สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
เอมจี ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี และการสร้างคุณค่าให้กับรถยนต์ มากกว่าการจัดพโรโมชันลด แลก แจก แถม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการตลาด "ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดฟอร์มูลา : การทำงานที่ เอมจี เป็นอย่างไรบ้าง ? พงษ์ศักดิ์ : ที่ผ่านมาผมเคยรับผิดชอบงานด้านพโรดัคท์ พแลนนิง ด้านประชาสัมพันธ์ ด้านการขาย และสุดท้ายด้านดีเลอร์ พอมาอยู่ที่ เอมจี เป็นรองกรรมการผู้จัดการ เป็นงานระดับบริหาร ประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาก็กลายเป็นทรัพย์สินที่สามารถใช้ประโยชน์กับมันได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานขาย การขยายเครือข่าย เรื่องบริการหลังการขาย และการวางแผน สามารถให้คำแนะนำ และช่วยวางแนวทางในการทำงาน ในเรื่องการบริหารดีเลอร์ การขาย รวมถึงเรื่องธุรกิจได้ดีขึ้น สำหรับเรื่องวัฒนธรรมองค์กร ผมผ่านบริษัทต่างชาติ ฝรั่ง ญี่ปุ่น ไทย มาแล้ว สำหรับจีนแม้พื้นเพ สภาพในประเทศ และวัฒนธรรม จะทำให้มีคาแรคเตอร์การบริหารแตกต่างออกไป แต่เชื่อว่าโดยหลักการบริหารงาน ไม่ได้แตกต่างกันมาก มีเรื่องการตั้งเป้าหมาย วางแผน วางกลยุทธ์ และการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ กรอบใหญ่ไม่ต่าง แต่จะแตกต่างในเรื่องรายละเอียด ฟอร์มูลา : คุณคิดว่า เอมจี เดินไปข้างหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้หรือยัง ? พงษ์ศักดิ์ : ถึงตอนนี้บริษัทฯ เดินมาดีกว่าที่คิดไว้ตั้งแต่แรก ตอนแรกที่เข้ามาร่วมงาน ผมก็มองในระดับหนึ่งว่าบริษัทฯ จะเติบโต และมีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง ก็ยอมรับว่าที่ผ่านมา ด้วยความเป็นบแรนด์ใหม่ในประเทศไทย และเป็นตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะค่ายญี่ปุ่นที่กินมาร์เกทแชร์ไปมากกว่า 70-80 % เอมจี ซึ่งเป็นบแรนด์เข้ามาใหม่ จะสามารถได้สัดส่วนตลาด หรือทำการขายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ มันก็ค่อนข้างยาก วันนี้ถือว่าเดินมาในระดับที่ดีพอสมควร เมื่อเทียบกับที่ผมมองไว้ตั้งแต่แรก แน่นอนว่าเป้าหมายของบริษัทฯ ที่วางไว้อาจจะมากกว่านี้ เป้าหมายของ เอมจี คือ เป็นผู้นำภายใน 5 ปี เราต้องการเข้าไปอยู่ในกลุ่มระดับบนๆ ของผู้นำตลาดรถยนต์ในเมืองไทย ดังนั้นการที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำ ต้องนำเสนอจุดเด่น และสร้างคุณค่าของตัวผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากรถในตลาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย สมรรถนะการขับขี่ รวมถึงเทคโนโลยี สมาร์ทคาร์ อินเตอร์เนท เป็นทิศทางที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้ ฟอร์มูลา : คุณคิดอย่างไรกับคำพูดที่ว่า เอมจี คือ รถจีน ? พงษ์ศักดิ์ : ครั้งแรกรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรกับสิ่งที่ได้ยินมาว่ารถจีน แต่สิ่งที่เราต้องทำ คือ พิสูจน์ ทำให้ผู้บริโภคยอมรับให้ได้ ผมคิดว่าทุกบแรนด์มีจุดเริ่มต้นทั้งนั้น อย่าง เอมจี เรามีมาตรฐานของบแรนด์อยู่ ทั้งในเรื่องการออกแบบ เทคนิค มีคาแรคเตอร์ เอมจี ในอดีตเป็นบแรนด์ของอังกฤษ เน้นสมรรถนะของรถยนต์ ซึ่งวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร