รอบรู้เรื่องรถ
ซื้อรถ...ต้องใช้เหตุผล !
งานแสดงรถยนต์ หรือ งาน "มหกรรมยานยนต์" ที่จัดแสดงช่วงปลายปีของทุกปีนั้น การจัดงานได้มาตรฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ ครับ ถ้าเทียบในภูมิภาคอาเซียน (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) แล้ว เราถือเป็นเบอร์หนึ่งของงานแสดงรถยนต์ในภูมิภาคนี้ แต่การจัดแสดงรถยนต์ของบ้านเราจะมีความแตกต่างจากมหกรรมยานยนต์ระดับสากลอยู่นิดหน่อย ก็ตรงที่ของเขานั้นจะไม่เน้นขายรถภายในงาน ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีขายนะครับ มีขายกันมากพอสมควร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรถที่กำลังจะออกจำหน่าย หรือเพิ่งออกจำหน่ายใหม่ๆ
ผมเคยชวนบรรดาเพื่อนๆ หลายคนไปชมงานแสดงรถยนต์ แต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "ดูแล้วก็ไม่มีเงินซื้อ...ไม่ไปดีกว่า" แบบนี้ผมว่าหลงประเด็นแล้วครับ ที่น่าไปดูก็เพราะไม่มีเงินจะซื้อนี่แหละ ความน่าสนใจของงานแสดงรถยนต์นั้น อยู่ที่รถรุ่นใหม่ หรือรถต้นแบบที่ไม่มีให้เห็นในประเทศไทย
นอกจากงานนี้ ถึงไม่ใช่รถต้นแบบ หรือเป็นรถที่มีจำหน่าย แต่ราคาแพงมาก และหาดูได้ยาก รถพวกนี้เปรียบเหมือน "แม่เหล็ก" ดึงดูดผู้ชม แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มางานนี้ เพื่อซื้อรถจากบรรดาค่ายรถยนต์ต่างๆ ที่มาจัดแสดง โดยงัดข้อเสนอพิเศษสุดมาเรียกลูกค้า "ให้ซื้อ" จนกลายเป็นธรรมเนียมไปเสียแล้วว่า ถ้าอยากจะซื้อรถราคาถูก ดอกเบี้ยต่ำ ของแถมเยอะ ต้องรอซื้อช่วงงานแสดงรถยนต์เท่านั้น
แต่ของถูกและดีไม่มีในโลกครับ เราอาจตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมอันแพรวพราวของเซลส์ขายรถมืออาชีพก็ย่อมได้ ดังนั้นเวลาจะซื้อรถ เราควรต้องพิจารณาตรวจเชคข้อเสนอต่างๆ ให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน บางครั้งที่เห็นว่ามีส่วนลดเงินสดเยอะๆ หลายหมื่นบาท อาจโดนบวกรวมไปกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงลิบไปหมดแล้วก็ได้ โดยเมื่อบวกลบคูณหารแล้ว อาจใกล้เคียงราคาปกติทั่วไป ร้ายหน่อยก็อาจแย่กว่าเดิมอีกด้วย แต่สิ่งที่ถือว่าน่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ การซื้อรถตกรุ่น โดยที่ไม่ทราบความจริง ว่ารถรุ่นที่เราจะซื้อนั้น กำลังจะออกรุ่นใหม่ในเร็ววันนี้แล้ว ผมถือเป็นความเสียหายอย่างมากครับ หากจะซื้อต้องซื้อทั้งๆ ที่ทราบ และต้องได้รับการเสนอเงื่อนไขพิเศษอย่างยุติธรรมด้วย
