รอบรู้เรื่องรถ
ส่งรถเข้าซ่อม ต้องตกลงราคาให้ชัดเจน
ผมขอเริ่มด้วยเรื่องเดิม ที่ได้ติดค้างไว้เมื่อเดือนที่แล้วนะครับ ซึ่งก็คือปัญหาที่เจ้าของรถทุกคนน่าจะประสบกันมาแล้ว ส่วนบางคนที่ตกหล่นไปบ้าง เพราะยังโชคดีอยู่ ก็ยังต้องถามตนเองด้วยความกังวลอยู่เสมอว่า จะมีวันใดที่เราต้อง “โดน” เองบ้างไหม คือ การส่งรถเข้ารับการซ่อมแซม โดยตกลงขอบเขตการซ่อมกับผู้รับจ้างซ่อมอย่างชัดเจน แต่เมื่อไปรับรถ หรือเมื่อสอบถามถึงจำนวนเงินที่จะต้องชำระก่อนรับรถ แล้วกลับต้องตะลึงกับมูลค่าที่ได้ฟัง เพราะมันเกินระดับที่ได้ตกลงกันไว้มากมาย
คำถามหลักที่บรรดาเจ้าของรถที่โชคร้ายเหล่านี้อยากทราบก็คือ เจ้าของอู่ หรือแม้จะเป็นพนักงานซ่อมก็ตาม มีสิทธิกระทำการเช่นนี้หรือไม่ คำตอบเบื้องต้นที่ชัดเจน คือ ไม่ และเป็น “ไม่” ที่ไม่มีใครสามารถหาข้ออ้างใด มาโต้แย้งได้ทั้งสิ้นครับ
หมดยุคโบราณที่ใช้เพียงคำพูด ในการส่งรถเข้าซ่อมแซมไปนานแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นกิจการรับซ่อมรถที่เล็กแค่ไหนก็ตาม จะต้องมีหลักฐานในการตกลงรับซ่อมแซมรถให้ลูกค้า เป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ ให้ทั้งสองฝ่ายมีไว้เพื่อยืนยันและตรวจสอบความถูกต้องได้เสมอ ถ้ามองอย่างผิวเผิน เราอาจจะรู้สึกหรือเข้าใจว่า แค่ขอให้เจ้าของรถ ซึ่งก็คือผู้ว่าจ้าง มีหลักฐานที่บอกขอบเขตการสั่งซ่อมไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกผู้รับจ้างซ่อม เอาเปรียบหรือฉวยโอกาส ก็เพียงพอแล้ว
แต่ในความเป็นจริง เจ้าของอู่หรือผู้รับจ้างซ่อม ก็จำเป็นต้องมีหลักฐานนี้ไว้เช่นเดียวกันนะครับ ยกตัวอย่าง เช่น ลูกค้าที่เพิ่งรับรถกลับไปใช้งาน เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง บาดเจ็บสาหัส หรือถึงขั้นเสียชีวิต เจ้าของรถหรือญาติที่ “หัวหมอ” อาจฟ้องร้องว่า เหตุร้ายนี้เกิดขึ้นเพราะระบบเบรคบกพร่องจากการซ่อม ถ้ามิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับงานซ่อมครั้งล่าสุด เช่นเป็นเพียงงานซ่อมแซมระบบจ่ายเชื้อเพลิงเท่านั้น เจ้าของอู่ก็จะสามารถเอาหลักฐานการสั่งซ่อม รวมทั้งใบเสร็จรับเงินค่าซ่อม มายืนยันในศาลให้พ้นความรับผิดชอบได้
กลับมาที่ปัญหายืนพื้นเดิมกันต่อครับ คือ ความเดือดร้อนของเจ้าของรถมากมาย จากการถูกผู้รับจ้างซ่อมรถ เอาเปรียบหรือร้ายแรงกว่านี้ คือ ถึงขั้นฉ้อโกง สิ่งที่ผู้รับจ้างซ่อมมีหน้าที่ต้องทำอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มด้วยการรับฟังปัญหาจากเจ้าของรถ ถ้ามีคำถามจากเจ้าของรถ หรือผู้รับจ้างซ่อม (ซึ่งอาจจะเป็นพนักงานรับรถของศูนย์บริการฯ ) อาจเห็นควรให้ความเห็นประกอบ จากนั้นผู้รับจ้างซ่อม จะต้องออกใบรับรถพร้อมกำหนดรายการปัญหาของรถไว้อย่างชัดเจน
ดูตรงนี้ให้ดีนะครับ จะเห็นว่าผมใช้คำว่า “ปัญหา” เท่านั้น ไม่มีการบอกสาเหตุ หรือวิธีซ่อมใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเจอว่ามีการกำหนดสาเหตุหรือวิธีซ่อม ไว้ตั้งแต่ตอนรับแจ้งซ่อม ต้องระแวง หรือถ้าจะให้ดีกว่าอีก ต้องโต้แย้งทันที เพราะเราได้เจอกับ “เทวดาหรือผู้วิเศษ” เข้าให้แล้ว ที่สามารถฟังจากคำพูดบอกอาการจากเจ้าของรถเท่านั้น ก็สามารถรู้สาเหตุ และวิธีแก้ไขได้ทันที
