รอบรู้เรื่องรถ
วิธีใช้ "แอร์" ของรถยุคนี้ อยู่เฉยๆ ดีที่สุดแล้ว
ผมเชื่อว่าในโลกนี้ ไม่น่ามีนวัตกรรมใดที่ให้แต่ผลดีแก่มวลมนุษย์อย่างพวกเราเพียงด้านเดียว มันมักจะถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดยหวังผลด้านดีแต่เพียงด้านเดียว แต่ก็มักจะให้โทษแก่เราได้ด้วย ถ้านำไปใช้ให้ผิดไปจากจุดประสงค์ แต่นวัตกรรมที่ให้โทษอย่างเดียวเลยก็มีนะครับ เช่น อาวุธสมัยใหม่ต่างๆ แล้วก็ยังมีแบบกลับทิศทางด้วย เช่น ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อทำลายล้างทั้งมนุษย์ และวัตถุ แต่ก็อาจถูกดัดแปลงเอาไปทำประโยชน์ด้านดีบางอย่างได้ในกรณีของเรา ผมขอจำกัดอยู่เฉพาะแบบแรกนะครับ ซึ่งก็คือนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ และที่เห็นกันได้ชัดเจนที่สุด ก็คือ เครือข่าย INTERNET ที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลก ให้สื่อสารกันได้โดยใช้เวลาในการเดินทางของข้อมูลเพียงเสี้ยววินาที เปรียบเทียบกับวิธีดั้งเดิม ที่ต้องใช้ “ม้าเร็ว” วิ่งผลัดเพื่อส่งข้อความ อาจจะต้องลงเรือข้ามทะเลกันแรมเดือนอีกด้วย ถ้าอยู่กันคนละทวีป ระยะเวลามหาศาลที่ว่านี้ ถูกย่อให้เหลือเพียงเสี้ยววินาที ในการเดินทางของแสงผ่านเนื้อแก้วของสายใยแก้ว บวกกับการเดินทางของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในทางปฏิบัติแล้ว เวลาที่ใช้ไม่ต่างจากการยืนคุยกันระหว่างคนสองคนครับ และไม่ใช่แค่ความเร็วในการสื่อสารกันแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่เป็นขอบเขตของการ กระจายข้อมูลด้วย ที่เพิ่มขึ้นมหาศาล มนุษย์คนเดียวสามารถส่งข้อมูลให้ผู้รับเป็น 100 ล้านคนได้ในทันทีทันใดในระบบนี้ครับ ข่าวร้ายก็คือ มันไม่ได้ถูกใช้เฉพาะด้านดีเท่านั้น แต่สามารถทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้เท่าทันได้ด้วย อาจถูกหลอกให้ปฏิบัติหรือกินอะไรที่ให้โทษ จนป่วยหนัก หรืออาจถึงตายได้ หรือถูกฉกฉวยทรัพย์สินจนหมดตัวก็มี รายละเอียดปลีกย่อยก็เป็นที่ทราบกันดีแล้วนะครับ แต่สิ่งที่ผมจะกล่าวถึงคราวนี้ เป็นกรณีที่แตกต่างออกไป เพราะถ้ามองในแง่ดี อาจจะพอเรียกได้ว่า เป็นความหวังดี ที่ให้ผลร้ายต่อผู้รับข้อมูล ถ้าเป็นการเผยแพร่โดยไม่หวังประโยชน์ส่วนตัวใดๆ แต่ถ้าไม่ใช่ ซึ่งหมายความว่า เป็นการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อแลกกับค่าจ้าง ก็ต้องถือว่าเป็นความเลวอย่างหนึ่งครับ คือ แค่หาอะไรก็ได้ มาเป็นข้อมูลพอให้ได้เงินเดือนหรือค่าจ้าง โดยไม่ใส่ใจตรวจสอบ ว่ามันถูกต้องหรือไม่ หรือหาไม่ได้ ก็เลยแต่งมันขึ้นมาเองโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้รับ ที่หลงเชื่อ ระยะหลังนี่ คือประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้สัมผัสทั้งรถ และผู้ใช้รถ ซึ่งล้วนมีพฤติกรรมแปลกประหลาด ในการใช้ “แอร์” หรือเครื่องปรับอากาศของรถ มาดูกรณีแรกกันก่อนครับ คือเฉพาะรถที่คนนำมาส่งให้ผม เป็นรถใหม่พอสมควร เมื่อผมขึ้นไปนั่งและติดเครื่องยนต์เพื่อจะย้ายที่ ผมพบว่า ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับระบบปรับอากาศทำงานอยู่แม้แต่อย่างเดียว พัดลมถูกปิดสนิท สวิทช์สำหรับการทำความเย็นก็ถูกปิด ด้วยความสงสัยจึงถามผู้ที่นำรถมาส่งคืนว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ได้คำตอบว่า นี่ละคือวิธีใช้ “แอร์” รถ ที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ผมถามถึงที่มา ได้คำตอบว่า จาก “ผู้รู้” ที่นำมาเผยแพร่ทาง INTERNET ผ่านสื่อสังคมยอดนิยมรายหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานมีเพื่อนมารับผมไปทำธุระด้วยกัน ก่อนถึงที่หมายไกลพอสมควร เขาเอื้อมมือไปกด “ปุ่ม A/C” ซึ่งคือสวิทช์ที่จัดการให้คอมเพรสเซอร์หมุนเพื่อทำความเย็นหรือหยุดทำ ผมเริ่มรู้สึกร้อนตั้งแต่ยังไม่ถึงจุดหมาย แต่ก็ลองทนดูว่าเขาจะทำอะไรต่อไป เมื่อจอดรถเสร็จ เขาเอี้อมมือไปหมุนสวิทช์ปรับความแรงลม จนมันหยุดหมุนสนิท แล้วจึงดับเครื่องยนต์ ผมพยายามไม่แสดงความรู้สึกอะไรให้เขาเห็น เพราะมันคงไม่ง่ายนัก ในการที่เราจะไปบอกใครว่า สิ่งที่เขาปฏิบัติมาเป็นขั้นเป็นตอนนั้น มันไม่จำเป็นต้องทำเลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ไร้สาระล้วนๆ ตอนกลับมาขึ้นรถพร้อมกัน เขาติดเครื่องยนต์แล้วมีท่าทางกะระยะเวลาสักอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะเอี้อมมือไปหมุนสวิทช์พัดลม ให้ทำงานในจังหวะปานกลาง จากนั้นมีอาการกะระยะเวลาเหมือนเดิม แล้วจึงเอี้อมมือไปกดปุ่ม A/C เพื่อให้ทำความเย็น ผมสอบถามถึงเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ เขาตอบกลับมาอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นการใช้ “แอร์รถ” ที่ถูกต้องที่สุด และจะทำให้ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน เพราะเขาอ่านพบในสื่อที่มี “ผู้รู้” มาสอนวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องให้ ผมดูสถานการณ์และอาการของเขาแล้ว น่าจะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อน ถ้าไปบอกว่าคำแนะนำที่เขาได้อ่านหรือฟังมานั้น มันผิดทั้งหมด เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมจึงลองค้นหาคำแนะนำวิธีใช้ “แอร์รถ” อย่าง “ถูกต้อง” ดู ไม่อยากเชื่อเลยครับ ว่าหาความถูกต้องไม่ได้เลย ทุกคำแนะนำล้วนผิด และมาจากการ “ทึกทักเอาเอง” จินตนาการกันไปต่างๆ นานา โดยขาดความรู้พื้นฐานทางเทคนิค และวิทยาศาสตร์ ผมลองรวบรวมคำแนะนำเรื่องนี้ไว้ มาดูกันทีละข้อครับ 1. ก่อนติดหรือสตาร์ทเครื่องยนต์ ต้องปิดทั้งสวิทช์พัดลม (ให้หยุดทำงานไปเลย) และสวิทช์ทำความเย็น หรือ A/C เสมอ จริงหรือไม่ ? ไร้สาระครับ ดูที่สวิทช์พัดลมกันก่อน ไม่ว่ามันจะหมุนหรือหยุดอยู่ หมุนเร็วระดับไหน ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการติดเครื่องยนต์ หรือการทำงานของเครื่องยนต์เลย ก่อนดับเครื่องจึงไม่ต้องไปปิดหรือแม้แต่หรี่มันเลยครับ 2. มีการห้ามติดเครื่องยนต์ ในขณะที่เปิดสวิทช์ทำความเย็นไว้ ไร้สาระครับ สวิทช์ A/C นี้ ทำหน้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าไปที่คลัทช์แม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งอยู่หน้าคอมเพรสเซอร์ ถ้าไม่มีกระแสไฟฟ้ามาป้อนขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า คลัทช์นี้จะอ้าอยู่ แม้จะมีสายพานขับอยู่ตลอดเวลาที่เครื่องยนต์ทำงาน จานหน้าคอมเพรสเซอร์จะหมุนฟรีเฉยๆ ครับ คอมเพรสเซอร์จะไม่ทำงาน ประเด็นก็คือรถยุคนี้ ซึ่งก็คือรถที่มีอายุไม่เกิน 15 ปี (ซึ่งอาจถึง 20 ปีก็ได้นะครับ) มีวงจรไฟฟ้าควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศ และหนึ่งในนั้นก็คือ ควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ ว่าเมื่อใดควรทำ และเมื่อใดไม่ พูดง่ายๆ ก็คือ ให้หมุนหรือหยุดหมุน ถ้าควรหมุน ก็จะปล่อยกระแสไฟฟ้าไปให้คลัทช์หน้าคอมเพรสเซอร์ ถ้าเงื่อนไขไม่ครบ สำหรับการทำงานของคอมเพรสเซอร์โดยไม่ให้โทษ วงจรควบคุม (ที่ช่างซ่อมรถไทย เรียกกันง่ายๆ ว่า “สมองแอร์” ) ก็จะไม่ปล่อยกระแสไฟฟ้าไปให้ ซึ่งมีหลายกรณีครับ เช่น 1. เครื่องยนต์ยังไม่ติดแล้วจะให้คลัทช์จับไปทำไม เปลืองไฟเปล่าๆ และ “กินแรง” มอเตอร์ที่จะหมุนเครื่องยนต์ด้วย ผมใช้คำว่ากินแรงเท่านั้นครับ อยากจะเน้นไว้ตรงนี้เลยว่า ถึงคลัทช์จะ “จับ” อยู่ในรถรุ่นเก่ามากๆ และเราเปิดสวิทช์ A/C นี้ไว้ ก็ไม่ได้ให้โทษอะไร มอเตอร์สตาร์ทมันก็หมุนเครื่องยนต์ไหวอยู่ดีครับ และไม่มีอะไรสึกหรอเป็นพิเศษด้วย เพียงแค่ถ้าปิดไว้ก็จะดีกว่า ผมหมายถึงรถรุ่นเก่ามากเท่านั้น ถ้าอยากลองสำรวจดูเล่น ลองฟังเสียงคลัทช์แม่เหล็กไฟฟ้าเริ่มทำงาน หลังติดเครื่องยนต์ประมาณไม่กี่วินาทีครับ ถ้าคอมเพรสเซอร์อยู่ไม่ต่ำมาก พอมองเห็นได้ ให้มองจานหน้าคอมเพรสเซอร์ไว้ แล้ววานใครติดเครื่องยนต์ให้ (เกียร์อัตโนมัติต้องอยู่ในตำแหน่ง P แน่นอนนะครับ) จะเห็นได้เลยว่ามันไม่หมุน ตอนเครื่องยนต์เริ่มติด ต้องรอสัก 2-3 วินาที ถ้าเป็นรถไม่เก่า แต่คอมเพรสเซอร์อยู่ต่ำ และเวลาคลัทช์ทำงานก็ไม่มีเสียงให้ได้ยิน ไม่ต้องกังวลครับ นี่ล่ะรถชั้นดี อย่างไรก็มีฟังค์ชันนี้ 100 % 2. ความดันของไอ “น้ำยาแอร์” สูงเกินไป สวิทช์ความดัน จะตัดกระแสไฟฟ้าที่ไปสู่คลัทช์หน้าคอมเพรสเซอร์ ให้หยุดหมุน เพราะความสึกหรอจะสูง และท่อน้ำยาแอร์อาจแตกได้ (ถ้าอายุมาก) 3. ความดันของไอ “น้ำยาแอร์” ต่ำเกินไป เช่น เกิดการรั่วซึม หรือถึงขั้นท่อน้ำยาแตก สวิทช์ความดันจะตัดกระแสไฟฟ้าไม่ให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน เพราะทำไปก็ไม่ได้ “ความเย็น” แล้วน้ำมันหล่อลื่นสำหรับคอมเพรสเซอร์ ซึ่งคลุกเคล้าอยู่กับน้ำยาแอร์ มักจะรั่วตามออกมาด้วย ถ้าให้คอมเพรสเซอร์ทำงานโดยขาดน้ำมันหล่อลื่น ก็พังแน่นอนครับ 4. รถรุ่นใหม่ ราคาสูง ที่ใช้ไฟฟ้าควบคุมการทำงานของลิ้นผีเสื้อ หรือลิ้นเร่งของเครื่องยนต์ มักจะพ่วงฟังค์ชันตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ เพื่อให้เครื่องยนต์ใช้กำลังทั้งหมดที่มีอยู่ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ขับต้องการอัตราเร่งสูงสุด คือ เหยียบคันเร่งจนสุด ระบบควบคุมจะตัดกระแสที่ไปสู่คลัทช์หน้าคอมเพรสเซอร์ และต่อใหม่ทันทีที่ผู้ขับผ่อนคันเร่ง คำแนะนำต่อไปเท่าที่อ่านพบคือ ต้องเปิดพัดลม “ไล่อากาศ” เก่าที่อยู่ในตู้แอร์ก่อนสักครู่ แล้วจึงกดสวิทช์ A/C ไร้สาระเช่นเดียวกัน ถ้าเราทำถูกวิธีมาตั้งแต่ต้น คือไม่ต้องไปปิดพัดลมใดๆ ทั้งสิ้น และสวิทช์ A/C ก็ไม่ต้องปิดด้วย ก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นครับ พอเราบิดกุญแจไปตำแหน่ง ON พัดลมจะทำงานทันที และเมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วสักครู่ คอมเพรสเซอร์ก็จะทำงาน ตามที่ผมได้กล่าวมาแล้ว หัวใจสำคัญของระบบปรับอากาศก็คือ พัดลมทำงานร่วมกับการทำความเย็นครับ “ช่วงพัก” สามารถให้พัดลมทำงานอย่างเดียวได้ แต่ห้ามมาทำความเย็นที่อีแวพอเรเตอร์อย่างเดียว โดยพัดลมไม่ทำงาน ผู้ออกแบบเขาคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ไว้หมดแล้ว ถึงแม้เราจะเปิดสวิทช์ A/C ไว้ ถ้าเราปิดสวิทช์พัดลม กระแสไฟฟ้าที่จะไปสู่คอมเพรสเซอร์ก็จะถูกตัดไปโดยอัตโนมัติ มีกรณีเดียวเท่านั้นที่จะเกิดปัญหา คือพัดลมเสีย ซึ่งเจ้าของรถจะต้องรู้ เพราะสวิทช์อยู่ในตำแหน่ง เปิดให้มันทำงาน ถ้าไม่มีลมออกมา ต้องปิดสวิทช์ A/C ทันทีครับ คำแนะนำต่อไป กดสวิทช์ A/C แล้วให้เร่งความเย็นสูงสุดสักครู่ แล้วจึงปรับกลับมาตำแหน่งที่ต้องการ ไร้สาระเหมือนเดิมครับ ถ้าจะทำต้องไม่ใช่ครู่เดียวครับ และเฉพาะรถรุ่นค่อนข้างใหม่ระดับบน ที่มีระบบ CLIMATE CONTROL ระบบนี้จะผสมอากาศเย็นกับอากาศไม่เย็น ให้พอเหมาะกับจุดประสงค์ของผู้ใช้ และสิ่งแวดล้อม แต่ก็เช่นเดียวกับระบบอัตโนมัติทั้งหลาย ที่ไม่สามารถ “รู้ใจ” เรา และทำงานได้สมบูรณ์แบบ จนถูกใจเราไปหมด ถ้าเราจอดรถตากแดดไว้ แล้วกลับมาใช้งาน แม้จะเปิดกระจกหรือเปิดประตู ไล่อากาศร้อนออกไปแล้ว ส่วนอื่นในห้องโดยสารก็ยังคงคายความร้อนออกมาอย่างต่อเนื่องครับ ถ้าเราปล่อยไว้ในตำแหน่งที่เลือกอุณหภูมิที่ชอบ แม้อากาศที่ไหลเข้าไปสู่อีแวพอเรเตอร์ (รังผึ้งทำความเย็น) จะร้อน และอากาศในห้องโดยสารก็ร้อน และระบบอัตโนมัติก็รับรู้ได้จากเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ แต่ระบบก็ยังคงคลุกเคล้าอากาศร้อนกับอากาศเย็นแม้จะในสัดส่วนที่ทำให้ห้องโดยสารเย็นเร็วก็ตาม กรณีนี้เราสามารถปรับสวิทช์เลือกอุณหภูมิไปที่ตำแหน่งเย็นที่สุดเสมือน “หลอก” ระบบอัตโนมัติ ว่าเราต้องการให้ห้องโดยสารเย็นที่สุด ระบบจะปล่อยแต่อากาศเย็นที่มาจากอีแวพอเรเตอร์ล้วนๆ ออกมาทางช่องลม ก็จะช่วยให้ห้องโดยสารของเราเย็นเร็วที่สุด พอเริ่มหายร้อน ค่อยปรับอุณหภูมิขยับเข้ามายังตำแหน่งปกติเป็นระยะไปครับ แต่ถ้าไม่ต้องการทำก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันนะครับ เดี๋ยวจะเสียสมาธิจนอาจเกิดอุบัติเหตุได้ วิธีนี้เฉพาะผู้ที่ถนัดเรื่องเทคนิคเท่านั้น เนื้อที่หมดพอดีครับ ขอผลัดไปต่อในฉบับหน้า ว่าทำไมอีแวพอเรเตอร์ จึงชอบรั่ว และต้องทำตามคำแนะนำที่เล่าลือกันไปทั่วประเทศหรือไม่
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2560
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/187606