SHANGHAI AUTOMOBILE INDUSTRIAL CORPORATION พยายามจะรักษาคาแรคเตอร์ของตัวรถ มาตรฐานความปลอดภัย มาตรฐานการขับขี่ อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าที่ใช้รถ เอมจี รู้สึกว่ายังมีมาตรฐานแบบยุโรป และไม่ได้เป็นรถจีนในแบบที่เข้าใจกัน ฟอร์มูลา : วางนโยบายและทิศทางไว้อย่างไร ? พงษ์ศักดิ์ : ก่อนอื่นต้องพูดถึงปีที่ผ่านๆ มาของ เอมจี ตลอดระยะเวลา 3 ปีเศษๆ บริษัทฯ เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จุดเด่น คือ ตัวผลิตภัณฑ์ เรามีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน และมีจุดเด่น เน้นเรื่องความปลอดภัย สมรรถนะการขับขี่ และดีไซจ์นที่มีความแตกต่างจากรถทั่วไป ทำให้เกิดการยอมรับ รวมถึงการวางกลยุทธ์เรื่องของราคาที่ไม่สูงจนเกินไป และให้ออพชัน หรืออุปกรณ์อย่างเต็มที่ เรียกว่าครบครัน และคุ้มค่า ในส่วน ดีเลอร์ เนทเวิร์ค ก็พยายามจะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมโดยเร็ว เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ ตอนนี้ เอมจี มีดีเลอร์ และศูนย์บริการ 80 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2561 ตั้งเป้าขยายให้ได้มากกว่า 100 แห่ง ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ เอมจี ยังเน้นเรื่องศักยภาพการให้บริการของดีเลอร์ ไม่ใช่เน้นแต่จำนวนอย่างเดียว มีระบบการอบรมทั้งช่าง และพนักงานที่อยู่ภายในศูนย์บริการ ส่วนอะไหล่ ก็มีศูนย์กระจายอะไหล่ มีบริการหลังการขายที่เรียกว่า แพสชัน เซอร์วิศ ในด้านการขาย การตลาด จะให้ความสำคัญกับการอบรมพนักงานขาย ให้ความรู้ และแนวทางในการบริการลูกค้าอย่างถูกต้อง และเน้นการขับขี่ ฉะนั้น ต้องพาลูกค้าไปทดลองขับ เพื่อให้เกิดการยอมรับก่อน แล้วชี้แจงจุดเด่นต่างๆ ของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัย และโครงสร้างตัวถังที่มีความแข็งแกร่งกว่ารถทั่วไป อีกเรื่อง คือ ระบบ I SMART ในรถรุ่นใหม่ของ เอมจี ที่ต้องอธิบาย เพราะไม่สามารถสัมผัสได้ทันที ต้องใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจ ฉะนั้นพนักงานขายต้องมีความรู้ และผ่านการอบรมเป็นอย่างดี ฟอร์มูลา : หลังจากเปิดโรงงานแห่งใหม่ เอมจี ประเทศไทย จะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง ? พงษ์ศักดิ์ : โรงงานแห่งใหม่เป็นโรงงานผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออก เป็นการตอกย้ำความมั่นใจด้านการลงทุน และทำให้เมืองไทยเป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวาได้เร็วยิ่งขึ้น ที่จริงแล้วตลาดรถพวงมาลัยขวาในโลกมีไม่มาก แค่ ไทย อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง แต่ก็มีปริมาณความต้องการในระดับหนึ่ง จึงสามารถเป็นฐานในการผลิตรถพวงมาลัยขวาได้ ในช่วงแรกที่ตั้งโรงงานผลิต จะเน้นเรื่องการประกอบ กำลังการผลิตมีจำกัด ในระดับ 40,000-50,000 คัน/ปี แต่โรงงานใหม่มีกำลังการผลิตถึง 100,000 คัน/ปี และจะเป็นโรงงานแบบครบวงจร ทำให้ต้นทุนการผลิตใกล้เคียงกับในประเทศจีน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รถยนต์ส่งออกไปจำหน่ายได้ในราคาที่ดี ฟอร์มูลา : ปีนี้มีรถรุ่นใหม่หรือไม่ ? พงษ์ศักดิ์ : ปี 2561 นี้จะให้ความสำคัญกับ เอมจี เซดเอส เนื่องจากเพิ่งเปิดตัวในช่วงงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 