โค้งอันตราย
ช่วงปรับตัว
ยอดการจำหน่ายรถยนต์ของ เดือนกุมภาพันธ์ ยังคงลดลงเป็นเดือนที่ 2 โดยลดลง 45.3 % ขายได้เพียง 70,250 คัน เพราะการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การลงทุน และความไม่แน่นอนทางการเมือง อีกทั้งปรับตัวเข้าสู่ความต้องการของตลาดอย่างจริงจัง หลังจากที่ไม่มีโครงการรถคันแรก เข้ามาปั่นป่วนเห็นได้จากยอดขายรถยนต์นั่ง ที่ลดลงไปถึง 55.5 % ขายกันเพียง 26,800 คัน แต่อย่างไรก็ตาม จากดัชนีการขายตามฤดูกาล บ่งชี้ว่า ตลาดในเดือนมีนาคม จะมียอดสูงสุดในไตรมาส เพราะการเริ่มส่งมอบรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวในช่วงต้นปี รวมทั้งงานแสดงรถยนต์ ในช่วงปลายเดือน จะเป็นปัจจัยบวก ที่ทำให้ยอดขายจะดีขึ้น แต่ความวุ่นวายทางการเมืองยังคงอยู่ ยังส่งผลทางด้านจิตวิทยาต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้บ้าง ก็ต้องดูกันไปก่อน หลังจากโครงการรถคันแรก ที่ทำให้ตลาดรถยนต์บ้านเรา ปั่นป่วน คราวนี้ก็มาถึงโครงการใหม่ล่าสุด ที่ตั้งเป้าจะให้เป็นรถยนต์ประหยัดพลังงาน แต่ค่ามาตรฐานมลพิษต่ำ รถขนาดเล็ก เครื่องยนต์เล็กกันอีกรอบ ด้วย อีโคคาร์ จนถึงนาทีนี้ ค่ายรถยนต์ตัดสินใจยื่นขอรับการส่งเสริม อีโคคาร์ รุ่น 2 รวมทั้งหมด 8 ราย ทั้งจากค่ายญี่ปุ่น สหรัฐ ยุโรป และ น้องใหม่ จีน ที่กำลังเป็นปัญหาว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ยังไม่มีบอร์ด ที่จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากฝ่ายการเมือง เพราะยังไม่มีรัฐบาลใหม่ จะตัดสินกันอย่างไร แต่ด้านการทำงาน ค่ายรถยนต์ก็ยื่นขอรับตามสิทธิ์กันไปก่อน เพราะเท่ากับเป็นการจองสิทธิ์ในการทำงาน หากถึงเวลาแล้วไม่สามารถทำได้ ก็ไม่มีบทลงโทษแต่อย่างใด เพราะเป็นการให้สิทธิ์ เพื่อได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีอื่นๆ เท่านั้น ส่วนปัญหาจากผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุนที่มีอยู่ ที่สั่งนำเข้าเครื่องจักรในการผลิตเตรียมนำเข้ามาติดตั้ง และเริ่มการผลิต ยังไม่มีคนเซ็นอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งยังค้างเติ่งอยู่นับหมื่นล้านบาท ก็คงต้องคอยประธานบอร์ด ที่จะมาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลชุดใหม่ไปก่อน งานนี้ร้องเพลงรอกันอีกนานเชียวแหละ ค่ายสหรัฐ ฯ ตั้งเป้าโครงการนี้ไว้สูง เพราะมองว่า จะสามารถจำหน่ายได้ในตลาดเกิดใหม่ ที่มีการเติบโตสูง และมีเป้าหมายระยะยาว ที่จะเสริมสร้างผู้ผลิตชิ้นส่วนระดับภูมิภาค ให้มีเครือข่ายที่แข็งแรงเพิ่มขึ้น แต่จากอีกมุมมองหนึ่ง ก็เห็นว่า น่าจะทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเรา เปลี่ยนแปลงไป เพราะน่าจะเกิดผลกระทบกับรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากราคาของอีโคคาร์ 2 จะเริ่มต้นราวคันละ 400,000 บาท รถยนต์นั่งที่ราคา 800,000 บาท น่าจะกระทบกระเทือนแน่นอน อีกทั้งกลุ่มผู้ซื้อรถยนต์มือสอง ก็จะหันมาใช้รถยนต์ใหม่ๆ ขนาดเล็ก ราคาถูก กันมากขึ้น สภาพตลาดก็จะเปลี่ยนไป แทนที่จะซื้อรถคันเดียว และใช้งานทุกอย่าง คงน้อยลงไป ต้องเรียนรู้ความต้องการที่แท้จริงมากขึ้น ทีนี้ ก็จะได้ยินเสียงโอดครวญจากกลุ่มผู้ค้ารถมือสอง ที่รวมตัวกันเป็นสมาคมอยู่ในขณะนี้ เสียงดังขึ้น และผู้ค้ารายย่อย ก็จะเริ่มน้อยลง เพราะราคาของรถยนต์มือสอง ที่ยังไม่หยุดปรับตัวลดลง พวกสายป่านสั้น ก็จะหดหายไปจากตลาด ก็ต้องบอกว่า ในมุมมองอีกด้านหนึ่ง