รอบรู้เรื่องรถ
ขี่ "บิกไบค์" ต้องใช้สมอง
ถึงไม่อยากใช้คำในภาษาอังกฤษ ก็จำเป็นต้องใช้ครับ เพราะยังไม่มีการบัญญัติให้ใช้อย่างเป็นทางการ จะโดยใครก็ตาม โดยทั่วไปเป็นที่เข้าใจกันว่า คือ ราชบัณฑิตยสถาน ถ้าใช้ก็อย่ารีรอตั้งท่าอยู่เลยครับ อย่าปลอบใจประชาชนใช้คำทับศัพท์จนคุ้นเคย แล้วจึงค่อยเผยแพร่ออกมาทำนองเดียวกับการบัญญัติคำไทยของ SOFTWARE และHARDWARE ซึ่งนอกจากจะล่าช้าจนเกิดความล้มเหลวแล้ว ยังเกิดการเข้าใจผิด จนทำให้ตัวแทนของราชบัณฑิตยสถานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ต้องเสียชื่อเสียง ได้รับความอับอายจากการถูกประชาชนเย้ยหยัน แล้วยังล่าช้าจนคำที่ถูกบัญญัติ ซึ่งผมเห็นว่าแปลได้ดี หมดโอกาสถูกประชาชนเลือกเปลี่ยนมาใช้ คำแปลว่า “ละมุนภัณฑ์” และ “กระด้างภัณฑ์” ที่ตรงทางภาษาจนน่าสมเพชนี้ ถูกบัญญัติโดยนักการเมืองในรัฐสภาครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง ตั้งแต่นั้นก็ถูกโหมกระพือโดยสื่อต่างๆ ให้เข้าใจผิดว่าเป็นการแปลโดยสมาชิกของราชบัณฑิตยสถาน ส่วนคำที่ถูกบัญญัติอย่างเป็นทางการ คือ “ส่วนชุดคำสั่ง” และ “ส่วนเครื่อง” หรือ “ส่วนอุปกรณ์” ซึ่งความหมายตรงกับการใช้งานดีมาก เพียงแต่เผยแพร่ออกมาล่าช้า และเป็นวงแคบ การบัญญัติศัพท์ภาษาไทย ให้ตรงกับความหมายในภาษาอื่นนั้นยากมาก แต่ถึงจะคลาดเคลื่อนเล็กน้อย (หรือมากก็ตาม) ก็ไม่ได้เป็นปัญหาในการให้ประชาชนนำมาใช้อย่างแพร่หลายเลย เพราะเมื่อใช้งานจนคุ้นเคย เราจะนึกถึงสิ่งนั้นโดยตรง โดยมิได้คำนึงว่า แท้ที่จริงนั้นมันแปลว่าอะไร เช่น คำว่า เชื้อเพลิง ซึ่งแปลมาจากคำว่า FUEL แม้ความหมายของคำต้นทางไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเปลวเพลิงเสมอไปก็ตาม ถึงเวลาบัญญัติศัพท์ไทย แทนคำว่า บิกไบค์ อย่างเร่งด่วนแล้ว หากต้องการให้มีการใช้ภาษาไทยสำหรับคำนี้อย่างเป็นทางการ นอกจากการบัญญัติคำแล้ว ยังต้องมีการตีความด้วยว่า รถที่เข้าข่ายถูกเรียกว่า บิกไบค์ ต้องมีลักษณะเช่นใด เนื่องจากขนาด และน้ำหนักของรถ ขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์ของจักรยานยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์นี้ จากโรงงานผู้ผลิตมิได้ใช้อุปกรณ์ช่วยอัดอากาศ หรือส่วนผสมของอากาศกับเชื้อเพลิง กำลังของเครื่องยนต์จึงขึ้นอยู่กับความจุ DISPLACEMENT หรือ SWEPT VOLUME ของเครื่องยนต์เป็นหลัก จึงน่าจะกำหนดความเป็น บิกไบค์ ด้วยค่านี้ ซึ่งผมไม่ขอออกความเห็นว่าควรเป็นคำใด จากประสบการณ์หลายวันของผมในงานมหกรรมยานยนต์ ทำให้ผมมีความกังวลใจอย่างมาก ว่าคนไทยเราจะต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุโดยการขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือ บิกไบค์ ในจำนวนที่ไม่สมควรจะเป็น