34" ดังนั้น เอมจี เซดเอส จะเป็นโมเดลหลักในการทำตลาดของ เอมจี รวมถึง เอมจี 3 ที่ยังมีปริมาณความต้องการในตลาดสูง แต่ก็จะมีการพิจารณาโมเดลใหม่ๆ เช่น เอมพีวี หรืออาจจะมีไมเนอร์เชนจ์อีกรุ่นหนึ่ง เพื่อกระตุ้นตลาด ฟอร์มูลา : คุณมองทิศทางของอุตสาหกรรมรถยนต์ ปี 2561 ไว้อย่างไร ? พงษ์ศักดิ์ : ผมคิดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยยังเติบโตได้อยู่ แต่เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีข้อจำกัด ปัจจุบันผลผลิตมวลรวมในประเทศค่อนข้างสูงในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน ฉะนั้นการเติบโตเป็นเปอร์เซนต์สูง คงเป็นไปได้ยาก การเติบโตในระดับ 3-4 % ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอยู่แล้ว ก็มีโอกาสเติบโตไปได้ในระดับหนึ่ง แน่นอนว่าคงไม่โตพรวดพราดเหมือนในอดีตอีกแล้ว เชื่อว่าเป็นปีที่ยังเติบโตได้อยู่ ไม่ต่ำกว่า 5-10 % ใกล้เคียงกับปี 2560 ที่เติบโตราวๆ 10 % สำหรับ เอมจี ยังตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 2 เท่า จากยอดขายของปีที่แล้วเป็นอย่างน้อย โดยยอดขายของปี 2560 อยู่ที่ประมาณ 12,000 คัน ปีนี้ตั้งเป้าไว้มากกว่า 24,000 คัน และพยายามให้ใกล้ 30,000 คัน มากที่สุด ฟอร์มูลา : การแข่งขันเป็นอย่างไร ? พงษ์ศักดิ์ : ถ้าดูระยะยาว แน่นอนต้องเป็น รถไฟฟ้า พลังงานทางเลือก ซึ่งแนวโน้มอุตสาหกรรมโลก มีอยู่ 4 ทิศทาง คือ 1. อินเตอร์เนท 2. พลังงานทางเลือก 3. คาร์ แชริง 4. ยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งรถอินเตอร์เนทคาร์ เอมจี เป็นเจ้าแรกที่แนะนำก่อนใคร สำหรับ อีวี (EV) เป็นทิศทางต่อไปที่เห็นชัดเจน และเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งเมืองไทยจะเริ่มจากระบบ พลัก-อิน ไฮบริด ก่อนที่จะไป อีวี รถในตลาด จะเปลี่ยนโฉมจากซีดานไปเป็น เอสยูวี พวกรถแฮทช์แบค จะมีมากขึ้น และรถที่ใช้น้ำมันจะน้อยลง เอมจี พยายามฉีกแนวในเรื่องการนำเสนอ เทคโนโลยี อินเตอร์เนท เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ตัวรถ พยายามหาจุดขายใหม่ๆ ให้รถยนต์มากขึ้น แทนที่จะไปส่งเสริมการขาย เนื่องจากเราวางราคาที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เน้นเรื่องลด แลก แจก แถม พยายามเน้นเรื่องสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้น สร้างบแรนด์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ลูกค้า เชื่อว่าหลายๆ ค่ายก็คงมองเห็นจุดนี้ พยายามสร้างคุณค่าของพโรดัคท์มากขึ้น และกำหนดราคาที่สมเหตุสมผล มากกว่าการตั้งราคาสูงแล้วมาส่งเสริมการขายทีหลัง ฟอร์มูลา : คุณคิดว่าบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้วหรือยัง ? พงษ์ศักดิ์ : ผมคิดว่า เกินความคาดหมาย เพราะตอนทำงานอยู่ที่เก่า คิดว่าจะเกษียณ แต่พอได้รับการชักชวนจาก เอมจี ให้มาร่วมงาน ก็ถือเป็นโอกาสที่จะได้มาสร้างอะไรบางอย่างให้ตัวเองด้วย ตอนแรกที่เข้ามาก็มองเห็นโอกาสของ เอมจี ในเมืองไทย เป็นความท้าทาย หลังจากเข้ามาร่วมงาน ก็เห็นถึงศักยภาพ รวมถึงได้มีโอกาสผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตภายในบริษัทฯ มันเป็นความภาคภูมิใจที่สร้างให้บริษัทฯ เติบโต ทำให้ลูกค้าได้มีทางเลือกใหม่ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่เขา