รู้ลึกเรื่องรถ
แนวคิดที่เปลี่ยนไปของเทคโนโลยียานยนต์
แต่ไหนแต่ไร เมื่อกล่าวถึงนวัตกรรมยานยนต์ สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึง คือ สมรรถนะเครื่องยนต์ แต่ในศตวรรษใหม่นี้ เรื่องของเครื่องยนต์กลับเป็นประเด็นรองลงมา เนื่องจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายในและทักษะด้านการรีดพลังจากเชื้อเพลิง ที่เป็นความชำนาญของบริษัทต่างๆ กำลังจะกลายเป็นอดีต หลังการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ที่หลอมรวมเข้ากับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์อัจฉริยะอย่างไรก็ตามแม้สมรรถนะของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จะมีความโดดเด่นอย่างน่าทึ่ง ดังจะเห็นได้จากสมรรถนะของรถสปอร์ทไฟฟ้ารุ่นล่าสุด “เทสลา โรดสเตอร์” สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 1.9 วินาที ! แต่กลับไม่มีภาพมอเตอร์ไฟฟ้ามาแสดงแต่อย่างใด เพราะเอาเข้าจริงแนวคิดมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ไม่มีอะไรเร้าใจในการออกแบบที่สามารถอธิบายให้ชาวบ้าน “เข้าใจได้” เช่นเดียวกับสรรพคุณของมันที่อธิบายไปก็ไม่ทำให้ตื่นเต้นอยู่ดี ส่วนเรื่องการเก็บและคายพลังงานของเทคโนโลยีแบทเตอรี และซูเพอร์คาพาซิเตอร์ ที่จะเป็นหัวใจหลักของรถไฟฟ้าในยุคต่อไป ก็เป็นเรื่องราวที่มีความสลับซับซ้อนและจับต้องได้ยาก แทบจะหมดปัญญาที่จะอธิบายให้คนที่ไม่ได้มีปริญญาด้านวิศวกรรมเคมี หรือไฟฟ้าอีเลคทรอนิคส์เข้าใจได้ ข่าวสารการพัฒนาด้านนี้จึงจำกัดอยู่เพียงการประกาศว่า แบทเตอรี หรือ ซูเพอร์คาพาซิเตอร์ รุ่นใหม่เก็บไฟฟ้าได้มาก เก็บได้นาน ปล่อยกระแสไว และชาร์จได้เร็วกว่าเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ต่างไปจากในอดีตที่เราเคยใส่ใจกับความแม่นยำของนาฬิกาข้อมือ โดยผู้ผลิตนาฬิกาต่างอวดอ้างสรรพคุณว่านาฬิกาของตนนั้น มีคุณภาพ เดินตรง หรือ ทนทานกว่าใคร แต่ในยุคของ สมาร์ทวอทช์ เรื่องความแม่นยำในการบอกเวลากลับเป็นเรื่องรอง เพราะมันเดินได้ตรงเสียยิ่งกว่าตรง แต่สิ่งมันมอบให้มากกว่าการบอกเวลามีมากมาย เช่น การติดต่อสื่อสาร ข้อมูลการออกกำลังกายและสุขภาพของผู้สวมใส่ ที่ตอบรับกระแสคนรักสุขภาพทั่วโลก ด้านความทนทานก็ลดความสำคัญไปมาก เพราะผู้บริโภคพร้อมที่จะเปลี่ยนทันทีเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ออกมา ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าใน “มหกรรมยานยนต์โตเกียว 2017” ช่วงปลายปีที่แล้ว เหล่านักเลงรถรวมถึงสื่อมวลชนสายยานยนต์ทั้งหลายจะรู้สึกว่า “ไม่น่าตื่นเต้น” เพราะสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยในอดีต อย่างการแข่งขันด้านเครื่องยนต์ประเภท “แคมเยอะ วาล์วแยะ” มันแทบจะหายไปเลย และรถยนต์แนวคิดที่เปิดตัวในงานครั้งนี้ ก็มักจะไปกล่าวถึงเรื่องอื่นๆ ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย หากมองลึกลงไปจริงๆ สิ่งที่จัดแสดงในงานนี้ คือ เทคโนโลยีที่ตอบรับกับวิถีชีวิตของผู้บริโภคในยุคต่อไป โดยเฉพาะการหลอมรวมยานยนต์เข้ากับเทคโนโลยีด้านไอที (INFORMATION TECHNOLOGY) นานาชนิดที่จะแปรสภาพรถยนต์ที่เรารู้จักให้กลายเป็นประตูเชื่อมต่อระหว่าง “เรา” กับ “โลกภายนอก” แบบหลากหลายมิติ เหมือนที่สมาร์ทโฟนเป็นนั่นเอง อันดับแรก คือ การทำให้รถยนต์ในอนาคตมี ปัญญาประดิษฐ์ (AI: ARTIFICIAL INTELLIGENCE) ที่สามารถ “รู้ใจ” ผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารในรถได้ โดยเป็นที่รู้กันว่า รถยนต์ในยุคต่อไปจะต้องมีความสามารถในการอ่าน และตีความสภาพแวดล้อมรอบตัว แบบที่เราจะเห็นได้จากรถปัจจุบันที่สามารถจอดได้เองโดยอัตโนมัติ หรือบางคันสามารถวิ่งโดยผู้ขับไม่ต้องจับพวงมาลัยได้อย่างปลอดภัย เมื่อสามารถอ่านสถานการณ์รอบตัวได้ ทำไมถึงจะไม่ลองอ่านใจคนในรถดูบ้าง ดังนั้น นักวิจัยด้านไอทีร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ได้เล็งเห็นว่า ในอนาคตเทคโนโลยีด้านไอทีที่มีอยู่สามารถที่จะอ่านใจของผู้ขับขี่ได้ อย่างที่ทุกวันนี้รถยนต์มีการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ แอนดรอย ออโท (ANDROID AUTO) ที่คิดค้นโดย “กูเกิล” (GOOGLE) หากรถเราน้ำมันใกล้จะหมด มันสามารถระบุเส้นทางที่จะไปหาปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดให้เราได้ โดยเราไม่ต้องถามเสียด้วยซ้ำ และเป็นไปได้ว่าจะมีการใช้ตัวชี้วัดต่างๆ อาทิ รูปแบบการขับ ความเร็ว เพลงที่ฟัง ระดับเสียงของบทสนทนาในรถ ไปจนถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ส่งให้ปัญญาประดิษฐ์ประมวลผลเพื่อตีความว่า ขณะนั้น ผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถมีความรู้สึกและอารมณ์เป็นเช่นไร พร้อมนำสิ่งที่ได้นั้นมาปรับใช้กับการขับขี่ในช่วงเวลานั้นๆ เช่น กระตุ้นให้คนในรถเกิดความกระฉับกระเฉง หรือ ผ่อนคลาย เพื่อให้การเดินทางมีความรื่นรมย์ที่สุด ปัญญาประดิษฐ์ยังทำงานร่วมกันกับฐานข้อมูล BIG DATA รอบตัว เพื่อแนะนำทางเลือกที่ดีที่สุดให้แก่ผู้เดินทาง อาทิ หากผู้เดินทางที่เป็นผู้สูงอายุที่ใช้วีลแชร์ ปัญญาประดิษฐ์ ก็จะสามารถแนะนำได้ว่าสถานที่ที่จะเดินทางไปนั้น สามารถเข้าถึงได้ด้วยวีลแชร์ได้หรือไม่ ซึ่งสอดคล้องกับการที่ประเทศญี่ปุ่นจะเป็นประเทศแรกในโลกที่เข้าสู่สังคมสูงอายุ (ULTRA AGED SOCIETY) โดยมีประชากรอายุมากกว่า 65 ปี ถึง 28 % อีกหนึ่งแนวคิดที่กำลังเป็นกระแสในทุกวันนี้ คือ แนวคิดรถยนต์ “ปันขับ” (CAR SHARING SCHEME) ที่นำเสนอคำตอบให้สังคมญี่ปุ่น ที่คนยุคใหม่ที่อาศัยในเมืองใหญ่ไม่อยากจะลงทุนไปกับรถยนต์ ซึ่งพวกเขาจะได้ใช้งานเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น เนื่องจากญี่ปุ่นมีระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทำให้การใช้งานรถยนต์ระหว่างสัปดาห์ทำงานไม่มีความจำเป็น