ประสาใจ
กาเม สุมิจฉา
คนไทยส่วนมาก นับถือพุทธศาสนา ซึ่งเบญจศีล หรือศีล 5 เป็นข้อห้ามในลำดับเบื้องต้นตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้า เป็นหลักธรรมประจำสังคมมนุษย์ แต่ขณะที่ผมบันทึกเรื่องนี้ สังคมไทยกำลังเมามันบันเทิงกับพฤติกรรมของคนในสังคมเดียวกัน ซึ่งเกี่ยวพันถึงศีลข้อที่ 3 ของเบญจศีลดังกล่าวศีลข้อที่ 3 คือ "เว้นการประพฤติอันไม่เหมาะสมทางเพศ" หลายข่าวที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เกี่ยวข้องกับศีลข้อ 3 แล้วก็เลื้อยไปถึงศีลข้อที่ 1 "เว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต" ที่ว่าเกี่ยวข้อง หมายถึงไม่ปฏิบัติตน เหมือนไม่รู้ว่าพุทธศาสนามีศีลห้า หรือแม้จะรู้ดีแล้ว แต่ก็อดผิดศีลไม่ได้ นอกจากประพฤติตนไม่เหมาะสมทางเพศแล้ว ยังฆ่าฟันอย่างเหี้ยมโหด ยิ่งกว่านั้นยังอำมหิตถึงระดับตัดศพเป็นชิ้นเพื่ออำพรางคดี เบญจศีล เป็นศีลของสังคมมนุษย์ก่อนสมัยพุทธกาล ซึ่งพระเจ้าจักรพรรดิ ตรัสสอนประชาชนว่า ท่านทั้งหลายต้องไม่ฆ่าสัตว์, ต้องไม่ถือเอาของที่เขามิได้ให้, ต้องไม่ประพฤติไม่เหมาะสมทางเพศ, ต้องไม่กล่าวเท็จ และต้องไม่บริโภคสุรายาเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อันที่จริงพิจารณาแล้ว ก็ดูไม่ใช่เรื่องยากที่คนเราจะพึงปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อความเป็นอยู่ร่วมกันในโลกเดียวกันนี้ หากสังคมใดประพฤติตนเพียงอยู่ในศีลทั้ง 5 นี้เท่านั้น สังคมนั้นน่าจะเป็นสังคมที่มีความสงบสุขโดยแท้ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ มนุษย์เราสมัยก่อนกับสมัยนี้ต่างกัน ทั้งปริมาณและคุณภาพ แต่โบราณกาลอาจเป็นเพียงสังคมเล็กๆ แต่สมัยนี้เป็นสังคมกว้างใหญ่ไพศาล เป็นโลกที่แคบมาก เข็มตกที่ไหนเล่มเดียวได้ยินกันหมดทั้งโลก การละเว้นไม่ปฏิบัติตนตามศีลทั้ง 5 ย่อมมีมาแต่โบราณจนถึงวันนี้ ซึ่งบทลงทัณฑ์ก็แตกต่างกันไป สุดแต่จะเป็นสังคมใด หรือบนภูมิภาคใด สมัยพระเจ้าจักรพรรดิ ที่ตรัสสอนประชาชนก็มีคนนอกรีต บทลงโทษในสมัยนั้นก็ยิ่งกว่าโทษประหารที่คนสมัยนี้เรียกร้อง กล่าวคือ ลงโทษด้วยวิธีจับแขนไพล่หลัง แล้วเอาเชือกเหนียวมัดอย่างมั่นคง โกนผม แล้วประโคมบัณเฑาะว์เสียงกร้าว แห่ประจานไปตามถนน ตรอกซอกซอย พาออกไปทางประตูเมืองด้านทิศใต้ ก่อนจะลงมือประหารด้วยการตัดศีรษะ หลักธรรมนี้ สังคมอวดอ้างว่า เป็นหลักธรรมค้ำจุนโลก ช่วยให้โลกอยู่ได้ถึงวันนี้ มีสมญานามว่า "มนุษยธรรม" คือ ธรรมของมนุษย์ และเมื่อมนุษย์รักษาธรรมนี้ โลกก็สงบสุข เบญจศีล เป็นศีลของมนุษย์ ทั้งนักบวชและฆราวาส เป็นวินัยของผู้ครองเรือน วิธีรักษาศีล 5 ก็ไม่เป็นเรื่องยากแก่การปฏิบัติ โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ การละเว้นไม่ทำบาป ขณะอยู่ในสถานการณ์ที่กระตุ้นให้ทำบาป ผู้ประพฤติผิด ย่อมต้องมีทั้งผู้สำนึกและไม่สำนึก ซึ่งผู้ไม่สำนึกหรือไม่รู้ไม่ชี้กับการประพฤติผิดศีล ย่อมจะมีเลือดลมปกติ ต่างกว่าผู้สำนึกในกรรม และเมื่อสำนึกแล้ว ก็มองหาทางแก้กรรม คำตอบในเรื่องอย่างนี้ ส่วนใหญ่เห็นว่า ยากมากที่พ้นบ่วงกรรม เพราะกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา จะพ้นกรรมไปได้ก็เห็นจะมี EXIT ประตูเดียว คือ นิพพาน ประการแรก เมื่อสังคมทราบเรื่อง ความเกลียดชังก็บังเกิด ความอับอายก็รุมเร้า ถูกกล่าวหาว่าเป็นบุคคลในตระกูลต่ำ (คนเราสมัยโบราณ มีการแบ่งชั้นวรรณะ) ความวิตกกังวลถูกปลุกระดม รวมความแล้วเป็นความทรมานเหนือการทรมานทั้งปวง นี่คือ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม หมายถึง การร่วมประเวณี (แม้จะเป็นการเคล้าคลึง การพูดจาเกี้ยวพาราสี หรือการแสดงอาการปฏิพัทธ์แม้ด้วยสายตา) ในบุรุษและสตรี ที่มิใช่ สามี-ภรรยา คู่ครองของตนเอง หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต เคยตอบปัญหาธรรมและมีผู้นำมารวมเป็นเล่มตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2538 มีบางปัญหาที่ผมอยากถ่ายทอดมา ณ ที่นี้ คำถาม-หลังทำแท้งขณะตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน รู้สึกเป็นบาป แต่จำเป็นต้องทำเพราะแพ้ท้อง ทำงานไม่ได้ สามีมิได้เอาใจใส่ต่อครอบครัวเลย ถ้าปล่อยให้เกิดมาเขาจะลำบาก และทำให้ลูกคนเกิดก่อนลำบากไปด้วย อยากทราบว่า บาปที่ทำนี้ มีวิถีทางใดจะชดใช้ได้บ้าง เช่น บวชชีพราหมณ์ สร้างพระ หรือถือศีล เป็นต้น คำตอบ-ไม่ว่าใคร เมื่อความทุกข์ใจมาถึงแล้วก็ต้องมองหาที่พึ่ง เพื่อแบ่งเบา ชะรอยสามีจะล่วงละเมิดไปเล่นสาว จึงเป็นเหตุไม่อาลัยในของเดิม แต่ก็คงเป็นเรื่องของกรรมมาในภพก่อนๆ ที่พวกเราสร้างไว้ เรื่องลูกตั้งครรภ์แล้ว 2 เดือน จะหาอุบายทำลายนั้น มันเป็นบาปมากนัก พระวินัยบอกว่า ปาราชิก 4 มนุษย์ในครรภ์ก็ดี นอกครรภ์ก็ดี ฆ่าเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าก็ดี ห้ามขาดทั้งนั้น ถ้าฝืนล่วงละเมิด ภิกษุเป็นปาราชิก หลวงปู่ไม่อนุโมทนาด้วย แม้เราทำลายแล้ว เราจะไปบวชชีพราหมณ์ หรือจะทำบุญอะไรๆ มันแก้บาปไม่ได้ เพราะมันเป็นเงินคนละกระเป๋า ใจของเราเปรียบเหมือนคลังบาป บุญเปรียบเหมือนสมบัติที่อยู่ในคลัง คราวใดที่เราเอาบาปออกมาค้า ผลกำไรก็ไปบวกบาปอยู่ที่ใจ การล้างบาปในพระพุทธศาสนาจึงไม่มี แต่เมื่อสร้างบารมีไปมาก บาปก็เว้นพอแล้ว บุญก็สร้างพอแล้ว