จากนั้นผู้รับจ้างซ่อม จะต้องตรวจตราสภาพของรถทั้งภายนอกและภายใน ว่ามีความบกพร่องอยู่ก่อนนำส่งที่ใดและอย่างไรบ้าง ภายในห้องโดยสารมักไม่ค่อยมีปัญหาครับ แต่ภายนอกนั้นต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะช่างซ่อมรถของไทยเรา ไม่แพ้ชนชาติใดในโลก ในเรื่องชุ่ย ทำให้ของที่ดีอยู่ ให้กลายเป็นของที่ชำรุด อาจจะขับรถคันอื่นมาเฉี่ยว หรือเปิดประตูรถของเราไปกระแทกวัตถุอื่นจนบุบ และในมุมกลับ ผู้รับจ้างซ่อมก็ต้องรับความเสี่ยง และหนักใจเหมือนกัน ถ้าไม่ตรวจหาตำหนิและแจ้งไว้ในใบรับมอบรถให้ครบ อาจโดนลูกค้าพฤติกรรมโจร กล่าวหาตอนมารับรถ ให้รับผิดชอบความเสียหายของตัวรถ ที่ความจริงมีอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนเรื่องของมีค่าภายในห้องโดยสาร หมดยุคที่จะต้องมาถกเถียงหรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันไปนานหลายสิบปีแล้วครับ เป็นหน้าที่ของเจ้าของรถ ที่จะต้องนำออกตั้งแต่ก่อนมา หรือไม่ก็ต้องนำออกก่อนลาจาก ถ้าหลงลืมก็ต้องสละทิ้งไปเลยนะครับ ไม่มีสิทธิเรียกร้องใดๆ เพราะถ้าเรียกร้องให้ผู้รับจ้างซ่อม ต้องรับผิดชอบได้ ผมว่าปิดอู่ไปได้เลย ไม่อย่างนั้นคงต้องชดใช้ให้พวกแอบอ้าง จนหมดตัวแน่นอน ยกเว้นจะโชคดีที่เจอเจ้าของอู่หรือพนักงานที่ซื่อตรง เก็บรักษาไว้ให้ ในเอกสารรับมอบรถ จะมีบ่งไว้เสมอ ว่าผู้รับจ้างซ่อมไม่รับผิดชอบต่อของมีค่าที่เจ้าของรถปล่อยทิ้งไว้ ซึ่งถูกต้องแล้วครับ ตัวผมเอง ถ้าลืมเอาออก ก็ต้องทำใจไปเลยเสมือนว่าทำหล่นหาย จะไม่ยอมถูกหัวเราะเยาะตอนถามถึง ว่ามาแอบอ้าง ไม่คุ้มครับ
ก่อนรับใบส่งมอบรถ ควรย้ำด้วยวาจาว่า หากพบสิ่งบกพร่องที่ควรซ่อมเพิ่มเติม ให้แจ้งและขออนุญาตต่อเจ้าของรถก่อนเสมอ ถ้าจะให้มั่นใจและไม่มีความเสี่ยง ควรเจาะจงให้ผู้รับงานซ่อม เขียนลงในใบส่งมอบรถว่าหากต้องการหรือเห็นควรเพิ่มเติมงานซ่อม ให้ขออนุมัติจากเจ้าของรถก่อน ไม่ต้องเกรงใจ หรือกลัวว่าจะถูกยิ่มเยาะ และมองว่าเราจู้จี้เกินเหตุครับ เป็นเรื่องปกติมากที่จะทำเช่นนี้ ผู้รับจ้างซ่อมที่ซื่อตรงจะไม่เกี่ยง และน่าจะชอบด้วย คนที่ซื่อตรงจะชอบการกระทำที่ชัดเจนอย่างตรงไปตรงมาอยู่แล้วครับ มีแต่คนโกงเท่านั้น ที่มันไม่กลัวปัญหาจากความขัดแย้ง เพราะมันเป็นฝ่ายได้เปรียบ และได้เงินเพิ่มจากความขัดแย้งนั้น มีแต่เราเจ้าของรถ ที่นอกจากจะต้องเสียเงินที่ไม่ควรจะเสียแล้ว ยังต้องรับความเครียดจากความรู้สึกว่าถูกโกงอีกด้วย
สุดท้ายแล้ว ถ้ายังถูกฝ่าฝืน และเป็นมูลค่าสูงกว่าที่ตกลงกันไปมาก คงเหลือทางเดียวครับ คือ ต้องฟ้องร้องต่อศาล เพื่อให้ได้ความชอบธรรมคืนมา ผมไม่แน่ใจว่า หากไปร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จะได้ผลหรือไม่ และใช้เวลานานเพียงใด จากประสบการณ์ที่ผมเคยได้รับในต่างประเทศ ประเทศเรายังขาดหน่วยงานที่สำคัญสำหรับประชาชนผู้ใช้รถอยู่สองอย่างครับ อย่างแรกคือ แหล่งรวมทนายความที่มีไว้วางใจได้ และชำนาญในคดีความของผู้ใช้รถ ผมคิดเอาเองนะครับ ว่าองค์กรที่ชื่อเสียงดี เช่น สภาทนายความฯ (ไม่ใช่พวกที่ใช่ชื่อคล้ายนะครับ) ซึ่งให้ความเป็นธรรมต่อประชาชนที่ขาดที่พึ่งมามากมาย น่าจะเพิ่มหน่วยงานที่ช่วยเหลือ ปกป้องประชาชนผู้ใช้รถโดยเฉพาะ ให้ได้รับความเป็นธรรม
