สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
โทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด
"ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ โทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ซึ่งมีเป้าหมายจะทำให้ อีซูซุ เป็นผู้นำนวัตกรรม และความคุ้มค่าฟอร์มูลา : คุณมองว่าปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยจะมีทิศทางเป็นอย่างไร ? มาเอคาวะ : ปีนี้คาดว่ายังคงมีปัจจัยความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง แต่คิดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวมจะดีกว่าปีที่แล้ว โดยมียอดขายที่ 900,000 คัน เติบโตประมาณ 3.4 % ในปีที่แล้วมียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 871,650 คัน สำหรับ อีซูซุ ตั้งเป้าที่อยากให้ปีนี้มียอดขายโดยรวมใกล้เคียงกับปีที่แล้ว คือ ประมาณ 168,000 คัน เติบโตราว 3 % กว่า ๆ เทียบเท่ากับตลาด ฟอร์มูลา : ปัจจัยที่จะส่งผลต่อตลาดมีอะไรบ้าง ? มาเอคาวะ : ปัจจัยบวก คือ การลงทุนของภาครัฐ ในการขยายสาธารณูปโภคจะเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นแหล่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น และรัฐบาลให้การสนับสนุน และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างมาก และทำให้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยลบ เกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่มีความเสี่ยงมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ดูจากปัจจัยผันผวนของตลาดหุ้น และภาวะทางการเงินของโลก ทำให้เกิดความลังเลในการลงทุน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนของนักลงทุน อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องผลผลิตทางการเกษตรที่ราคาไม่ดีนัก ซึ่งน่าจะอยู่ในระดับต่ำสุด และถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเกษตรกรมีรายได้ไม่มาก จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ฟอร์มูลา : อีซูซุ มั่นใจกับตลาดเมืองไทยมากน้อยแค่ไหน ? มาเอคาวะ : อีซูซุ มีความมั่นใจในศักยภาพของเมืองไทยเต็มเปี่ยม เพราะ อีซูซุ ไม่ใช่นักลงทุน เราดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานถึง 60 ปี พร้อมที่จะก้าวต่อไปคู่กับสังคมไทย เพราะฉะนั้น หนึ่งในนโยบายหลักของบริษัทฯ คือ เสียสละเพื่อสังคมไทย เพราะเราอยู่ในสังคมไทย ฟอร์มูลา : คุณมองว่าตลาดรถพิคอัพในเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ? มาเอคาวะ : ตลาดรถพิคอัพเมืองไทยยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้น 9.4 % หรือมียอดขายที่ 365,082 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2558 มียอดขายที่ 333,710 คัน นอกจากนี้ หากมองย้อนกลับไปที่โครงการรถคันแรก ปัจจุบันครบกำหนดของเงื่อนไขที่สามารถซื้อขายได้แล้ว คาดว่าจะมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่กลับมาเปลี่ยนรถใหม่ บางส่วนน่าจะเลือกรถพิคอัพ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นตลาด และยอดขายให้กับรถพิคอัพอย่างแน่นอน ฟอร์มูลา : การแข่งขันในตลาดจะเป็นอย่างไร ? มาเอคาวะ : รถพิคอัพเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ทุกบแรนด์มีการแข่งขันกันสูง และเชื่อว่าปีนี้จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปีที่แล้ว อีซูซุ มียอดขายและส่วนแบ่งการตลาดที่สูงมาก ซึ่งแน่นอนว่ายี่ห้ออื่นๆ ย่อมต้องการส่วนแบ่งการตลาดของ อีซูซุ ฟอร์มูลา : เตรียมแผนรองรับคู่แข่งในตลาดไว้อย่างไร ? มาเอคาวะ : คนที่ตัดสินเลือกซื้อรถ คือ ลูกค้า อีซูซุ มีหน้าที่สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า เมื่อลูกค้าต้องการซื้อรถ ให้คิดถึงเรา นี่คือหน้าที่ของเรา การแข่งขันอาจมีบางส่วนใช้ราคาเป็นเครื่องมือ ทำให้เกิดสงครามราคา แต่ อีซูซุ หลีกเลี่ยงเรื่องสงครามราคามากที่สุด เท่าที่จะทำได้ วัตถุประสงค์สำคัญ คือ ต้องการรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้า ในบแรนด์ อีซูซุ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าซื้อรถไปเมื่อวาน วันนี้เราลดราคา ความเชื่อมั่นของลูกค้าก็จะหายไป และราคาขายต่อก็จะไม่คุ้มค่า การไม่ลดราคาก็เพื่อรักษาราคาขายต่อของรถมือสองให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ฟอร์มูลา : ตลาดส่งออกเป็นอย่างไร ? มาเอคาวะ : อีซูซุ ส่งรถจากฐานการผลิตในประเทศไทยไปจำหน่าย 115 ประเทศทั่วโลก แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจการเมืองของโลกไม่แน่นอน ในปีที่ผ่านมา ยอดส่งออกรถ อีซูซุ ไปตลาดต่างประเทศ อยู่ที่ 1.6 แสนคัน ส่วนปีนี้คาดว่าสถานการณ์น่าจะเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง โดยปีนี้จะพยายามรักษาอัตราคงเดิมไว้ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 1.65 แสนคัน ซึ่งในอดีตตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของ อีซูซุ อยู่ที่ตะวันออกกลาง แต่เนื่องจากความไม่สงบของบ้านเมือง ทำให้ตลาดหดตัว โดยในปี 2560 ตลาดใหญ่ที่สุดเป็นออสเตรเลีย ซึ่ง อีซูซุ ก็จะขยายตลาดไปที่ออสเตรเลียเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนตลาดตะวันออกกลาง รวมถึงจะเปิดตลาดใหม่เพิ่มอีกที่ ประเทศอิหร่าน และอาร์เจนตินา ฟอร์มูลา : แผนการลงทุนเพิ่มในระยะสั้น และระยะยาว ? มาเอคาวะ : ด้านการผลิต ปัจจุบันมีโรงงาน 2 แห่ง ได้แก่ สมุทรปราการ และเกทเวย์ จ. ฉะเชิงเทรา มีกำลังการผลิตโดยรวม 2 โรงงาน จำนวน 400,000 คัน/ปี ซึ่งการผลิตของทั้ง 2 โรงงานยังเพียงพอกับความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ จึงยังไม่ต้องลงทุนในการขยายกำลังการผลิต ส่วนการลงทุนในปีนี้ จะเป็นการลงทุนเรื่องการปรับปรุงอาคารสำนักงาน อาคารอะไหล่ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนมากพอสมควร รวมถึงการย้ายสนาม อีซูซุ ขับเคลื่อน 4 ล้อจากพัทยา มาอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี ทั้งนี้เพื่อให้สนามอยู่ใกล้กรุงเทพฯ และเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศต้องมาใช้สนามของ อีซูซุ ฟอร์มูลา : ก้าวต่อไปของ อีซูซุ ? มาเอคาวะ : อยากยกระดับภาพลักษณ์ของบแรนด์ อีซูซุ อยู่คู่เมืองไทยมา 60 ปี แต่ยังต้องการที่จะพัฒนาภาพลักษณ์ให้ดียิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต สิ่งที่จะทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น คือ การเป็นนิติบุคคลที่ดีของสังคมไทย ทำกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อให้คนไทยเห็น อีซูซุ เป็นพลเมืองดีของสังคมไทย โดยจะมอง 2 ด้าน คือ ลูกค้ากับสังคม อีกด้านหนึ่ง คือ พนักงาน เพราะเมื่อพนักงานมีความสามารถ อยากให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข ครอบครัวของเขาภูมิใจและมีความสุขที่ทำงานกับ อีซูซุ ดังนั้น อีซูซุ จึงให้ความสำคัญ 2 ด้านเท่ากัน คือ EMPLOYEE SATISFACTION และ CUSTOMER SATISFACTION เพราะว่าความพอใจของพนักงานสำคัญมาก พนักงานภูมิใจ ทำงานด้วยความสุข สามารถบริการแก่ลูกค้าให้พอใจและมีความสุขได้ จึงต้องทำให้พนักงานมีความสุขก่อน ฟอร์มูลา : คุณวางเป้าหมายของ อีซูซุ ไว้อย่างไร ? มาเอคาวะ : อีซูซุ เป็นบแรนด์ที่ได้รับรางวัล THAILAND'S MOST ADMIRED BRAND หลายปีติดต่อกัน ซึ่งรางวัลนี้ คือ เป็นบแรนด์ที่คนไทยชื่นชม นับจากนี้ อีซูซุ เป็นบแรนด์ที่คนชื่นชมมากที่สุดกว่าที่ผ่านมา เพราะต้องการสร้างความผูกพันกับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น หรือการสร้างประชาคม อีซูซุ ให้ขยายขอบข่ายกว้างใหญ่ขึ้น ลูกค้า ดีเลอร์ พนักงาน ผู้ผลิตชิ้นส่วน ศิลปิน ดารา และสมาชิก ซึ่งถือเป็นสมาชิกสมาคม อีซูซุ ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ซื้อรถ อีซูซุ ไม่ได้เป็นลูกค้าของ อีซูซุ แต่รักบแรนด์ แนะนำบแรนด์ อีซูซุ ให้แก่คนทั่วไป สำหรับตัวผมเอง รู้สึกเป็นเจ้าของบแรนด์ รักในบแรนด์ ซึ่งพนักงานทุกคนก็คงคิดเหมือนกัน ดังนั้นในแง่มุมของความเป็นญี่ปุ่น จริงอยูรถที่ผลิตในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นรถญี่ปุ่น อีซูซุ ก็เป็นบแรนด์รถญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในเมืองไทยมาเป็นเวลานาน ผมจึงรู้สึกว่า อีซูซุ ไม่ได้เป็นรถญี่ปุ่น 100 % เรารู้สึกว่าครึ่งหนึ่งเราเป็นไทย และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย และอยากให้คนไทยรัก อีซูซุ เพราะคนไทยบางส่วนก็มองว่า อีซูซุ ไม่ใช่รถญี่ปุ่น ผลิตในไทย ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปต่างประเทศ จึงอยากให้มองว่า อีซูซุ เป็นบแรนด์ร่วมกันระหว่างญี่ปุ่นกับไทย ฟอร์มูลา : ภาพของ อีซูซุ จากอดีตถึงปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? มาเอคาวะ : จากอดีตถึงปัจจุบัน เมื่อคิดถึง อีซูซุ นั่นคือ รถที่มีความคุ้มค่าเงินสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา ความประหยัดน้ำมัน ราคาขายต่อ โชว์รูมพร้อมศูนย์บริการที่มีมากที่สุด ครอบคลุมทั่วประเทศ เมื่อใช้แล้วคุ้มค่า ซึ่ง อีซูซุ รักษาภาพลักษณ์ที่เป็นอยู่มาอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่มีมาพร้อมกับความคุ้มค่าของ อีซูซุ คือ อินโนเวชัน ที่ อีซูซุ จะเป็นผู้นำนวัตกรรมใหม่ให้แก่วงการรถอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากล่าสุด เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ที่ อีซูซุ แนะนำขึ้นครั้งแรกในโลก ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีรถพิคอัพที่มีเครื่องยนต์น้อยกว่า 2,000 ซีซี แต่มีแรงบิด แรงม้าที่สูงขึ้น จุดนี้จึงทำให้ อีซูซุ เป็นบแรนด์แห่งนวัตกรรม และคุ้มค่าเงินสูงสุด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดเจนถึงดีเอนเอ ของ อีซูซุ ที่เริ่มขับเคลื่อนอินโนเวชัน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำมาอย่างต่อเนื่องทีละเล็กทีละน้อย หากมองย้อนไปจะเห็นถึงการคิดค้นพัฒนาของ อีซูซุ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซลรายแรกในรถพิคอัพ แนะนำ สเปศ แคบ เจ้าแรก แนะนำรถเกียร์อัตโนมัติ เจ้าแรก แนะนำเครื่องไดเรคท์อินเจคชัน รายแรก นำรถขับเคลื่อน 2 ล้อยกสูง ไฮ-แลนเดอร์ มาจำหน่ายเจ้าแรก นำรถขับเคลื่อน 4 ล้อ โรเดโอ นำเข้ามาจำหน่าย นั่นคือ การสะสมอินโนเวชัน และความสำเร็จ จน อีซูซุ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำรถพิคอัพในวันนี้
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2561
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/219026