รู้ลึกเรื่องรถ
อนาคตที่แสนสะดวกสบาย ใกล้จะมาถึงแล้ว
ณเห็นด้วยหรือไม่ว่า การขับรถยนต์นั้น มีทั้งส่วนที่ น่าหลงใหล และส่วนที่ น่าเบื่อหน่าย แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเราหลงใหล จนกระทั่งต้องมีนิตยสาร หรือมีรายการโทรทัศน์ด้านยานยนต์ ออกมาให้เสพกันนั้น จะเป็นการขับขี่ออกไปชมโลกกว้าง หรือการขับขี่ที่ทำให้อดรีนาลีนฉีดพุ่ง
แต่จริงๆ แล้วชีวิตส่วนใหญ่ของเราอยู่และใช้งานรถยนต์ในแง่ที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถช้าๆ คลานตามกันไป หรือการวนหาที่จอดรถ ในลานจอดรถของอาคารสำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้า
ความพยายามที่จะทำให้ รถยนต์นั้นสามารถดูแลตัวเองในเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายได้ เช่น การหาที่จอดรถด้วยตัวมันเอง ไม่ได้เพิ่งจะมีขึ้น มันเกิดขึ้นก่อนที่โลกของเราจะมีรถยนต์หนาแน่นขนาดนี้เสียอีก แต่ต้องอาศัยแนวคิดการพัฒนาระดับเทคโนโลยีที่เรียกว่า "VEHICLE 2 INFRASTRUCTURE TECHNOLOGY" หรือ VII VEHICLE INFRASTRUCTURE INTEGRATION" อันเป็นเทคโนโลยีการทำงานสอดประสานกันระหว่างยานพาหนะกับระบบสาธารณูปโภค โดยมีแนวความคิดว่า ทั้ง 2 ส่วน คือ สภาพแวดล้อมและยานพาหนะ สามารถสื่อสารและทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้นั่นเอง ดังตัวอย่างที่บริษัทรถยนต์ โวลโว ได้สาธิตระบบ จอดรถอัตโนมัติไร้คนขับ (AUTONOMOUS PARKING) ที่ซึ่งผู้ขับขี่สามารถลงจากรถ และปล่อยให้รถวิ่งไปหาที่จอดเอง และสามารถสั่งให้รถกลับมารับตนได้ในสถานที่ที่กำหนด โดยการสั่งงานผ่านระบบเครือข่ายไร้สายร่วมกับระบบเซนเซอร์ และกล้อง
ระบบที่ว่านี้ยังต้องทำงานร่วมกับระบบที่ได้วางไว้โดยอาคารหรือสถานที่ เหมือนดังที่เราอาจจะเคยเห็นตามห้างสรรพสินค้า หรืออาคารขนาดใหญ่ หลายๆ แห่ง อาทิ อิมแพคท์ เมืองทองธานี ซึ่งปัจจุบันนี้มีการนำไปสัญญาณ สีเขียว สีแดง มาติดไว้บนเพดาน ถ้าในช่องจอดนั้นว่าง ก็จะปรากฏเป็นสัญญาณสีเขียว ทำให้ผู้ขับขี่ที่ เห็น สามารถรู้ได้ว่ามีที่จอดว่าง และวิ่งไปทางนั้น รวมถึงสามารถปรากฏเป็นข้อมูลจำนวนที่จอดว่างให้ประเมินสถานการณ์ได้ก่อนอีกด้วย
ระบบดังกล่าวหากจะให้ทำงานกับระบบจอดรถอัตโนมัติไร้คนขับได้ จะต้องส่งข้อมูลออกไปเพื่อให้รถยนต์ได้วิเคราะห์ด้วยนั่นเอง เรียกว่าในขั้นต้นนี้ ระบบ จอดรถอัตโนมัติไร้คนขับ ยังคงต้อง พึ่งพา ระบบปฏิสัมพันธ์กับอาคารและสิ่งแวดล้อมอยู่ และจะทำงานไม่ได้หากลานจอดนั้น ไม่ได้เป็นระบบเดียวกันกับที่รถคันนั้นใช้
สรุปง่ายๆ คือ ระบบนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการประสานงานร่วมกันของวิศวกรรมการขนส่ง วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมยานยนต์ และ นักวางระบบคอมพิวเตอร์ ไม่แตกต่างไปจากระบบส่งสัญญาณที่ใช้นำทางเครื่องบินโดยสารในปัจจุบันนี้นี่เอง ที่นักบินนั้นมีไว้ เผื่อ ในกรณีฉุกเฉินที่ต้องการการตัดสินใจเท่านั้น ที่เหลือเครื่องบินและระบบนำทางสามารถทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง
ในอนาคต นอกจากอาศัยการทำงานระหว่าง สิ่งแวดล้อม และยานพาหนะแล้ว มีการตั้งเป้าว่า รถยนต์ควรจะสามารถ อ่าน ป้าย สัญลักษณ์จราจรได้ด้วยตนเอง รวมถึงสามารถสื่อสารกับรถคันอื่นๆ รอบตัวได้ ซึ่งผู้เขียนพบว่า รถยนต์ โวลโว รุ่นปัจจุบันที่วางจำหน่ายอยู่นี้ก็สามารถที่จะอ่านป้ายสัญลักษณ์จราจร มาตรฐาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถเห็น และอ่านออกว่า นั่นคือ ป้ายทางด่วน รวมถึงป้ายกำหนดความเร็วบนถนนได้ก่อนคนขับเสียอีก โดยแสดงบนหน้าปัดรถว่า มันได้เห็นสัญลักษณ์อะไร ทั้งหมดนี้ใช้ระบบกล้องและคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลที่ป้อนเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้มีการเผอเรอใดๆ แตกต่างจากสมาธิที่ป้ำๆ เป๋อๆ ของมนุษย์
