ระเบียงรถใหม่
BMW I8 COUPE/I8 ROADSTER
ช่วงครึ่งหลังของปีไก่ชุบแป้งทอดมีรถสปอร์ททยอยกันเปิดตัวหลายรุ่นหลายแบบ เดือนนี้จึงตัดสินใจต้อนรับปีน้องหมา โดยนำเรื่องราวของรถสปอร์ทล้วนๆ มาเล่าสู่กันฟังใน "ระเบียงรถใหม่" มีทั้งรถเยอรมัน รถอิตาลี รถอังกฤษ รวม 6 ชุด และขอเปิดระเบียงด้วยผลงานของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว"ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ประกาศชื่อยี่ห้อ บีเอมดับเบิลยู ไอ (BMW I) เมื่อปี 2011 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้เป็น SUB-BRAND หรือ "ยี่ห้อรอง" ในการทำรถไฮบริดและรถพลังไฟฟ้าแยกเป็นเอกเทศจากยี่ห้อหลัก รถแบบแรกที่ใช้ยี่ห้อรองนี้ คือ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 (BMW I3) รถซูเพอร์มีนีพลังไฟฟ้าซึ่งเริ่มการจำหน่ายเมื่อปลายปี 2013 และตามติดมาตอนกลางปี 2014 ด้วยรถไฮบริดประตูปีกนก บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 (BMW I8) รถแบบหลังนี้เริ่มออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เมื่อเดือนมิถุนายน 2014 ตัวถัง 2 ประตู 2+2 ที่นั่ง ยาว 4.689 ม. กว้าง 1.942 ม. และสูง 1.291 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.26 เป็นผลงานที่ต้องยกนิ้วออกแบบได้ดี มีแชสซีส์ซึ่งทำจากอลูมิเนียม และส่วนห้องโดยสาร (PASSENGER CELL) ทำจากพลาสติคเสริมความแข็งแรงด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า CARBON-FIBRE REINFORCED PLASTIC หรือ CFRP ส่วนระบบขับเป็นระบบไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ (PLUG-IN HYBRID) ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 3 สูบเรียง 1,499 ซีซี 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ STEPTRONIC ขับล้อคู่หลัง และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 96 กิโลวัตต์/131 แรงม้า กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 2 จังหวะ ขับล้อคู่หน้า ได้กำลังสุทธิสูงสุด 266 กิโลวัตต์/362 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 4.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย หลังจากอยู่ในตลาดมายาวนานกว่า 3 ปี ทำยอดขายทั่วโลกได้มากกว่า 10,000 คัน และมากกว่ายอดขายของรถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กยี่ห้ออื่นทุกยี่ห้อรวมกัน ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสครั้งล่าสุด ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-9 ธันวาคม 2017 นี้เอง ผู้คนก็มีโอกาสสัมผัสรถ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 ซึ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" เป็นครั้งแรก พ่วงติดมาด้วยรถแบบเดียวกันในตัวถังเปิดประทุนโรดสเตอร์ ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาอีกทอดหนึ่งจากตัวถังคูเปดั้งเดิม กล่าวโดยสรุป นับแต่นี้เป็นต้นไป บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 จะเปลี่ยนสภาพเป็นรถไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊ก ซึ่งมีตัวถังให้เลือก 2 แบบ คือ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 คูเป (BMW I8 COUPE) ในตัวถัง 2 ประตูคูเป 2+2 ที่นั่ง ยาว 4.689 ม. กว้าง 1.942 ม. สูง 1.293 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.26 กับ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 โรดสเตอร์ (BMW I8 ROADSTER) ในตัวถังเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ยาว 4.689 ม. กว้าง 1.942 ม. สูง 1.291 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.28 ตัวถังแบบหลังซึ่งจะเริ่มการจำหน่ายในเดือนพฤษภาคม 2018 ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อนซึ่งทำจากผ้าแฟบริค และบังคับเปิด/ปิดโดยการกดปุ่ม การเปิดหรือปิดแต่ละครั้งใช้เวลา 15 วินาที และทำได้เมื่อรถยังวิ่งเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. (นิตยสารฉบับหนึ่งของยุโรปรายงานว่า เมื่อมีผู้ถามว่าทำไมจึงใช้ประทุนหลังคาแบบอ่อน ? ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ บีเอมดับเบิลยู ตอบอย่างง่ายๆ ว่า รถเปิดประทุนสุดหรูอย่าง โรลล์ส-รอยศ์ เบนท์ลีย์ และแอสตัน มาร์ทิน ล้วนใช้ประทุนอ่อนกันทั้งนั้น) ส่วนกระจกบานหลังซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเบี่ยงเบนกระแสลมอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า WIND DEFLECTOR ไปด้วยในตัว สามารถเปิด/ปิดโดยอิสระไม่ขึ้นอยู่กับประทุนหลังคา และที่หายไปเลยก็คือประตูลิฟท์แบคบานท้าย กับกระจกข้างบานหลังทั้ง 2 ด้านที่เปลี่ยนสภาพเป็นผนังทึบสีดำขลิบสีเงินติดชื่อ ROADSTER ทั้ง 2 ตัวถังติดตั้งระบบขับทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรีเหมือนรถรุ่นก่อนการปรับปรุง แต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหลายจุด กล่าวคือ เครื่องยนต์ และระบบเกียร์ขับล้อคู่หลังยังเป็นเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 3 สูบเรียง 1,499 ซีซี 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะชุดเดิม แต่มอเตอร์ไฟฟ้าขับล้อคู่หน้าเพิ่มขนาดจาก 96 กิโลวัตต์/131 แรงม้า เป็น 105 กิโลวัตต์/143 แรงม้า คือ เพิ่มขึ้น 9 กิโลวัตต์/12 แรงม้า ส่วนแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) เพิ่มขนาดจาก 20 แอมพ์ชั่วโมง/7.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง เป็น 34 แอมพ์ชั่วโมง/11.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นแบทเตอรีซึ่งการชาร์จไฟแต่ละครั้งด้วยไฟบ้าน 10 แอมพ์ 230 โวลท์ จะใช้เวลา 4.5 ชั่วโมง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ระยะเดินทางและความเร็วสูงสุดที่เพิ่มขึ้นเมื่อวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ตามตัวเลขของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ตัวถังคูเป อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 4.2 วินาที ความเร็วสูงสุดยังคงจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 1.9 ลิตร/100 กม.หรือประมาณ 52.6 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 42 กรัม/กม. กรณีวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ จะวิ่งได้ไกล 55 กม. ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. ส่วนตัวถังเปิดประทุน ตัวเลขอัตราเร่งเพิ่มเป็น 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. เหมือนกัน ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเปลี่ยนเป็น 2.1 ลิตร/100 กม. หรือ ประมาณ 47.6 กม./ลิตร และอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มเป็น 46 กรัม/กม. ระยะเดินทางเมื่อวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ลดลง 2 กม. เหลือ 53 กม. ส่วนความเร็วสูงสุดทำได้เท่ากัน คือ 120 กม./ชม.
BMW I8 COUPE
- รถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ
- มิติตัวถัง 4.689x1.942x1.293 ม.
- สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.26
- ขับทุกล้อ/น้ำหนักรถพร้อมขับ 1,610 กก.
- กำลังสุทธิสูงสุด 275 กิโลวัตต์/374 แรงม้า
BMW I8 ROADSTER
- รถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ
- มิติตัวถัง 4.689x1.942x1.291 ม.
- ประทุนหลังคาแบบอ่อน เปิด/ปิดโดยการกดปุ่ม
- ขับทุกล้อ/น้ำหนักรถพร้อมขับ 1,670 กก.
- กำลังสุทธิสูงสุด 275 กิโลวัตต์/374 แรงม้า
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2561
คอลัมน์ Online : ระเบียงรถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/209660