เรื่องนี้น่าจะเป็นผลดีแก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ที่จะสามารถเลือกหาซื้อรถยนต์มือสองคุณภาพดีได้ง่ายขึ้น มาดูสภาวะของเศรษฐกิจไทยของปี 2556 กันหน่อย จะได้รู้ว่าชีวิตเราดีขึ้นมากน้อยขนาดไหน เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี 2556 ขยายตัว 2.9 % ชะลอตัวค่อนข้างมากจากที่ขยายตัว 6.5 % ในปี 2555 เนื่องจากฐานการใช้จ่ายครัวเรือน และการลงทุนเอกชนในช่วงครึ่งหลังปี 2555 สูงกว่าแนวโน้มปกติ โดยที่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ที่ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งสูงถึง 211,474 คัน ในไตรมาส 4 ปี 2555 ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศรวมชะลอตัวลงมาก ประกอบกับในช่วงปลายปี ความเชื่อมั่นของประชาชนลดลง การใช้จ่ายของครัวเรือนโดยรวมทั้งปีจึงขยายตัวเพียง 0.2 % การลงทุนภาคเอกชนหดตัว 2.8 % และการใช้จ่ายรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐก็ชะลอตัวลง และปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการยังชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงแรกของการฟื้นตัว รวมทั้งสินค้าส่งออกเกษตรประสบปัญหาโรคตายด่วนในกุ้ง และสินค้าอุตสาหกรรมกลุ่มอีเลคทรอนิคส์ ไม่สามารถปรับตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิต หน่วยความจำของฮาร์ดดิสค์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น โดยรวมทั้งปี 2556 มูลค่าการส่งออกสินค้าเท่ากับ 225,397 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ ลดลง 0.2 % การใช้จ่ายและการส่งออกที่ชะลอตัว ส่งผลให้การผลิตในทุกสาขาชะลอลงทั้งปี 2556 ภาคเกษตรกรรมขยายตัว 1.4 % ภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 0.1 % ภาคการก่อสร้างขยายตัว 1.2 % และสาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัว 12.1 % โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้น 26.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.6 % อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพที่มั่นคงโดยที่อัตราการว่างงานทั้งปีเท่ากับ 0.7 อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 2.2 % และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ 0.6 ต่อ GDP ส่วนในปี 2557 นี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 3.04.0 % ดีขึ้นจากการขยายตัว 2.9 % ในปี 2556 โดยมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวจากภาคการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัว 3.6 % เร่งตัวขึ้นจาก 3.1 % ในปี 2556 การท่องเที่ยวที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.0 % การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐในส่วนที่ได้มีการผูกพันไว้แล้ว รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ โดยเฉพาะโครงการลงทุนที่ขอรับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไว้แล้ว และสามารถเข้าสู่ขั้นตอนการอนุมัติในช่วงครึ่งหลังของปีได้ โดยคาดว่าการปรับปรุงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี นั่นหมายความว่ามีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศเรียบร้อยแล้ว แล้วนี่ยังไม่ได้เริ่มต้นปฏิรูป การเลือกตั้งครั้งใหม่จะมีขึ้นมาได้อย่างไร ฟังแล้วดูวังเวงดีนะครับ ประเทศไทย
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/17764