม.) ตามที่มาตรระยะทางของรถบอก ตัวแทนโพร์เชรีบกระพือข่าวนี้ด้วยความภาคภูมิใจไปทั่วประเทศอีกครั้ง จากการให้สัมภาษณ์เมื่อถูกถามถึงการขับหรือดูแลให้รถทนทานได้ขนาดนี้ เจ้าของรถบอกเพียงว่า ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษเลย นอกจากส่งรถเข้ารับการบำรุงรักษาที่ศูนย์บริการของบแรนด์นี้ ตามตารางที่กำหนดไว้ในคู่มือเจ้าของรถอย่างเคร่งครัด รถคันนี้จึงได้รับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 3,000 ไมล์ หรือราวๆ 4,800 กม. ในคำตอบที่ว่า ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษต่อรถนี้ขณะใช้งานเลยนั้น ความจริงแล้วมีหลายอย่าง ที่พิเศษอย่างแน่นอนครับ ผมขอติดไว้เอ่ยถึงในช่วงท้ายอีกทีครับ LEXUS LS 400 ปี 1996 คันนี้น่าจะเป็น LEXUS 4 ประตู ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เพราะถูกใช้งานเกิน 1 ล้านไมล์ อย่างเป็นทางการ แต่คุณค่าด้อยกว่าคันอื่นๆ และบแรนด์อื่น เพราะเจ้าของเดิมไม่ได้เป็นผู้ใช้จนครบระยะทาง โดยได้ขายมันไปเมื่อขับไปได้เกือบ 9 แสนไมล์ และที่หมดคุณค่าหนักเข้าไปอีก ก็เพราะคนที่มาซื้อต่อ ไม่ได้เห็นคุณค่าเรื่องความทนทานแต่อย่างใดเลย เป็นแค่ YOUTUBER ด้านรถยนต์ และยังเป็นนักฉวยโอกาสด้วยการ “โหน” ชื่อเสียงของรถคันนี้อีกด้วย คำพังเพย “ชุบมือเปิบ” ของไทยเรา ตรงมากกับพฤติกรรมของนายคนนี้ ไม่ใช่แค่ซื้อเพื่อรอชื่อเสียงตอนผ่าน 1 ล้านไมล์เท่านั้น แต่ไม่ต้องการขับมันอีกด้วย จึงใช้วิธีให้นักข่าวในวงการรถยนต์ยืมใช้แบบไม่อั้น ขอแค่ให้เลขระยะทางเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดเท่านั้น และก็ได้ผลจริงด้วย สำหรับการซื้อรถเก่าแก่คันหนึ่ง มาสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง และฉวยโอกาส “ต่อยอด” จากชื่อเสียงนี้ ทำคลิพเกี่ยวกับรถยนต์ออกมาหาเงินเข้ากระเป๋าได้อีกเป็นสิบล้านบาทแล้ว HONDA ACCORD EX ปี 1991 เป็นรถ HONDA ในยุคที่ถูกยอมรับโดยลูกค้า และที่ไม่ใช่ลูกค้าทั่วโลก ว่าถูกออกแบบได้สวยงาม เพราะเป็นช่วงที่ยังใช้ทีมนักออกแบบผิวขาว หรือ “ฝรั่ง” ซึ่งถนัด และมีพรสวรรค์ด้านนี้มากกว่าพวกเราชาวเอเชีย ไม่มีประวัติและรายละเอียดของการใช้งานรถคันนี้ เท่าที่ทราบเป็นรถที่ถูกใช้งานแบบส่งต่อกันเป็นมรดกตกทอด เจ้าของแรกใช้มันจนตัวเองหมดอายุ เข้าใจว่าน่าจะผูกพันกับมันมาก และคงอยากให้มันผ่านหลัก 1 ล้านไมล์ ด้วยมือของลูกชายแท้ๆ จึงมอบหมายให้ดำเนินการต่อ เท่าที่มีข้อมูลล่าสุด รถนี้ทำระยะทางไปได้เกิน 1,160,000 ไมล์ หรือไม่ต่ำกว่า 1,866,000 กม. และอาจจะยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ด้วย MERCEDES-BENZ 250 SE ปี 1966 งานอย่างนี้จะขาดยอดรถเยอรมันในยุคนั้นไม่ได้เด็ดขาด ทั้งความประณีตหรูหรา และความทนทานที่ยอมรับกันทั่วโลก คันนี้มาแนวเดียวกับคันที่แล้ว คือ เจ้าของแรกอายุสั้นกว่าเครื่องยนต์ ผมเดาว่าน่าจะผูกพันกับมัน จนกระทั่งมอบหมายให้ลูกชายรับช่วงต่อ โดยขับ “ผลัดที่สอง” จากราวๆ 877,000 ไมล์ (1,411,000 