จากความนิยมรถประเภทนี้ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะใน 2 ปีที่ผ่านมา การขี่ บิกไบค์ ให้ปลอดภัย ไม่ใช่แค่ให้พาผู้ขี่เคลื่อนที่ไปตามถนนได้ ต้องใช้ทักษะที่ได้จากการเรียน การฝึกหัด การฝึกฝนจนมีความชำนาญในระดับที่จะขี่รวมกับผู้ใช้รถบนถนนในสภาพพื้นผิวต่างๆ ทักษะนี้ต้องได้มาจากการเรียนโดยผู้สอนนะครับ มิใช่ได้มาจากการขี่ตามสัญชาตญาณไปเรื่อยๆ ให้มากพอ นานพอ (เพราะจะตายเสียก่อนที่จะขี่เป็น) มีความเชื่อที่ผิดอย่างร้ายแรง ว่าใครก็ตามที่ขับรถเกียร์ธรรมดาเป็น และขี่จักรยาน หรือจักรยานยนต์ขนาดเล็กเป็น ย่อมเอาความสามารถสองอย่างนี้มาผสมผสานกัน เพื่อให้ขี่ บิกไบค์ (ให้ปลอดภัย) ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ การทรงตัวบนยานที่ดีเพียง 2 ล้อ ได้มาจากการขี่จักรยาน และการขับรถยนต์เป็น ส่วนการใช้คันเร่งควบคุมกำลังของเครื่องยนต์ การเปลี่ยนเกียร์ และการใช้คลัทช์ ได้มาจากการขับรถยนต์เกียร์ธรรมดา เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ครับ เปรียบเทียบได้กับคนที่เล่นสเกทบอร์ดเป็น เล่นกระดานโต้คลื่นเป็นโดยอัตโนมัติ จากตัวอย่างที่ผมยกมา มันมีความแตกต่างมากมาย การควบคุมกำลังของเครื่องยนต์ ใช้มือขวาแทนเท้าขวา การเบรคด้วยเท้าขวามีผลต่อทุกล้อ ถูกเปลี่ยนเป็นใช้นิ้วมือขวาสำหรับล้อหน้า และเท้าขวาสำหรับล้อหลัง ซึ่งสมองของเราจะต้องทำหน้าที่เลือกแรงเบรคของล้อหน้า และล้อหลัง ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น เบรคเบา ใช้แรงเบรคพอๆ กัน ยิ่งเบรคหนักขึ้นเท่าไร ยิ่งจะต้องลดแรงเบรคที่ล้อหลัง และเพิ่มแรงเบรคล้อหน้าทดแทน การเลือกเกียร์ เปลี่ยนจากมือซ้ายมาเป็นเท้าซ้าย การเหยียบคลัทช์ด้วยเท้าซ้าย ถูกเปลี่ยนให้ใช้นิ้วมือซ้ายแทน และขณะเดียวกันจะต้องรักษาการทรงตัวให้สมดุลทั้งทางตรง และทางโค้ง ในขณะที่ผู้ขับรถตั้งแต่ 3 ล้อขึ้นไป ไม่มีปัญหานี้ จะเห็นได้เลยครับว่า “แชมพ์โลก” บิกไบค์ ต้องมีความสามารถมากกว่า แชมพ์โลกรถแข่งสูตร 1 (F-1) อย่างมาก ในความเห็นของผมมากกว่าหลาย 100 % ครับ แต่กลับมีรายได้ไม่ถึง 1 ใน 10 ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะมันขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ทางธุรกิจ ที่ไม่มีความยุติธรรมเสมอไปอยู่แล้ว นอกจากนี้ เนื่องจากมวล (หรือเรียกอย่างที่คุ้นเคยกันว่า น้ำหนักก็ได้ครับ) ของ บิกไบค์ ต่างจาก จักรยาน และจักรยานยนต์ขนาดเล็กเป็นอย่างมาก เราไม่สามารถใช้น้ำหนักตัวช่วยในการเลี้ยวได้ จึงต้องเพิ่มแรงที่แขนในการเลี้ยวให้ได้ตามที่ต้องการ และรวดเร็วพอเพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวาง สรุปแล้วการขี่ บิกไบค์ ให้ปลอดภัยต้องผ่านการเรียน การฝึก และการตรวจสอบ ว่ามีความรู้ความเข้าใจ และทักษะเพียงพอ ในการควบคุมยานพาหนะสมรรถนะสูงเช่นนี้ ถึงเวลาแล้วที่กรมการขนส่งทางบก จะต้องสนับสนุนให้มีโรงเรียนสอนขับขี่ มีระดับการสอบที่สูงขึ้น เพื่อรับใบอนุญาตขับขี่รถประเภทนี้โดยเฉพาะ เท่าที่ผมทราบมีเพียงไม่กี่แห่ง ที่มีการสอนระดับนี้ และเป็นของเอกชน ขอชมเชยที่เห็นความสำคัญของปัญหานี้ครับ ถึงจะมีมาตรฐานสูงพอแล้ว เช่น การสอบขอใบอนุญาตขับขี่ บิกไบค์ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การขี่ บิกไบค์ สมรรถนะสูงเหล่านี้ ก็ยังเป็นการเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตอยู่ดีครับ แต่แทบจะไม่มีใครเข้าใจสาเหตุที่แท้จริง เพราะไม่มีใครอธิบายแบบลงลึก และโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการนี้ทั้งทางตรง และทางอ้อม ที่ล้วนมีผลประโยชน์จาก บิกไบค์ ย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอ่ยถึง จึงทำให้ผู้ที่กำลังขี่ ผู้ที่วางแผนว่าจะขี่ ล้วนใช้สามัญสำนึกในการตัดสิน คือ ถ้ามันไม่ดีจริง มีความเสี่ยงต่อชีวิตสูงมาก เหตุใดจึงมีคนนิยมขี่จำนวนมาก แม้ในประเทศที่ก้าวหน้าพัฒนาแล้ว เอาแบบตื้นๆ ก่อนครับ คำตอบก็คือ สิ่งที่ให้โทษ ก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ ถ้ามัน “ถือกำเนิด” ขึ้นมาแล้ว และกลายเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจ ที่ทำกำไรได้ดี ไม่มีใครกำจัดให้หมดไปได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ทำลายสุขภาพ (เช่น ทำลายประสาทตา สมอง) หรือ อาหารที่ให้โทษ มากกว่าประโยชน์ แต่อร่อยลิ้น บิกไบค์ ก็เช่นเดียวกันครับ มาลงลึกให้เห็นปัญหาที่แท้จริงกันครับอย่างที่เราทราบกันมาจากการเรียน หรือการอ่านว่ามนุษย์เรามีวิวัฒนาการมาเป็นพวกเรา มีการพัฒนาทางสมองดีกว่าด้านอื่น จากที่เคยไล่จับสัตว์มากิน เปลี่ยนเป็นทำกับดัก แล้วพัฒนามาเป็นเพาะเลี้ยงไว้เป็นอาหาร แน่นอนว่าสรีระ และเคมีต่างๆ ในร่างกายก็ต้องวิวัฒนาการตาม แม้จะตามไม่ทันก็ตาม เพราะสมองของลิงใหญ่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก มีการสกัดน้ำตาลทรายจากน้ำอ้อย มาใช้เข้มข้นเท่าใดก็ได้ ดัดแปลงธัญพืชให้เป็นผงแป้งขัดขาว เอามาอบทำขนม ซึ่งล้วนไม่ใช่อาหารในรูปแบบที่ให้โทษต่อระบบต่างๆ ในร่างกายของลิงใหญ่ ซึ่งเป็นที่มาของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เพราะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการดำรงชีวิตอย่างรวดเร็ว พลิกผันจนวิวัฒนาการตามไม่ทันครับ อีกหมื่นปีข้างหน้าลิงใหญ่จะปรับตัวจนกินน้ำตาล แป้งขัดขาวได้โดยไม่มีโทษต่อร่างกาย และไม่หยุดอยู่แค่นี้ครับ มาดูด้านที่เกี่ยวกับ บิกไบค์ ของเรากันบ้าง เมื่อเกือบ 200 ปีที่ผ่านมา (คศ. 1817) หนึ่งในลิงใหญ่ค้นพบว่า เราสามารถทรงตัวบนล้อเลื่อนเพียง 