ส่วนระบบสื่อสาร ระหว่างยานพาหนะด้วยกันเอง ใช้เพื่อกำหนดว่าใครมาก่อน ใครมาทีหลัง ใครควรจะหยุด ใครควรจะไป ทำให้การจราจรมีประสิทธิภาพสูงสุด มีการเร่งการชะลอน้อยลง
จะว่าไป เราไม่จำเป็นต้องกังวลกับการที่รถยนต์ซึ่งควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ 2 คัน สื่อสารกันเท่าไรนัก แต่น่าจะกังวลกับการสื่อสารระหว่างรถที่ขับด้วยมนุษย์กับคอมพิวเตอร์เสียมากกว่า เพราะชัดเจนมานานแล้วว่า อุบัติเหตุบนถนนนั้นเกิดความผิดพลาดของมนุษย์มากกว่าเครื่องจักร เนื่องจากมนุษย์มีอคติกับข้อมูลที่ได้รับจากประสาทสัมผัสต่างๆ และเชื่อมั่นในตนเองและประมาทจนมีแนวโน้มจะ เสี่ยง เลยทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ตรงกันข้ามกับระบบคอมพิวเตอร์ที่ไม่ละเลยข้อมูลที่ได้รับ ดังนั้นแม้รถยนต์ในปัจจุบันจะมีเซนเซอร์ช่วยบอกระยะในการจอด มีกล้องถอยหลัง เราก็ยังเห็นรถท้ายบุบเป็นเรื่องปกติ
ส่วนของตัวรถยนต์เองจะต้องมีการพัฒนาให้รองรับกับระบบควบคุมและสั่งงานด้วยคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็เป็นไปแล้วในปัจจุบันนี้ อาทิ รถยนต์ ฟอร์ด โฟคัส ทุกวันนี้ก็สามารถหมุนพวงมาลัยด้วยตัวเองได้ หากใช้งานระบบ ช่วยจอด (และหมุนได้เก่งกว่าคนทั่วไปเสียด้วย) ด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการควบคุมการหมุนพวงมาลัย ซึ่งจะหมุนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่มีการหมุนที่เสียเปล่าแม้แต่น้อย เพราะก่อนที่จะเริ่มการถอยเข้าจอดขนานนั้น ตัวรถได้วิเคราะห์ถึงรูปทรงและขนาดของช่องจอดเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้การเข้าจอดทำได้อย่างว่องไว มีประสิทธิภาพ โดยคนขับควบคุมเพียงแป้นเบรคเท่านั้น
นอกจากนี้แล้ว ระบบจอดรถอัตโนมัติไร้คนขับ ยังคงจำเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในโลกของสมาร์ทโฟน เราคุ้นเคยกันดีกับการ อัพเดทระบบ ส่วนในรถยนต์การอัพเดทซอฟท์แวร์ ก็ดูจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เพราะข้อมูลเส้นทาง และการแก้ไขบักส์ (BUGS) ในระบบ ก็เป็นสิ่งสามัญของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟท์แวร์ แต่ที่น่ากลัว คือ การโจมตีของเหล่า แฮคเคอร์ (HACKER) หรือไวรัสคอมพิวเตอร์ แค่แกล้งให้รถวิ่ง ช้าอืด หรือ หลงทาง ก็คงจะเป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญ หากถึงกับทำให้เกิดอุบัติเหตุ ย่อมเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย นอกจากนี้การรบกวนของคลื่นแม่เหล็กแรงสูง ที่มาจากสิ่งแวดล้อม ก็อาจจะทำให้ระบบล่มได้ ซึ่งวิศวกรที่วางระบบต้องตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน
ก่อนที่พวกเราจะก้าวเข้าสู่ โลกของการเดินทางแบบไร้คนขับที่สมบุรณ์แบบ ระบบ จอดรถอัตโนมัติไร้คนขับ ก็น่าที่จะเข้ามาให้เราได้สัมผัส อย่างจริงจัง ในเวลาไม่เกินสิ้นทศวรรษนี้อย่างแน่นอน ส่วนใครที่ยังกังวลว่า รถที่เราซื้อมาจะวิ่งหายลับไปไม่กลับมาอีกเลย จะขับไปจอดเองก็ไม่ว่ากัน ถือว่า ช้าแต่ชัวร์ ดีที่สุดครับ
อย่างไรก็ดี ถ้ามีการพัฒนา ลานจอดรถอัจฉริยะ ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ใช้พื้นที่น้อยลงด้วย ก็น่าจะดียิ่งกว่า เพราะสิ้นเปลืองค่าก่อสร้างน้อย และใช้ประสิทธิภาพของพื้นที่ได้คุ้มค่ากว่า
เรื่องโดย : ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/18058