กับอย่างที่สอง น่าจะเป็นสมาคมผู้ใช้ยานยนต์ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า ถ้าหวังผลอย่างจริงจัง จะต้องเป็นหน่วยงานของเอกชนเท่านั้น ถ้าเอาข้าราชการกินเงินเดือนมาทำ คงหวังผลอะไรไม่ได้ ตัวอย่าง เช่น สมาคม “AA” ของสหราชอาณาจักรฯ หรือ สมาคม “ADAC” ของสหพันธรัฐเยอรมนี โดยการเชิญชวนให้ผู้ใช้รถ สมัครเป็นสมาชิก และเก็บค่าบำรุงสมาคมเป็นรายปี ในราคาที่ต่ำมาก ระดับที่ไม่มีใครที่รู้แล้ว จะรู้สึกว่าสูง ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ ต้องอาศัยจำนวนสมาชิกที่มากพอครับ การให้บริการตอบแทนต่อสมาชิก จะมีความหลากหลายมาก ตั้งแต่แก้ปัญหารถเสียกลางทางทั่วประเทศ (และยังซื้อการบริการนอกประเทศเพิ่มเติมได้ด้วย) การรับประกันภัยทั้งตัวรถและบุคคล การบริการส่งสมาชิกไปยังโรงพยาบาลอย่างด่วน กรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุขณะใช้รถ บริการให้คำปรึกษาด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถ เหล่านี้เป็นต้น
และหากทำได้สำเร็จเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง ผมเชื่อว่าสำหรับประเทศไทยและผู้ใช้รถชาวไทยแล้ว สมาคมมีโอกาสเพิ่มการให้บริการด้านอื่นๆ ได้อีกมากมาย แลกกับการให้สมาชิกเลือกเพิ่มค่าธรรมเนียมตามความเหมาะสม หรือความพอใจส่วนตัวได้เลย
ขณะกำลังพิมพ์เรื่องนี้อยู่เกือบจบ ผมบังเอิญเหลือบไปเห็นข่าว “เก็บป้ายทะเบียน เพื่อเรียกค่าไถ่” ที่หลุดร่วงจากการขับลุยน้ำ เห็นแล้วก็หงุดหงิดครับ ที่ต้องทนฟังการถกเถียงอย่างข้างๆ คูๆ ตะแบงกันไปตามสะดวก เป็นตัวอย่างชั่วให้เยาวชนหลงผิด หรือเอาเยี่ยงอย่างจากความเคยชิน ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องถกเถียงกันเลยครับ มันผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ฉกฉวยของผู้อื่นจากที่สาธารณะ เอาไปซุกซ่อนไว้ แล้วอ้างว่าเป็นความหวังดี เจ้าของรถที่เขาตรวจพบ และรีบกลับ ค้นหา จะพบได้อย่างไรครับ มันก็เหมือนการเห็นใครทำเงินหรือของมีค่าหล่น แทนที่จะรีบเตือน คนไทยส่วนใหญ่จะอ้างว่าไม่ผิด รอให้เจ้าของคล้อยห่างไป แล้วรีบไปเก็บเอามาเป็นของตน ถ้าเจ้าของหรือผู้อื่นยังอยู่ใกล้ ก็จะทำเป็นเซ่อ เดินไปเหยียบไว้ แล้วเอามาครอบครอง
ในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย พฤติกรรมเยี่ยงนี้ กฎหมายของเขาบัญญัติไว้ชัดเจนครับ ว่าทั้งความชั่วและความผิด เทียบเท่ากับการล้วงฉกเงินหรือทรัพย์สิน จากกระเป๋าของผู้อื่น และคุกเท่านั้น คือจุดหมายปลายทางของมนุษย์ประเภทนี้
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2564
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/388052