และประโยชน์กับอุตสาหกรรมรถยนต์เมืองไทยด้วย ถ้าอุตสาหกรรมเมืองไทยถูกผูกขาดด้วยรถยนต์เพียงฝั่งเดียว มันก็จะทำให้ประเทศไทยไม่ได้เข้าสู่สากลจริงๆ การที่มี เอมจี เป็นทางเลือกหนึ่ง มีความหลากหลายมากขึ้น เป็นการสร้างสีสันในอุตสาหกรรมรถยนต์ในเมืองไทยมากขึ้น และเราได้สร้างบแรนด์ เอมจี ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และผมได้มีส่วนร่วมด้วยจึงรู้สึกภูมิใจ ฟอร์มูลา : การบริหารดีเลอร์ ประสบปัญหาหรือไม่ ? พงษ์ศักดิ์ : ดีเลอร์ที่เข้ามาร่วมกับ เอมจี มีความหลากหลาย มีทั้งดีเลอร์ที่ไม่เคยทำธุรกิจรถยนต์มาเลย แต่เคยทำธุรกิจอื่นๆ มาก่อน กับกลุ่มดีเลอร์ที่มีประสบการณ์ทางด้านรถยนต์มาอย่างดี ตรงนี้มีความหลากหลาย ดีเลอร์แต่ละรายก็มีบุคลิก ความคิดที่แตกต่างกัน เราต้องทำให้เขาเข้าใจในธุรกิจของบริษัทฯ แล้วดำเนินตามนโยบายที่คิดว่าเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับลูกค้า เขาก็อาจจะฝืนความรู้สึกของตัวเองบ้างในการทำธุรกิจที่ผ่านมา หรือกับบแรนด์อื่นๆ ที่เคยทำมา แต่คนที่มีประสบการณ์จะเข้าใจอย่างดี เดินหน้าได้เลย ซึ่งก็มีอยู่หลายๆ แห่ง ที่ทำตัวเลขได้ดีมาก ไม่เฉพาะกลุ่มที่ขายรถยนต์มาก่อนเท่านั้น กลุ่มธุรกิจอื่นก็มี แสดงว่าเขามีความตั้งใจ มีการเรียนรู้ได้เร็ว ก็เติบโตได้ เรื่องปัญหาของดีเลอร์เป็นเรื่องปกติในการทำธุรกิจ ผมว่าทุกยี่ห้อก็จะมีความคล้ายกัน ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความอดทน มีความตั้งใจจริงในการส่งเสริมให้เขาบริหารงาน และเติบโตไปพร้อมๆ กันหรือเปล่า ฟอร์มูลา : เอมจี มีความพร้อมเรื่องรถไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน ? พงษ์ศักดิ์ : SHANGHAI AUTOMOBILE INDUSTRIAL CORPORATION มีเทคโนโลยีนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะไฮบริด/พลัก-อิน ไฮบริด และ อีวี ขึ้นอยู่กับความพร้อมของประเทศไทยเป็นหลัก พูดตามตรงว่าต้นทุนของการผลิตรถไฟฟ้ามันสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาปเยอะมาก ดังนั้นภาครัฐจะยอมสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ได้ไหม เพราะหน่วยงานเดิมที่มีรายได้จากรถยนต์ในปัจจุบันมีหลายหน่วยงาน ดังนั้นถ้าเกิดต้องการส่งเสริมให้รถไฟฟ้าเกิดขึ้นในประเทศไทย แน่นอนว่ารัฐบาลอาจจะต้องยอมสูญเสียรายได้ แต่สิ่งที่แลกมา คือ เราจะประหยัดเรื่องของการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าเป็นรถระบบ พลัก-อิน ไฮบริด ก็หายไปครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าเป็นรถไฟฟ้า ก็ไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเลย แสดงให้เห็นว่าปริมาณของการบริโภคพลังงานมันถูกลงไปมาก เราก็จะเซฟการนำเข้าน้ำมันได้มาก ถ้ารัฐมองเห็นตรงนี้ แล้วนำมาส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้ใช้ในราคาที่ถูก ผมก็คิดว่าเราจะไปได้เร็วขึ้น เรื่องแท่นชาร์จต่างๆ ก็เป็นส่วนสำคัญในการเดินทางมันวิ่งได้ในระดับหนึ่ง ต้องมีการชาร์จเพิ่ม ตัวรถก็ต้องมีการพัฒนา การประจุไฟให้มีปริมาณมากขึ้นในการชาร์จไฟ 1 ครั้ง เพื่อให้รถวิ่งได้นานขึ้น และระยะเวลาในการชาร์จก็ต้องเร็วขึ้นด้วย
เรื่องโดย : สุดาภรณ์ ไกรแก้ว
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2561
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/214325