แต่หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ก็อาจจะขอเช่ารถ ของคนที่ไม่ได้ใช้รถในเวลานั้นได้ โดยหักค่าใช้จ่ายในการเดินทางผ่านทาง แอพพลิเคชันในมือถือ ซึ่งเจ้าของรถสามารถสร้างรายได้จากการให้ผู้อื่นเช่าขับ โดยทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่าสามารถตรวจสอบซึ่งกันและกันได้ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายมีประวัติอย่างไร ผ่านทางระบบเรทิง (RATING SYSTEM) คล้ายคลึงกับการซื้อของทาง อีเบย์ (EBAY) นอกจากนั้น ยังมีแนวคิดเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การตั้งพโรแกรมให้รถชาร์จไฟเฉพาะช่วงกลางคืนที่มีค่าไฟถูก และในช่วงกลางวันสามารถจ่ายไฟคืนให้ระบบ เป็นการสร้างรายได้ทางอ้อม โดยรถที่ใช้แนวคิดดังกล่าวนี้มีอยู่ทุกค่ายใหญ่ แต่ที่โดดเด่น ได้แก่ รถแนวคิด โตโยตา คอนเซพท์-ไอ (TOYOTA CONCEPT-I) และ ฮอนดา นิววี (HONDA NEUV) นวัตกรรมสมาร์ทเทคโนโลยีต่อไปที่ได้พบใน “มหกรรมยานยนต์โตเกียว 2017” ซึ่งสอดคล้องกับยุคตื่นตัวด้านสุขภาพ นั่นคือ เก้าอี้ “เอกเซอร์ไรด์” (EXERRIDE SEAT) ที่พัฒนาขึ้นโดย บริษัท ทีเอส เทค (TS TECH) ผู้ผลิตเก้าอี้ป้อนสู่โรงงานประกอบรถยนต์ทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยเก้าอี้แบบนี้สามารถตรวจจับกายภาพของผู้นั่ง รวมถึงตำแหน่งของจุดศูนย์ถ่วง เพื่อปรับจุดสัมผัสของกล้ามเนื้อหลังอย่างต่อเนื่องโดยอัตโนมัติสอดคล้องกับสรีระของผู้นั่ง สร้างความคล้ายคลึงกับการทำงาน หรือการออกกำลังกายของกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญพลังงานได้ เรียกได้ว่าเป็นเก้าอี้นวดแห่งอนาคต เห็นได้ชัดเจนว่า อนาคตของยนตรกรรม ไม่ได้เป็นเรื่องของพละกำลังหรือเครื่องยนต์กลไกอีกต่อไป แต่เน้นด้านการปรับปรุงคุณภาพชีวิต สุขภาพ และสมาร์ทเทคโนโลยี จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาคนรักรถจะรู้สึกว่า “มหกรรมยานยนต์โตเกียว 2017” ขาดสีสันที่คุ้นเคย เพราะเทคโนโลยีต่างๆ ในงานนี้ดูจะห่างออกจากโลกของเครื่องยนต์กลไกที่จับต้องและเข้าใจได้มากขึ้นทุกวัน ในทางกลับกัน สื่อทางด้านไอทีเองก็อาจจะเห็นตรงกันข้าม เพราะนวัตกรรมยานยนต์ในงานนี้ดูจะคล้ายคลึงกับงาน ซีอีเอส (CES: CONSUMER ELECTRONIC SHOW) หรืองานแสดงอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์สำหรับผู้บริโภค ในสหรัฐอเมริกามากไปทุกที รถยนต์แบบที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ ต่อไปก็คงจะเป็นเพียงของเล่นของนักสะสมเพื่อใช้ขับในวันหยุดสุดสัปดาห์ ส่วนที่ใช้จริงในชีวิตประจำวันจะเป็นรถไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ประสิทธิภาพสูง ถึงวันนั้นรถยนต์อาจถูกจัดอยู่สินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าก็เป็นได้ใครจะรู้ !?!
เรื่องโดย : ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2561
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/209766