2 ล้อ ที่ล้อหน้าเลี้ยวได้โดยไม่ล้มลงไป เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ ครับ ที่หลังจากนั้นเพียง 6 ปี ก็มีผู้คิดประดิษฐ์เครื่องยนต์สันดาปภายในขึ้นได้ (คศ. 1823) แต่หลังจากนั้นนานพอสมควร คือ เกือบ 60 ปีต่อมา ถึงมีการนำ 2 สิ่งนี้มาผนวกกันอย่างเป็นรูปธรรม และถูกพัฒนามาอย่าง ต่อเนื่องจนเป็น บิกไบค์ นี่แหละครับ จากสมองอันชาญฉลาดของลิงใหญ่ ปัญหาทั้งหลายในเรื่องนี้อยู่ที่สรีระของลิงใหญ่ ที่ไม่ได้ถูกสร้างให้มาเคลื่อนที่เร็วบนยานพาหนะ และพร้อมที่จะปะทะกับสิ่งกีดขวางแข็ง และหนัก ได้โดยไม่เป็นอะไร สรีระของบรรพบุรุษของพวกเรา ถูกสร้างมาให้เป็นนักวิ่ง วิ่งตามล่าสัตว์ได้เช้ายันเย็น และเมื่อพัฒนามาจนไม่ต้องทำเช่นนี้อีกต่อไป สรีระก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เพราะเซลล์ และระบบต่างๆ ในร่างกาย ค่อยๆ วิวัฒนาการไปในทิศทางที่เหมาะสม ไม่ว่าจะอีกกี่พันกี่หมื่นปี พวกเราก็จะยังไม่มีสรีระที่เคลื่อนที่เร็ว และปะทะของแข็ง และหนักได้โดยไม่เป็นอะไร เพราะไม่มีการสื่อให้ร่างกายวิวัฒนาการตาม พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อสมองของเราล้ำหน้า สร้างสิ่งที่พาร่างเราเคลื่อนที่เร็วกว่าการวิ่งด้วยขา เป็น 10 เป็น 100 เท่าก็ไม่มีทางอื่นเหลือ นอกจากเสี่ยงตายกันไป โดยการหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายปะทะของแข็ง ใหญ่และหนักด้วยความเร็วสูงพอครับ ซึ่งไม่ต้องมากเลย แค่ไม่กี่ 10 กม./ชม. ก็ตายได้แล้ว ที่พูดกันว่าขี่มา 100 กว่า กม./ชม. ชนแล้วยังรอดนั้น มันเป็นความเร็วเดินทาง (CRUISING SPEED) ครับ ไม่ใช่ความเร็วตอนชน (COLLISION SPEED) เพราะส่วนใหญ่มีการเบรคลดความเร็วลงมาพอสมควรก่อนชน และถ้าความเร็วขณะชนสูงพอ หมวกกันนอคก็ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ครับ หรือถูกกระแทกด้านข้าง ในมุมที่ทำให้คอหัก หมวกกันนอคก็ไม่มีส่วนช่วยเลยแม้แต่นิดเดียว มาถึงจุดนี้น่าจะมีคำถามเกิดขึ้นในใจของผู้อ่าน 2 ข้อด้วยกันนะครับ คือ 1. แล้วตกลงจะบอกให้ขี่ ไม่ขี่ หรือเลิกขี่ ? 2. คอลัมน์นี้ถูกเขียนโดยคนที่ไม่รู้จัก บิกไบค์ หรือเปล่า ? รู้หรือไม่ว่าเวลาขี่รถประเภทนี้มัน “มัน” ขนาดไหน ? ผมขอแบ่งผู้ชอบ บิกไบค์ ออกเป็น 3 ประเภท ตามความเห็นส่วนตัวของผมดังนี้ ประเภทแรก ไม่ควรขี่เลย ถ้ายังไม่เคยขี่เลย ไม่ได้ชอบถึงขั้นหลงใหล แต่ตอนนี้ฐานะทางการเงินพร้อม อยากจะลองดูสักหน่อย เพราะคิดว่าไม่น่ายาก และไม่อันตรายถ้าอ่านมาถึงตรงนี้คงได้คำตอบแล้วนะครับ ถ้าขี่มาพอแล้ว เคยบาดเจ็บมาบ้าง แต่ไม่เชื่อว่าอันตราย เพราะพรรคพวกรอบข้าง บอกว่าเป็นเพราะ “ดวงซวย” แค่นั้นเอง ไม่ได้หลงใหลถึงขั้นเลิกไม่ได้ บัดนี้ได้เวลาแล้วครับ โดยเฉพาะผู้ที่ยังต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัว มีลูกอายุยังน้อย ไม่ได้มีเงินเก็บไว้เผื่อตายกะทันหัน หรือแม้มีเงินเหลือพอ แต่ใครจะมาตั้งใจเลี้ยงดูลูกแทนเราครับ ผมขอแนะนำว่า ให้ตั้งสติให้ดี แล้วถามตัวเองโดยไม่เข้าข้าง ว่าเรารักตัวเอง หรือรักลูกกันแน่ ที่บอกว่าอย่างไรเสียก็เลิกขี่ไม่ได้ เพราะชอบมันเหลือเกิน หมั่นทำบุญกุศลไว้ให้มาก อธิษฐาน (ถ้าเป็นชาวพุทธ) ไว้ว่า ชาติหน้าขอไปเกิดในประเทศพัฒนาแล้ว ที่สามารถขี่ บิกไบค์ ได้อย่างปลอดภัยมาก ไม่มีมนุษย์กากเดนร่วมถนน มาฆ่าเราทั้งๆ ที่เขาปฏิบัติตนถูกต้องในการขี่ บิกไบค์ ประเภทที่ 2 พวกนี้หลงใหลจน “เข้าเนื้อเข้ากระดูก” ไปแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องมีไว้ดู ไว้ขี่ ตัดขาดกันไปเลยคงไม่ไหว ผมขอแนะนำให้ขี่เป็นบางโอกาส ถ้ามีงานการทำอยู่ ก็หาเวลาขี่ยากพอสมควรอยู่แล้ว ปีละ 2-3 ครั้งก็พอ ที่สำคัญ คือ ขี่ในที่ปิดครับ คือ เอา บิกไบค์ ใส่รถไปให้ถึงที่หมาย (จะเป็นรถพ่วง รถตู้ หรือรถกระบะก็ได้) เช่าสนามแข่งรถ หรือตามต่างจังหวัด เช่น บนเขา ที่รถไม่พลุกพล่าน หรือหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ก็ได้ แบบนี้ก็น่าจะเอาชีวิตรอดได้ เน้นชื่นชมตอนจอดที่บ้านเป็นหลักครับ ทนไม่ไหวก็ติดเครื่องฟังเสียงหน่อย ประเภทที่ 3 เป็นพวกที่เห็นว่า การขับรถยนต์ 4 ล้อ ไม่มีทางให้ความรู้สึกดีเท่ากับขี่ บิกไบค์ ผมเข้าใจดีครับ มันเหมื่อนการได้ขี่ม้าพันธุ์ดี ฝีเท้าดี จะให้เปลี่ยนมาเป็นนั่งรถม้าแทนได้อย่างไร หรืออีกพวกหนึ่ง ขี่ บิกไบค์ เป็นงานอดิเรก แต่ทำใจไม่ได้กับการขี่ในที่จำกัดเหมือนประเภทที่ 2 ยังรักการท่องเที่ยวทางไกลด้วย บิกไบค์ เหลืออยู่วิธีเดียวครับ ที่จะขี่อย่างปลอดภัย คือ ไปเป็นกลุ่ม ยิ่งใหญ่ยิ่งดี และอย่าแตกกลุ่มเป็นอันขาด แน่นอนครับว่ามันไม่ให้อรรถรสเหมือนขี่คนเดียว หรือเพียงไม่กี่คน ต้องทำใจครับ มิฉะนั้นพวกเมาแอลกอฮอล เมายาบ้า ไอ้พวกชุ่ย ไม่มีสำนึกในคุณค่าของชีวิตผู้อื่น มันจะโผล่มาตัดหน้าเรา ชนเบียดเราอัดกับรั้วข้างทาง หรือตกถนน มันคงเป็นพวกสมองขาดสารอาหารในวัยเด็ก เพราะรัฐบาลทุกสมัยไม่เคยเหลียวแล ต้องทำใจครับว่าชอบ บิกไบค์ ในประเทศนี้ ได้แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว ตัวผมเองรอดชีวิตมา อยู่ในประเภทแรก ไปดู บิกไบค์ ทุกงานด้วยความชอบ กะว่าโอกาสเหมาะอีกหน่อย จะย้ายมาอยู่ในประเภทที่ 2 ผมเชื่อว่าถ้าปลุกผู้ที่ตายพร้อม บิกไบค์ ขึ้นมารวมกับพวกที่พิการตลอดชีพ แล้วถามว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ จะขี่อีกไหม เชื่อว่าทุกคนจะตอบว่า ไม่เอาหรอก มันหาความคุ้มค่าไม่ได้เลย
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2561
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/234700