สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ชไมพร ปภัสร์พงษ์ DRIVING INSTRUCTOR หญิงคนแรกของไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ฟอร์มูลา” สัมภาษณ์ ชไมพร ปภัสร์พงษ์ กรรมการบริหาร และรองผู้อำนวยการ กองพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัท สื่อสากล จำกัด กับความสำเร็จในการเป็น DRIVING INSTRUCTOR หญิงคนแรกของประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฟอร์มูลา : คุณมีความฝันในวัยเด็กอย่างไร ? ชไมพร : ตอนเด็กฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตส รู้สึกชื่นชมคนที่เขาทำอาชีพนี้ ก็เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป ไม่คิดว่าวันนี้จะชอบการเป็นครู ฟอร์มูลา : ทำไมคุณถึงชอบรถยนต์ ? ชไมพร : ตั้งแต่จำความได้ คลุกคลีอยู่กับวงการรถยนต์มาโดยตลอด ซึ่งในช่วงนั้นก็ไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ ต่อมาก็ได้คลุกคลีกับงาน MOTOR EXPO ได้มีโอกาสเห็นรถยนต์มากมายหลายยี่ห้อ แล้วยังมีโอกาสได้ไปดูงานแสดงรถยนต์ที่ต่างประเทศกับคุณพ่อ ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าชอบเท่าไร แต่ถือว่าเป็นความคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก และเหมือนกับว่าได้ถูกปลูกฝังเกี่ยวกับรถยนต์มาโดยตลอด จนกระทั่งขับรถเป็น คุณพ่อส่งไปเรียน BMW DRIVING TRAINING มีความรู้สึกชอบมากๆ ชอบในเรื่องของการควบคุมรถยนต์ มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการขับรถ เลยรู้สึกว่าชอบการขับรถยนต์ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ฟอร์มูลา : เข้าสู่วงการแข่งรถได้อย่างไร ? ชไมพร : ตอนที่ไปเรียน BMW DRIVING TRAINING หนึ่งใน DRIVING INSTRUCTOR ที่สอนให้เป็นนักแข่ง เขาชวนแข่งรถ เลยได้เข้าสู่วงการแข่งรถ ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ความท้าทายของการแข่งขัน คือ จะขับรถอย่างไรให้รู้ถึงสมรรถนะของตัวรถ และศักยภาพของตัวเองให้ได้มากที่สุด เป็นการพัฒนาไปพร้อมกัน ต้องขับอย่างไรถึงจะใช้ความสามารถของตัวรถได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ให้ถึงจุดสูงสุดของตัวรถให้ได้ ตรงนี้คือ เสน่ห์ และเป้าหมายของการแข่งรถ ซึ่งตอนนี้ยังไปไม่ถึงจุดนั้น ยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกมาก เพราะเทคนิคต่างๆ สามารถเรียนรู้ได้เรื่อยๆ ทำให้ได้รู้สิ่งใหม่ๆ ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมา ซึ่งในอนาคตก็อาจจะเป็นคนที่เข้าใจรถและสามารถควบคุมรถ และเป็นหนึ่งเดียวกับรถได้มากที่สุด ตรงนี้แหละที่ทำให้หลงเสน่ห์ในการแข่งรถ ฟอร์มูลา : เริ่มมาทำงานในวงการรถยนต์เมื่อใด ? ชไมพร : หลังจบการศึกษา ได้ทำงานเป็นครูสอนเต้นแจซซ์ ที่บางกอกแดนศ์ ทำให้ค้นพบว่าชอบเป็นครู และรักการสอน จนกระทั่ง ไปเรียนต่อต่างประเทศ เรียนจบกลับมาได้ไปฝึกงานที่ BMW เพราะเราชอบบแรนด์นี้มาตั้งแต่เด็ก จนรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องกลับมาช่วยงานคุณพ่อ เลยเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานในวงการรถยนต์ ฟอร์มูลา : จุดเริ่มต้นการเป็น DRIVING INSTRUCTOR ? ชไมพร : หลังจากมาช่วยงานคุณพ่อที่บริษัท สื่อสากล จำกัด ระยะหนึ่ง จึงได้เปิด โครงการ SKILL DRIVING EXPERIENCE “ขับเป็น…ขับปลอดภัยกับ สื่อสากล” เพื่อรณรงค์ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โครงการ SKILL DRIVING EXPERIENCE เริ่มต้นครั้งแรกปี 2553 ถึงปัจจุบัน โดยจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับการขับขี่ที่ถูกต้องและปลอดภัยให้แก่ผู้สนใจ โดยเฉพาะกลุ่มนิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่เป็น “มือใหม่หัดขับ” เพื่อรณรงค์ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จนกระทั่ง BMW เห็นความสำคัญของพโรแกรม BMW DRIVING EXPERIENCED ซึ่งเป็นพโรแกรมรณรงค์ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่เคยจัดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว กลับมาจัดขึ้นในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง และได้มีทีม DRIVING INSTRUCTOR ที่รู้จักและสนิทกันมาชวนให้ไปช่วยสอน จึงตกลงไปช่วยสอน ในพโรแกรม BMW DRIVING EXPERIENCED เพราะต้องมีคนที่ผ่านการรับรองจาก BMW อย่างน้อย 2 คน ถึงจะได้รับการยอมรับในการเปิดพโรแกรมดังกล่าว เลยตัดสินใจบินไปสอบที่เยอรมนี นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็น DRIVING INSTRUCTOR ฟอร์มูลา : คุณเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ในการสอบ ? ชไมพร : การสอบครั้งนี้เป็นรอบที่ 2 รอบแรกที่ไปสอบเมื่อปีที่แล้ว ไม่ผ่าน เพราะตอนนั้นยังไม่มีประสบการณ์ เป็นแค่นักเรียน แล้วก็บินไปสอบเลย คิดว่าเราคุ้นเคย น่าจะทำได้ แต่พอไปถึงวันแรกก็แย่เลย เริ่มจากการเรียนทฤษฎี มีฟิสิคส์ AUTOMOTIVE ENGINE เราก็ไม่รู้อะไรเลย พอมาถึงปฏิบัติ มีทั้งหมด 4 สถานี ก็ยากมาก ผลก็คือ พรีเซนท์ผ่าน ข้อเขียนผ่าน แต่ตอนขับ ยังปรับความรู้สึกของพวงมาลัยไม่ได้ ผ่านแค่ดริฟท์ อย่างเดียว คะแนนก็เลยไม่ถึง ปีแรกเลยไม่ผ่าน ด้วยความไม่พร้อมของตัวเราเองด้วย ปีที่ 2 เริ่มมีประสบการณ์ และช่วงเวลาระหว่างปี มีโอกาสได้ฝึกการสอน ถึงเวลากลับไปสอบ รู้สึกว่ามีประสบการณ์แล้ว เริ่มมั่นใจมากขึ้น สิ่งที่ต้องโฟคัสมีอย่างเดียว คือ การขับ เพราะทฤษฎี พรีเซนท์ น่าจะโอเคแล้ว เราก็ซ้อมขับอย่างเดียวเลย มีคู่บัดดี และคนรอบข้าง คอยช่วยเหลือ จึงทำให้การสอบในครั้งที่ 2 ราบรื่นกว่าครั้งแรกมาก ฟอร์มูลา : สิ่งที่ยากที่สุดในการสอบครั้งนี้คืออะไร ? ชไมพร : ยากที่สุดน่าจะเป็นตอนสอบปฏิบัติ การหักหลบโดยไม่เบรค ต้องขับรถทั้งหมด 4 สถานี อีกอย่างหนึ่งที่เยอรมนีใช้รถพวงมาลัยซ้าย และเพราะความตื่นเต้น มันไม่ใช่แค่เรื่องของการขับ เพราะถ้าซ้อมเยอะๆ เราก็น่าจะทำได้ แต่พอขับจริง มันมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่รบกวนเรา ทำให้ความมั่นใจลดลง แล้วต้องสอบสถานีละ 4 รอบ ต้องได้ 37 คะแนนถึงจะผ่าน เป็นอะไรที่กดดันสุดๆ ฟอร์มูลา : อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ? ชไมพร : ประสบการณ์ที่มากขึ้นจากการสอน ที่สะสมมา 1 ปี ทำให้ไม่กังวลเรื่องของการสอน ในส่วนของทฤษฎี ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เรียน การเรียนอีกรอบ ทำให้เข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม และมีโอกาสได้สอนเพื่อนร่วมคลาสส์ ซึ่งการสอนมันทำให้ยิ่งเข้าใจมากขึ้น เพราะเพื่อนๆ คนอื่นเขาเริ่มจากศูนย์ เหมือนเราปีแรก ฉะนั้นก็เหมือนเป็นการทบทวนบทเรียนไปด้วย ทำให้ยิ่งแม่นมากขึ้น ส่วนการขับ สิ่งที่สามารถทำได้อย่างเดียวเลย คือ ซ้อม ซึ่งครั้งนี้เราได้ซ้อมเยอะมาก ฟอร์มูลา : ครอบครัวมีส่วนในความสำเร็จอย่างไรบ้าง ? ชไมพร : คุณพ่อ และคุณแม่ จะเหมือนกัน คือ คอยให้การสนับสนุน และให้โอกาสในทุกเรื่องที่อยากทำ ต้องขอบคุณ คุณพ่อ และคุณแม่ เพราะไม่ว่าอยากลองทำอะไรก็ตาม ท่านจะคอยสนับสนุนทุกอย่าง และให้กำลังใจโดยไม่กดดัน ซึ่งที่ประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะท่านทั้งสอง ฟอร์มูลา : ความรู้สึกที่ได้เป็น DRIVING INSTRUCTOR หญิงคนแรกของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ? ชไมพร : รู้สึกดีใจ โล่งอก ไปพร้อมๆ กัน และที่สำคัญที่สุด คือ ทำให้ได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่า การที่เราจะประสบความสำเร็จได้ การฝึกซ้อมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจากการลงทุน ลงแรงซ้อม แล้วสมหวังในสิ่งที่ตั้งใจ และมุ่งมั่นที่สุด ทำให้รู้สึกภูมิใจ และคุ้มค่ากับการลงทุน มันคือ ผลตอบแทนของความพยายาม ฟอร์มูลา : เป้าหมายต่อไปของคุณคืออะไร ? ชไมพร : เป้าหมายตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การแข่ง และการสอน ในส่วนของการแข่ง คิดว่าจะแข่งไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเราเข้าใจรถมากที่สุด เพราะประสบการณ์มันหาจากที่อื่นไม่ได้ ต้องมาจากสนามแข่ง เวลาเราแข่ง มันเหมือนได้ซ้อมเรื่อยๆ และได้เรียนรู้จากคนเก่งๆ สำหรับเป้าหมายในการสอน จริงๆ แล้วของ BMW จะมี 4 ระดับ แต่ว่าการสอนของอินเตอร์เนชันแนลได้แค่ 2 ระดับ ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะในส่วนระดับที่ 3 และ 4 จะเน้นการสอบเพื่อเป็นครูฝึกของครูฝึกอีกที ซึ่งตอนนี้เราผ่านระดับ 1 แล้ว ในปีหน้ามีพี่ๆ มาชวนให้ไปสอบระดับ 2 เพราะในส่วนของภาคทฤษฎี ก็จะต้องมีการฝึกในระดับที่สูงขึ้น และลูกค้าที่เข้ามาฝึก ก็ต้องการที่จะเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมี DRIVING INSTRUCTOR จากเมืองไทยไปสอบในระดับที่สูงขึ้นที่จะมาสอนในระดับแอดวานศ์ขึ้นไปอีก ฟอร์มูลา : แนะนำคนที่อยากเป็น DRIVING INSTRUCTOR ว่าต้องเตรียมตัว อย่างไร ? ชไมพร : ทุกคนสามารถเป็นได้ ไม่จำเป็นต้องขับรถเก่ง ไม่ต้องขับรถเร็ว แค่มีใจ และรักในการสอน ก็สามารถเป็น DRIVING INSTRUCTOR ได้ การคัดเลือกมาเป็น DRIVING INSTRUCTOR ไม่ได้หาคนที่เก่งที่สุด แต่หาคนที่มีความชอบในการสอน มีความรู้สึกที่อยากจะถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจได้ง่าย และที่สำคัญต้องมีความอดทนค่อนข้างมาก เพราะลูกค้าที่มาเรียนมีหลากหลาย ฉะนั้นวิธีการถ่ายทอดก็ต้องเปลี่ยนไปตามบุคคล ต้องมีความพยายามในการอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจได้ทุกคน ต้องใจเย็น และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นักเรียน ฟอร์มูลา : จะนำความรู้ตรงนี้มาปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร SKILL DRIVING อย่างไร ? ชไมพร : ปรับใช้เรื่องการสื่อสาร ให้ลูกค้าเข้าใจ และได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงพัฒนาคนของเราในการสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจ นำลำดับมาปรับใช้ในการพูด การพรีเซนท์ เพราะทาง BMW อบรมมาค่อนข้างดี เป็นรูปธรรม และเข้าใจง่าย ฟอร์มูลา : คุณมองว่าคนไทยมีพฤติกรรมการขับขี่แบบใด ? ชไมพร : เพื่อนๆ ชาวต่างประเทศทุกคนพูดเหมือนกันว่า ขับรถในประเทศไทยยากที่สุด เพราะสิ่งที่คนไทยขาด คือ การเคารพกฎจราจร ต้องเริ่มจากเบสิคง่ายๆ คือ การเคารพกฎจราจร ข้ามทางม้าลาย ไม่ฝ่าไฟแดง แค่นี้ก็จะปลอดภัย ลองย้อนกลับไปดูเรื่องอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่มาจากการผิดกฎจราจร ถ้าลดตรงนี้ให้ได้ อุบัติเหตุจะลดลง และเรื่องต่อไปคือการปลูกฝังเรื่องทักษะการขับขี่เวลาเกิดอุบัติเหตุ หรือการสร้างสถานการณ์เพื่อให้ผู้ใช้รถเตรียมรับมือกับสถานการณ์เหล่านั้น ฟอร์มูลา : คุณจะมีส่วนช่วยในการปลูกฝังวินัยการจราจรของคนไทยได้อย่างไรบ้าง ? ชไมพร : เริ่มจากปลูกจิตสำนึกให้แก่เยาวชนก่อน เพราะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ปีที่แล้วได้ทำโครงการ SKILL DRIVING JUNIOR เริ่มจากปลูกฝังกฎจราจรให้แก่เด็กๆ ป้ายจราจรต่างๆ ไฟแดงต้องหยุด ทางม้าลายต้องหยุด ไฟเหลือง คือ ชะลอ กับผู้ใหญ่นี่จะค่อนข้างยาก แต่สิ่งที่จะสามารถทำกับผู้ใหญ่ได้ คือ การสอนทักษะการขับขี่เวลาเกิดอุบัติเหตุ เพื่อเตรียมความพร้อม เหมือนมีอาวุธป้องกันตัวไว้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบนถนนมันจะเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นได้ทุกวินาที ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุด คือ เราต้องมีทักษะ เหมือนเป็นการฝึกซ้อมก่อน เพราะจะทำให้คุ้นชิน ฝังเข้าไปในพฤติกรรมของเรา แล้วพอเกิดเหตุการณ์จริงจะแก้ไขได้โดยไม่รู้ตัว
เรื่องโดย : สุดาภรณ์ ไกรแก้ว, นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : ฝ่ายภาพ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2561
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/239174