จึงจะทรงตัวเหนือบาปและบุญไปได้ โทษฆ่ามนุษย์เป็นมหันตโทษ ไม่มีศาลอุทธรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น กรรมและผลแห่งกรรมที่ทำไว้ มันไม่มีเกษียณ แต่มันจะตามติดตัวไปจนถึงชาติเข้าสู่พระนิพพาน ขอให้เข้าใจด้วยว่า สิ่งใดที่เราไม่เสียดายอยากล่วงละเมิดเพราะเห็นชัดด้วยปัญญา ด้วยดวงตามองเห็นธรรม เห็นว่ามันเป็นเวรเป็นภัยโดยแท้ ไม่มีศาลอุทธรณ์ หากปัญญาเห็นแบบนี้ ความเสียดายอยากล่วงละเมิดมันก็จะไม่เกิดขึ้นกับตัวเรา ส่วนการหงุดหงิดฉุนเฉียว เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ของเรามีหลายแพร่ง แพร่งแรก คือ สามีไม่รับผิดชอบ ไม่อาลัยใยดี แพร่งที่ 2 เป็นธรรมดาของผู้ตั้งครรภ์ก็ต้องหงุดหงิดบ้าง จะอย่างไรก็ตาม ความอดทนเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์ คือ อดทนในสิ่งอันควรค่าแก่การอดทน ไม่ใช่อดทนในการสร้างบาป แต่อดทนในการไม่สร้างบาป ความอดทนกับความเพียร คงมีความหมายอันเดียวกัน ทว่า ความเพียรในทางพระพุทธศาสนา เป็น "เพียรละบาป บำเพ็ญบุญ" เป็นหลักของจิตใจ หลวงปู่เห็นใจลูกๆ หลานๆ ใครเกิดมาในโลกนี้ไม่เป็นทุกข์ใจนั้น ย่อมไม่มีเป็นแน่แท้ (เว้นพระอรหันต์) พระโสดาบัน เว้นทุกข์ใจไปเป็นเอกเทศแล้ว และส่วนที่เว้นนั้น ก็ไม่กลับมาทุกข์อีก ส่วนพระอรหันต์ ท่านเว้นโดยเด็ดขาดสิ้นเชิง คำสอนในพระพุทธศาสนา เจตนามุ่งหมายให้สัตว์โลกเข้าสู่พระนิพพาน เพราะในไตรโลกธาตุนั้น ไม่มีสุขเท่าเมล็ดงาเลย หากมีสุขเท่าเมล็ดงา พระอรหันต์ก็คงไม่เบื่อหน่ายความหลงของตนที่เคยหลง และเมื่อหลงที่เคยหลงมันก็เท่ากับว่า เบื่อหน่ายโลกทั้งปวงไปในตัว คำว่าเบื่อหน่ายในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าจะไปฆ่าตัวตาย และท่านผู้พ้นจากกิเลสแล้ว ท่านย่อมไม่เป็นกังวลเพื่อจะฆ่าตัวตาย ความหลงมันจะหายไปหมด เหลือแต่พระปัญญา ซึ่งธรรมชาติฝ่ายสังขารก็จะมรณภาพไปเองโดยปราศจากเงื่อนไข ผู้ฆ่าร่างกายให้ตายไปนั้น เป็นผู้ไร้ปัญญา สิ่งที่ควรสำเหนียกก็คือ หากสามีของลูกลอบไปรักใคร่หญิงอื่น จงยกมือใส่หัวแล้วกล่าวว่า "ถ้าหากข้าพเจ้าเคยไปรักผัวเขา หรือเคยล่วงละเมิดผัวเขามาแต่ชาติปางก่อน ก็ดี แม้โกรธบ้างก็ตาม แต่ข้าพเจ้าจะไม่จองเวร ขอให้แล้วกันไปซะ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน" หลวงปู่เห็นว่า ต้องทำจิตอย่างนี้ หากไม่อย่างนั้นแล้ว มันก็จะเข้าตำรา มึงทีกูทีไปในชาติหน้าตะพึดตะพือนะลูกนะ...!!!
เรื่องโดย : ข้าวเปลือก
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : ประสาใจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/181010