อาจจะมีผู้ที่แย้งว่าไม่สนใจความเป็นรุ่นใหม่ หรือรุ่นเก่า บางคนอาจเห็นว่ารถรุ่นเก่านั้นสวยกว่า รถรุ่นใหม่ดูแล้วน่าเกลียด ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายในก็ตาม แม้จะมีความรู้สึกเช่นนี้ ผมก็ยังต้องห้ามซื้อรถตกรุ่น โดยไม่ได้รับเงื่อนไขพิเศษอยู่ดีครับ เพราะความเสียหายนั้นมากมาย เนื่องจากมูลค่าของรถรุ่นเก่าจะตกฮวบทันทีที่รถรุ่นใหม่ออกจำหน่าย ไม่ว่าจะอยู่ในโชว์รูม หรืออยู่บนท้องถนนก็ตาม ถ้าเป็นรถระดับธรรมดา ก็ไม่ต่ำกว่าแสนบาท แต่ถ้าเป็นรถราคาแพงหลักล้านก็เหมือนเงินล้านบาทหายวับไปกับตา เรียกว่า "เผาเงินทิ้ง" ก็ว่าได้
ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ผ่านมา ผมต้องขอชื่นชมบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นยี่ห้อหนึ่งครับ ที่กำชับเซลส์ของตัวเองให้บอกแก่ลูกค้าถึงรถที่กำลังจะตกรุ่น และให้ข้อเสนอพิเศษด้วยส่วนลดเงินสดกว่าแสนบาท และยังแถมประกันภัยชั้นหนึ่งอีกด้วย แบบนี้สิครับถึงจะสมเหตุสมผล
ผมเคยได้ยินหลายคนพูดกันว่า รถยนต์นั้นถือเป็นปัจจัยที่ห้า สำหรับการใช้ชีวิตในเมืองไทย ผมว่ามันก็มีส่วนถูกอยู่นะครับ ตราบใดที่ระบบขนส่งมวลชนในบ้านเรายังเป็นแบบนี้อยู่ โดยเฉพาะรถเมล์โดยสาร จะไปนั่งมอเตอร์ไซค์พี่วินก็ขับปาดไปปาดมาให้หวาดเสียว ครั้นจะนั่งรถแทกซีก็ต้องไปง้อคนขับอีก แทกซีเดี๋ยวนี้ เอาแต่สบาย จะไปแต่ทางที่อยากไป อ้างเราสารพัด "ต้องส่งรถ" "แกสหมด" "เส้นนั้นรถติดมาก" ผมเคยอ่านบทความบนโซเชียลเนตเวิร์คเขาบอกว่า ถ้าแทกซีไม่ไปตามที่เราขอ อย่าไปโมโหปิดประตูแรงๆ ใส่ครับ ให้ปิดประตูเบาๆ หรือไม่ต้องปิดประตูเลย แบบนี้สะใจกว่า แต่อย่าไปทำแบบนั้นเลยครับ บางครั้งเขาอาจจำเป็นจริงๆ ก็ได้ แทกซีดีๆ มีเยอะครับ แต่เราอาจไม่โชคดีเจอก็เท่านั้น
กลับมาที่การเลือกซื้อรถดีกว่าครับ การจะเลือกซื้อรถสักคัน สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องดูกำลังของเราเป็นหลัก จะเป็นรถใหม่ป้ายแดง หรือรถใช้แล้วก็ย่อมได้ทั้งนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อรถ ต้องสำรวจรายรับ/รายจ่ายให้ครบถ้วน ประเมินสถานการณ์ในอนาคตให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วลองทำให้มันเลวร้ายลงไปอีก (ในความคิด) สักหลายสิบเปอร์เซนต์ แล้วดูสิว่าเรายัง "อยู่ได้" หรือไม่
คนไทยมักจะเชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่ต้องพิจารณาเหตุผลที่เป็นกลางมารองรับ พวกเราชอบอยู่ในสังคม "เขาว่า..." ฟังแล้วทำไมต้องรีบเชื่อกันนัก ! อย่างเรื่องความขัดแย้งในประเทศเราตอนนี้ ใครดี ใครชั่ว ใครทำลายชาติ เราแยกกันไม่ออกเชียวหรือ! ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ในการซื้อ/ขายรถ คนขายเขาก็ต้องบอกว่า "อย่าใช้รถนานเลย 4 ปี ก็เปลี่ยนได้แล้ว จะได้ไม่ต้องซ่อม" พวกเราก็รีบเชื่อ ซื้อรถมาคันละ 1 ล้านบาท ใช้ไป 3 ปี มูลค่าหายไป 4 แสนบาท เพราะขายได้เพียง 6 แสนบาท ไปซื้อรถใหม่ระดับเดียวกับคันเดิม ราคาขึ้นไปเป็น 1 ล้านกับ 1 แสนบาท ต้องเพิ่มเงินอีก 5 แสนบาท แลกกับการได้ใช้รถใหม่อีกรอบที่ "ไม่ต้องซ่อม" ทุกอย่าง เหมือนเดิมนอกจาก "จน" ลงไปอีก 5 แสนบาท แต่ถ้าใช้คันเดิมต่อ เงินส่วนนี้ก็ไม่ต้องเสียครับ เอาไปใช้ทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย หรือไม่ก็เก็บไว้เป็นความมั่นคงทางการเงิน
ส่วนเรื่องซ่อมเป็นของธรรมดาของการใช้รถครับ ชิ้นส่วนของรถล้วนมีอายุใช้งานทั้งนั้น สั้นบ้าง ยาวบ้าง ถ้าใช้รถที่ราคาอะไหล่สมเหตุสมผล ก็ปีละไม่กี่หมื่นบาท นับเป็นค่าใช้จ่ายปกติของการใช้รถ แต่เงิน 5 แสนบาทในตัวของเรายังอยู่
"ซื้อรถใหม่สบายใจกว่า ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องซ่อมไปหลายปี" นี่ก็เป็นคำแนะนำของคนขายรถ ผมว่าไม่จริงเสมอไปนะครับ บางครั้งนอกจากจะไม่สบายใจแล้ว อาจจะถึงขั้นตกนรกทั้งเป็นก็ได้ ถ้าต้องออกจากงานกะทันหันแล้วผ่อนต่อไม่ได้ รถก็ต้องถูกยึดแน่ เงินที่ลงไปก็สูญเปล่า เพราะฉะนั้นแทนที่จะผ่อนรถใหม่คันละ 6 แสนบาท หาซื้อรถคันละ 3 แสนบาท (เป็นตัวเลขสมมติ) แล้วไม่ต้องเสี่ยงถูกยึดรถ ไม่ต้องเครียดกับ "ค่างวด" ทุกๆ เดือน คุ้มกว่ากันเยอะครับ เรื่องซ่อมเป็นปัญหาเลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องยอมรับ แน่นอนว่าต้องเสี่ยงกับการถูก ช่างหลอก ช่างโกง ช่างซ่อมที่ไม่เป็นบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เราสามารถหาทางออกได้โดยการสอบถามผู้รู้ ผู้ใช้จริงที่ใช้รถรุ่นเดียวกันอยู่ หรือไม่ก็หาข้อมูลจากอินเตอร์เนทก็ได้ เดี๋ยวนี้ช่างที่ไหนดี อู่ที่ไหนแย่ ดูไม่ยากแล้วครับ
คงมีผู้อ่านตั้งคำถามว่า ถ้าผู้ที่ซื้อรถไม่ว่าจะในงานแสดงรถยนต์ หรือนอกงานก็ตาม ใช้เหตุผลที่ผมแนะนำมาแล้ว จะให้ผู้ผลิตรถยนต์เขาขายให้แก่ใคร เศรษฐกิจมิแย่หรือ ? ไม่หรอกครับ ถ้าผู้ซื้อรู้จักเปรียบเทียบ รู้จักค่าของเงิน กลุ่มผู้ซื้อก็จะขยับลงมาหารถรุ่นที่ราคาต่ำกว่า เป็นขั้นบันไดไป ส่วนกลุ่มที่ซื้อรถใหม่ในรุ่นถูกสุดที่ปลายแถวนั้น อาจไม่ใช่ลูกค้าตัวจริง เพราะเขาอาจยินดีหันไปมองรถใช้แล้วที่ราคาต่ำกว่า แต่ได้รุ่นที่สูงกว่าราคาของรถใหม่แทนก็ได้
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เฉพาะผู้ที่เข้าข่ายควรนำไปพิจารณาเท่านั้นนะครับ มีผู้อ่านหนังสือของเราจำนวนไม่น้อยที่มีความพร้อมทางการเงิน ก็อ่านเป็นความรู้ และข้อคิดก็แล้วกัน ต้องมีคนซื้อรุ่นใหม่ที่เขาผลิตออกมาขาย เงินจึงจะสะพัด เพราะถ้ากลุ่มคนที่มีฐานะดี มั่งคั่ง เกิดนัดกันหยุดใช้เงิน รับรองว่าแค่เดือนเดียว เศรษฐกิจทั้งระบบทรุดแน่นอน
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/18334