กม.) ไปจนได้ระยะทางเพิ่มเป็น 1,227,000 ไมล์ หรือราวๆ 1,974,000 กม. จากนั้นจึงถือว่าได้ทำหน้าที่ที่รับมอบหมายมาครบถ้วนแล้ว จึงขายให้เจ้าของที่สามรับไปดูแลต่อด้วยความภาคภูมิใจ และได้ทำเรื่องขอตราติดหน้ารถจากบริษัทผู้ผลิต รับรองอย่างเป็นทางการ ว่ารถนี้ได้ผ่านการใช้งานในสภาวะปกติมาเกิน 1 ล้านไมล์แล้ว เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดแต่เนิ่นๆ เราไม่สามารถทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ด้วยรถยุคนี้ได้แล้วนะครับ เพราะเงื่อนไขล้วนแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งก็เป็นไปตามยุคสมัย ก่อนอื่นเลย รถยุคนี้ถูกสร้างโดยเน้นผลกำไรให้ผู้ถือหุ้น จึงย่อมถูกจำกัดต้นทุน ซึ่งถ้าเปลี่ยนถ้อยคำแต่ยังคงความหมายเดิมไว้ ก็คือ การลดคุณภาพแบบไม่ให้ลูกค้ารู้ตัวนั่นเอง แล้วยังมีอุปกรณ์ไฟฟ้าอายุสั้น กระจายอยู่ทั่วตัวรถอีก ถึงเจ้าของรถจะอยากใช้งานให้ยาวนาน ก็ไม่สามารถทำได้ครับ เพราะผู้ผลิตก็รับประกันว่าจะมีอะไหล่รองรับแค่ 10 ปีเท่านั้น เกินกว่านี้ก็ต้องเสี่ยงโชคกันเอาเอง ว่าจะยังมีเหลือให้ซื้อมาเปลี่ยนหรือไม่ ชิ้นส่วนที่ยุคก่อนทำจากโลหะ อายุใช้งานยืนยาวจนประเมินไม่ได้ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นพลาสติค หรือยาง ที่ย่อมเสื่อมสภาพไปในเวลาไม่นาน MERCEDES-BENZ 240 D ปี 1976 คันนี้ต่างจากคันอื่นที่กล่าวมา ตรงที่มันเป็นรถซึ่งถูกใช้งานเชิงพาณิชย์เป็นหลักครับ คือ เป็นรถแทกซีส่วนบุคคลในประเทศกรีก เจ้าของขับเองตลอด จึงรอดจากการถูก “ถลุง” จนอายุสั้น ระยะทางที่รถนี้ถูกใช้งานมาแล้ว “กระโดด” เกินคันอื่นที่ผมเล่ามาไปอีกไกลพอสมควร คือ เกิน 2 ล้านบาทไปเยอะ ถ้าปัดเศษทิ้งก็จะเป็นระยะทาง 2,850,000 ไมล์ หรือไม่ต่ำกว่า 4,580,000 กม. แน่นอนครับ ระยะทางระดับนี้ไม่มีทางทำได้ด้วยเครื่องยนต์แรกเพียงเครื่องเดียว ผมจำไม่ได้แล้วว่าใช้ไปกี่เครื่อง และซ่อมใหญ่เครื่องยนต์ไปกี่รอบ แต่ถ้าเอาระยะทางรวมมาตั้งแล้วหารด้วยจำนวนครั้งที่ว่านี้ ก็ยังได้ระยะทางต่อหนึ่งเครื่องยนต์ และต่อการ “ซ่อมใหญ่” ที่น่าทึ่งอยู่ดีครับ เพราะทั้งรถ และเจ้าของรถ ที่มีผลงานระดับนี้ ย่อมไม่ใช่คนใช้รถธรรมดาระดับเฉลี่ยอย่างแน่นอน เหตุที่ทำระยะทางมาได้ “เพียงเท่านี้” ไม่ใช่คน หรือรถหมดอายุไปนะครับ แต่ถูก “เบรค” ด้วยการขอซื้อจากบริษัทที่ผลิต และไม่ต้องต่อรองราคากันให้เสียเวลาด้วย เพราะฝ่ายขอซื้อ นำรถรุ่น C-CLASS ใหม่เอี่ยมมาแลก แล้วนำรถแทกซีที่น่าจะมีชื่อเสียงที่สุดในโลกคันนี้ ไปจอดแสดงอย่างถาวรในพิพิธภัณฑ์ของบริษัท ณ เมือง STUTTGART ก่อนจะมาวิเคราะห์หาสาเหตุกันให้หายสงสัย ว่าความทนทานที่ว่านี้ มันเป็นเพราะอะไรแน่ ต้องมาดูคันสุดท้าย ที่พิเศษสุดกันก่อนครับ เนื้อที่หมดพอดี ขอมาเล่าต่อในฉบับหน้านะครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : ิอินเตอร์เนท
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2564
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/391408