รอบรู้เรื่องรถ
รถไฟฟ้า แค่เรียกชื่อให้ถูก ยังยาก
ใช่ครับ ถ้าใครจะคุยกันเรื่องนี้ และไม่ต้องการให้ไปกันคนละทิศละทาง คงต้องมาทำความตกลงกันก่อน ว่าแต่ละฝ่ายนั้นหมายถึงรถประเภทไหนกันแน่ ผมไม่ชอบนำภาษาต่่างประเทศมาใช้ในเรื่องของผม แต่ในเรื่องนี้คงหลีกเลี่ยงได้ยากครับ ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ เจ้ารถไฟฟ้าทั้งหลายที่ผมจะกล่าวถึงนี้ ไม่ใช่ผลงานของคนไทยแต่ดั้งเดิมครับบรรดานักประดิษฐ์และเจ้าของนวัตกรรมด้านนี้ เกือบทั้งหมดเป็นชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ หรืออย่างน้อยก็ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารในระดับสากล เริ่มกันที่ชื่อยานพาหนะไฟฟ้า หรือในภาษาอังกฤษว่า ELECTRIC VEHICLES ซึ่งถ้าไม่ต้องการความเคร่งครัด ก็น่าจะถูกต้อง (ในความหมายที่พวกเราต้องการสื่อสารถึง คือ รถยนต์นั่ง หรือ “รถเก๋ง” ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า) แน่นอนอยู่แล้วครับเพราะความหมายนี้ครอบคลุมกว้างมาก ไม่ใช่เพียงแค่รถยนต์นั่งที่เราหมายถึง แต่รวมไปถึงยานพาหนะทุกรูปแบบที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ทั้ง รถ, เรือ, เครื่องบิน หรืออะไรก็ตามที่พามนุษย์เราโดยสารไปด้วยได้ ถ้าจะจำกัดความหมายไว้แค่ รถยนต์นั่งหรือ “รถเก๋ง” ที่เราคุ้นเคย ก็ต้องเรียกว่ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ ELECTRIC CARS และใช้แบทเตอรีเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะรับถ่ายทอดมาจากระบบไฟฟ้าตามบ้าน หรือสถานีประจุไฟฟ้า หรือจะรับพลังงานมาจากเครื่องยนต์อีกทอดก็ตาม ในส่วนของรถไฟฟ้าแบบไฮบริด (HYBRID ELECTRIC CARS) หรือแบบไฮบริดที่ประจุพลังงานไฟฟ้าจากระบบของไฟบ้านหรือสถานีประจุ (PLUG-IN HYBRID ELECTRIC CARS) นั้น ถูกแนะนำจนคุ้นเคยกันมาหลายปีแล้ว หน้าที่ของผมที่ได้รับมอบหมายจากบรรณาธิการในคราวนี้ คือ การแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า หรือ ELECTRIC CARS “แท้ๆ” หรือในตัวย่อที่ไม่ค่อยตรงความหมายนัก คือ EV (ELECTRIC VEHICLES) แต่เมื่อเป็นความนิยมอย่างกว้างขวางไปแล้ว เราก็คงไม่อยากไปแก้ไขให้เหนื่อยเปล่าๆ ครับ กล่าวง่ายๆ ก็คือ EV ที่นิยมใช้กันอยู่นั้น ความหมายที่แท้จริง ก็คือ EC (ELECTRIC CARS) หรือรถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง เพื่อให้สั้นและสะดวก ผมขอย่ออีกหน่อยตามความนิยมของพวกเราว่า “รถไฟฟ้า” นะครับ ที่จริงรถไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ใหม่ทันสมัย หรือนวัตกรรมนะครับ มันมีมาเกิน 100 ปีแล้ว ไม่แปลกอะไรครับ ถ้าเรามีรถใช้เครื่องยนต์ มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มีแบทเตอรีที่สามารถกักเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ระดับหนึ่ง และมีมอเตอร์ไฟฟ้า แค่เอามันมาแทนที่เครื่องยนต์ ก็ได้รถไฟฟ้ามาใช้แล้ว เพียงแต่ว่าหลังจากริเริ่มได้ไม่นาน มันถูกเครื่องยนต์บดบังรัศมีจนรถไฟฟ้าต่างๆ ล้มหายตายจากไปหมด เพราะขณะนั้นยังไม่มีความก้าวหน้าทางด้านเทคนิคในการผลิตแบทเตอรีที่ทนทาน ประจุพลังงานไฟฟ้าได้มากเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวมัน รวมทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ยังให้กำลังไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับน้ำหนักและขนาด ในขณะเดียวกัน “ฝ่ายตรงข้าม” ซึ่งก็คือเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ใช้ทั้งน้ำมันและแกสที่ได้จากการขุดพบน้ำมันดิบใต้ดิน กระจายกันอยู่ทั่วโลก ถี่บ้างห่างบ้าง และดูเหมือนมีอยู่มหาศาล ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด เมื่อคำนวณจากจำนวนยานพาหนะในยุคนั้น เมื่อทุกอย่างเอื้ออำนวย และเชื้อเพลิงจากน้ำมันดิบใต้ดินถูก “ตีตรา” ว่ามันคือ “เชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะของมนุษยชาติ” หาที่ติไม่ได้ เปรียบความรู้สึกในทางศาสนา ก็คือเชื้อเพลิงที่ “พระเจ้าประทานมา” หรือ “สวรรค์ส่งมา” ให้พวกเราใช้ เรื่องมลพิษ หรือมลภาวะหรือครับ คำนี้ยังไม่ถูกบัญญัติขึ้นมาใช้ด้วยซ้ำไป ตัวการสำคัญอีกอย่าง ที่ทำให้รถไฟฟ้าเสมือน “สูญพันธุ์” ไปเกือบศตวรรษ ก็คือความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ในการพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่เพิ่มกำลังขึ้นตามลำดับ พร้อมกับการลดน้ำหนักตัวและขนาด กับความทนทานที่เพิ่มขึ้นในระดับเกือบ 10 เท่า เครื่องยนต์ของรถยนต์นั่งขนาดกลาง ที่เมื่อ 50-60 ปีก่อน มีอายุใช้งานก่อนการ “ซ่อมใหญ่” คิดเป็นระยะทาง ประมาณ 100,000 กม. ทุกวันนี้ เราไม่ถือเป็นเรื่องที่ควรตื่นเต้น ถ้าพบรถที่ถูกใช้งานมา 500,000-600,000 กม. ด้วยเครื่องยนต์เดิม และชิ้นส่วนภายในดั้งเดิมจากโรงงาน และอีกข้อหนึ่งที่น่าจะเรียกว่าเป็นความบังเอิญตามธรรมชาติ ซึ่งก็คือความหนาแน่นของพลังงานในน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเทียบต่อ น้ำหนัก หรือต่อปริมาตรก็ตามครับ ยกตัวอย่าง เช่น น้ำมัน 50 ลิตร ในถังสำหรับรถยนต์ขนาดกลาง สามารถเดินทางได้ไกลราวๆ 500-600 กม. อย่างสบาย หัวข้อคุณสมบัติของรถไฟฟ้าที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปนี้ ไม่ได้ถูกเรียงลำดับตามความสำคัญนะครับ เพราะถึงอยากจะเรียง ก็คงทำไม่ได้ และไม่เป็นธรรมด้วย ข้อที่สำคัญสำหรับผมที่สุด อาจจะไม่ใช่ และไม่น่าจะใช่สำหรับผู้อ่าน ราคา ในความเป็นจริง คงแทบไม่มีใครทราบว่า ต้นทุนในการผลิตรถไฟฟ้าที่มีสมรรถนะ ขนาด หรือคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับผู้ใช้อีกบางประการนั้น สูงกว่า ต่ำกว่า หรือว่าพอๆ กันกับรถใช้เครื่องยนต์ในระดับเดียวกัน แต่เท่าที่เราเห็นกันอยู่ชัดเจนนั้น มักจะสูงกว่าเสมอ ทั้งที่ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น ผู้ที่จะใช้รถไฟฟ้าแทนรถเครื่องยนต์ หรือแบบไฮบริด จะต้องยอมรับจุดอ่อนบางอย่างอยู่แล้ว เช่น ระยะทางที่ขับได้ต่อการอัดไฟ 1 ครั้ง ความหายากของสถานีอัดไฟ กรณีที่ต้องเดินทางไกล และเวลาที่ต้องรอในการอัดไฟแต่ละครั้ง ถ้ายังถูกซ้ำเติมด้วยเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มตอนซื้อรถเข้าไปอีก มันก็จะขาดความสมดุลครับ ถ้าหักล้างได้เพียงค่าไฟฟ้าที่ต่ำกว่าค่าน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะสนับสนุน หากต้องการให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้ากันอย่างจริงจัง ด้วยการชดเชยทั้งฝ่ายผู้ผลิต และผู้บริโภค ซึ่งก็คือการกำหนดอัตราภาษีให้เหมาะสมนั่นเอง ความสิ้นเปลือง สำหรับรถไฟฟ้า มีส่วนที่สำคัญอยู่ 2 ส่วนเช่นเดียวกับรถเครื่องยนต์ คือ ค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อน และค่าบำรุงรักษา อย่างหลังนี่เห็นได้ชัดเจนครับว่าต่ำกว่ารถเครื่องยนต์ เพราะมีชิ้นส่วนที่จะชำรุดสึกหรอ หรือรั่วซึมไม่มากเท่า ส่วนค่าเชื้อเพลิง และค่าพลังงานไฟฟ้า ที่อ้างกันอย่างง่าย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ว่ารถไฟฟ้าช่วยประหยัด “เชื้อเพลิง” หรือค่าพลังงานได้พอสมควร เมื่อเทียบกับรถเครื่องยนต์ มีประเด็นที่ต้องพิจารณาอยู่ 2 ข้อด้วยกัน คือ ประหยัดได้จริงหรือไม่ และถ้าหากว่าได้จริง ส่วนต่างที่ประหยัดได้นี้ คุ้มต่อการใช้รถไฟฟ้าหรือไม่ ข้อแรกนั้น ไม่ต้องไปฟังใครทั้งนั้นครับว่ารถแบบไหนจะประหยัดค่าพลังงานในการขับเคลื่อนกว่า เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อน แต่ขึ้นอยู่กับราคาที่รัฐ หรือบริษัทเอกชน ขายพลังงานไฟฟ้า และขายน้ำมันเชื้อเพลิงแก่เรา ซึ่งในแต่ละประเทศ ก็มีเงื่อนไข และเหตุผลแตกต่างกันไป ในประเทศที่ราคาพลังงานไฟฟ้าต่ำ แต่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงมาก เราก็น่าจะเสียค่าพลังงานในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าน้อยกว่ารถเครื่องยนต์ แต่ในอีกประเทศ เงื่อนไข และเหตุผลอาจจะตรงกันข้าม ความได้เปรียบค่าพลังงานในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ที่มักจะอ้างกันง่ายๆ ก็จะไม่เป็นความจริงเลย สมมติว่าผ่าน “ด่าน” แรกมาได้แล้ว คือ เปรียบเทียบจากผู้ใช้งานจริงที่เรารู้จัก รวมทั้งผลทดสอบที่น่าเชื่อถือแล้วว่า รถไฟฟ้ารุ่นที่เราสนใจอยู่นั้น ประหยัดค่าใช้งาน และค่าบำรุงรักษาได้อย่างชัดเจน มีตัวเลขเป็นเงินอย่างคร่าวๆ แล้ว ก็ต้องมาดูความคุ้มในการ “แลก” กับราคาที่สูงกว่า เท่านี้ยังไม่พอครับต้องประเมินราคาขายต่อ เมื่อต้องการเปลี่ยนรถใหม่ด้วย ว่ามันจะตกรุนแรงกว่ารถเครื่องยนต์แค่ไหน บวกกับภาระในการเดินทางไกล หรือแม้แต่ค่าเสียเวลาในการรอ กว่าประจุไฟฟ้าจะเต็มด้วย ว่ายังพอมี “ความคุ้ม” เหลืออยู่หรือเปล่า และมากน้อยเพียงใด สมรรถนะ สำหรับผู้ที่เน้นการประหยัดค่าใช้จ่าย สมรรถนะอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับต้นๆ แต่ยังมีคนอีกประเภท บางประเภทครับ ที่อยากใช้รถไฟฟ้า โดยไม่ได้สนใจว่ามันจะช่วยประหยัดเงินได้หรือไม่ พวกหนึ่งเป็นพวกชอบลองของใหม่ อีกพวกอยากใช้เพื่อภาพลักษณ์ ว่าทันสมัยใส่ใจเรื่องสิ่งเเวดล้อม และอีกพวกอาจจะชอบทุกแนวที่ว่านี้รวมกัน ในทางเทคนิคที่ส่งผลต่อสมรรถนะ รถไฟฟ้าได้เปรียบรถเครื่องยนต์อยู่พอสมควรครับ ด้วยขนาด และน้ำหนักระดับเดียวกัน มอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงบิดได้สูงกว่า หมุนได้เร็วมากโดยไม่ต้องใช้วัสดุพิเศษกับชิ้นส่วนภายในมากมาย เหมือนในเครื่องยนต์ และอีก 2 ข้อที่ส่งผลดีในด้านนี้อย่างมาก ก็คือ มอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงบิดได้คงที่ ทั้งย่านที่ทำงาน กับที่พิเศษสุดจริงๆ คือ มันสามารถให้แรงบิดสูงสุดได้ตั้งแต่ยังไม่หมุนเลยครับ สำหรับผู้ที่จินตนาการลำบาก เอาเป็นว่ามันให้แรงบิดสูงสุดได้ทันทีตั้งแต่เริ่มหมุนก็ได้ บางรุ่นอาจจะถึงขั้นสวนทางกับเครื่องยนต์ คือ แรงบิดสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มหมุนแล้วถึงค่อยๆ ลดลงตามความเร็วของแกน รถไฟฟ้าเกือบทั้งหมดจึงไม่ต้องมีเฟืองเกียร์ช่วยเพิ่มแรงบิดที่จะส่งไปยังล้อขับเคลื่อน ถ้าอยากให้ “เต็มที่” จริงๆ บางรายก็ใช้เพียง 2 เกียร์ครับ ด้วยเหตุนี้ รถไฟฟ้าที่เน้นสมรรถนะ เช่น รถเก๋งระดับราคาสูง รถสปอร์ท หรือแม้แต่รถแข่ง จึงมักจะมีอัตราเร่งดีกว่า รถประเภทเดียวกันที่ใช้เครื่องยนต์ และ “ตัวช่วย” ที่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง ก็คือ แบทเตอรีครับ ที่มีน้ำหนักเบาลงเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้า เมื่อเทียบกับปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่กักเก็บได้ อย่างเดียวยังไม่ช่วยด้านสมรรถนะเท่าไรนักครับ สิ่งสำคัญคือ ความสามารถในการปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ในอัตราสูง ในยามที่มอเตอร์ (หรือผู้ขับ) เรียกร้องต้องการ ซึ่งเราจะย้อนกลับมาดูรายละเอียดกันอีกทีในตอนหน้า เพราะเนื้อที่หมดพอดีครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2561
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/239150