รอบรู้เรื่องรถ
ไม่มีรถที่ไม่ต้องปรับทิศทางของไฟหน้า
ถ้าผมเป็นชาวต่างชาติ จากประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจากทวีปไหน โซนใดก็ตามที่มีโอกาสมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และผมมีความรู้ความเข้าใจเรื่องรถในระดับเฉลี่ยของผู้ใช้รถในประเทศที่ผมอาศัย ถ้าเครื่องบินที่พาผมเดินทางมา ถึงที่หมายในเวลากลางคืน และผมใช้บริการของรถแทกซีจากสนามบินมายังที่พัก สิ่งที่ผมมีโอกาสเห็น และทำความเข้าใจเมือง ประเทศ และผู้คน คงมีน้อยมากเนื่องจากเป็นยามวิกาล แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผม หรือชาวต่างชาติตัวจริงที่คุณสมบัติตรงกับในตัวอย่างของผม สามารถสังเกตเห็น และตัดสินได้ว่าระเบียบวินัยของคนในประเทศเรา รวมทั้งสำนึกด้านความปลอดภัยในการใช้ยานพาหนะยังหย่อนยานเป็นอย่างมากจากการได้เห็น การไม่เคารพกฎจราจร เกือบทุกคนขับรถด้วยความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ แล้วยังเสี่ยงอันตรายอีกด้วย เขาจะประเมินได้เลยว่า ประเทศที่พลเมืองมีทัศนคติ และพฤติกรรมแบบนี้นั้น หมดหวังที่จะพัฒนาชาติให้เจริญก้าวหน้าได้เฉกเช่นอารยประเทศทั้งหลายครับ และเมื่อเขาสังเกตแสงไฟส่องสว่าง จากโคมไฟหน้ารถที่แล่นสวนมา ก็จะทราบต่อว่าแม้จะมีรถรุ่นล่าสุดในทุกระดับราคา โลดแล่นอยู่บนท้องถนน หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของการใช้รถใช้ถนนในประเทศนี้ หรือแม้แต่ศูนย์บริการของผู้จำหน่ายรถยนต์ ก็ขาดความเข้าใจด้านเทคนิค และการซ่อมบำรุงที่ถูกต้อง เพราะลำแสงจากไฟหน้าของรถเกือบทุกคัน ไม่อยู่ในแนวที่ถูกต้อง เขาอาจจะไม่แปลกใจ หรือในทางตรงกันข้ามก็คือ อาจจะไม่อยากเชื่อ ว่ายานพาหนะที่แล่นอยู่บนถนนของประเทศนี้ ไม่ได้ถูกตรวจสอบ และปรับตั้งไฟส่องสว่างหน้ารถกันเลย ในแบบที่ถูกต้องตามมาตรฐานของผู้ผลิต หรือตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงานที่ควบคุมด้านความปลอดภัยของการจราจร ลำแสงจากโคมไฟหน้าของรถในประเทศเรา เบี่ยงเบนกันไปทุกทิศทาง ทั้งซ้าย ขวา บน และล่าง แม้แต่ของรถคันเดียวกัน ก็มักเบี่ยงเบนไปคนละทิศ ถ้าต่ำเกิน ผู้ขับก็จะเห็นผิวถนนแค่ระยะไม่กี่เมตรหน้ารถ ไม่เพียงพอต่อการขับด้วยความเร็วปกติ ถ้าสูงเกิน อาจเห็นผิวถนนได้ไกลขึ้นหน่อยครับ แต่ไม่ชัดเจนเพียงพอ แล้วยังพุ่งใส่ตาของผู้ที่ขับสวนมาด้วย ถ้าเบนขวา แต่ระดับสูงต่ำไม่ผิดมากก็อาจจะมองเห็นผิวถนนได้ดี ในระยะทางที่ปลอดภัยเพียงพอ แต่แนวแสงที่เชิดขึ้นไปด้านซ้าย (ของรถพวงมาลัยขวา) สำหรับให้ผู้ขับเห็นข้างทางด้านซ้ายได้ดี ก็จะส่องเข้าตาผู้ที่ขับสวนทางมา จนมองอะไรไม่เห็น และอาจแถมาชนเรา หรือไม่ก็ตกข้างทางไปด้านซ้าย และถ้าลำแสงเบนเกินไปทางซ้าย แม้จะไม่มีผลกระทบต่อผู้ที่ขับสวนมา แต่แสงที่ส่องผิวถนนจะไม่สว่างเท่าที่ควร ที่หนักไปกว่านี้ก็คือมัน ไม่ได้เบี่ยงเบนไปจากแนวที่ถูกต้อง ในทิศใดทิศหนึ่ง ที่กล่าวมาแล้วครับ แต่เกือบทั้งหมดจะผิดร่วมกัน 2 ทิศ ของแต่ละโคม เช่น ซ้ายและต่ำ ทั้งเบนขวาแล้วยังพุ่งเชิงสูงเกินด้วย ความเดือดร้อนของผู้ที่ขับสวนมา และแม้แต่ของผู้ที่ขับรถนั้นก็จะเพิ่มขึ้นอีก ที่จริงแล้ว การปรับแนวแสงของโคมไฟหน้านั้น มีอยู่ในรายการซ่อมบำรุง และตรวจสอบความพร้อม ของศูนย์บริการของรถทุกบแรนด์ และทุกรุ่นอยู่แล้วนะครับ แต่ไม่มีใครเล็งเห็นความสำคัญ จึงไม่มีการปรับตั้งกันเลย เครื่องมือที่ใช้ ก็เป็นแบบเคลื่อนที่ได้ น้ำหนักไม่มาก และราคาก็ไม่สูงสมควรที่ศูนย์บริการมาตรฐานทุกแห่งควรจัดหาไว้ นอกจากนี้ผมขอเสนอให้พ่วงรายการนี้ ไว้ในการตรวจสอบรถเพื่อต่ออายุการใช้งานยานพาหนะของตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ทุกแห่งด้วยครับ
เบาะหนังแท้ ดีที่สุดหรือไม่ ?
ของแพงหรูหราสำหรับเฉพาะชนชั้นใดในยุคหนึ่งนั้น สักวันหนึ่งอาจกลับกลายเป็นของธรรมดา ที่ทุกคนมีได้ ใช้ได้ ตัวอย่างเช่น นาฬิกา ปากกา โทรศัพท์ โทรทัศน์ ฯลฯ เหล่านี้ แรกเริ่มที่ผลิตได้ ก็ล้วนเป็นของใช้สำหรับอภิสิทธิ์ชน หรือเศรษฐีเท่านั้น เมื่อ 40-50 ปีก่อน เบาะหนังในรถยนต์ก็เข้าข่ายนี้ อย่าว่าแต่จะได้เป็นเจ้าของเลยครับ ใครได้ลองนั่ง หรือแค่เพียงได้เห็น ก็ต้องถือว่าโชคดีแล้ว มาถึงวันนี้ ใครที่ซื้อรถราคาระดับกลาง ก็สามารถเป็นเจ้าของเบาะ หรือเก้าอี้หุ้มหนังแท้แล้ว ส่วนใครที่ไม่มีแต่อยากได้ แล้วเบาะเก่าก็เสื่อมสภาพพอดี สามารถจ้างร้านให้หุ้มหนังแท้ให้ได้ ในราคาประมาณ 20,000 บาทเท่านั้น ปัญหาที่ผู้ใช้รถจำนวนหนึ่งอยากทราบก็คือ เบาะหนังแท้นั้นดีจริงสมกับคำเล่าลือ และความคาดหวังอย่างเชื่อมั่นของพวกเราหรือไม่ ต้องแยกแยะพิจารณาคุณสมบัติกันทีละข้อครับ- การยึดผู้นั่งไม่ให้ลื่นไถล
เบาะหนัง (ผมขอละคำว่าแท้ไว้นะครับ) ลื่นกว่าวัสดุอื่นส่วนใหญ่ ใครที่อยากเถียงว่านั่งอยู่ทุกวัน ไม่เห็นมันลื่น นั่นเป็นเพราะเราอาศัยรูปทรงของเก้าอี้ ช่วยยึดร่างกายของเราครับ- การระบายความชื้น
ไม่มีทางสู้เบาะผ้าได้เลย เพราะอากาศผ่านเนื้อผ้าได้ง่ายกว่า แต่ถ้าเทียบกับหนังเทียมหรือไวนิล ซึ่งเนื้อทึบ เบาะหนังดีกว่าพอสมควรเลยครับ- การเป็นฉนวนความร้อนที่ดี
เบาะผ้าก็ยังได้เปรียบ ข้อนี้อาจเข้าใจยากหน่อย ถ้าวัสดุที่หุ้มเก้าอี้ของเรา เป็นฉนวนความร้อนที่ดี ตอนอากาศเย็นมันจะไม่ดูดความร้อนจากผิวหนังเรา ทำให้ไม่รู้สึกเย็นวาบเหมือนตอนสัมผัสหนังเทียม ตอนร้อนมันก็ไม่คายความร้อนให้ผิวเรา ในข้อนี้ได้เปรียบหนังเทียมมาก แต่ก็ยังแพ้เบาะผ้าอยู่นิดหน่อยครับ- การดูแลรักษา
หนังแท้ได้เปรียบครับ เช่น เวลาของเหลวหกรด จะไม่ดูดซึมทันทีเหมือนเนื้อผ้า และไม่กักเก็บฝุ่นละอองด้วย ใครที่ใช้เบาะผ้า ต้องหมั่นดูดฝุ่นสม่ำเสมอครับ บางแบบดูดแล้วก็ยังไม่ค่อยยอมออก ต้องใช้วิธีตีให้ฝุ่นฟุ้งออกมาก่อน (อย่าลืมใส่หน้ากากครับ) ส่วนหนังแท้ที่พวกเราส่วนใหญ่เข้าใจว่าใช้อย่างถนอมเท่านั้นก็พอแล้ว ที่จริงไม่พอครับ ต้องมีการบำรุงรักษาด้วย โดยทาน้ำมันถนอมหนังแห้ง ซื้อได้ตามแผนกอุปกรณ์ดูแลรถยนต์ ในห้างสรรพสินค้าเน้นใช้ของต่างประเทศแท้ๆ เท่านั้นนะครับ ของไทยไม่คุ้มครับ ฟอกหนังให้ถูกต้องยังไม่เป็น จะทำน้ำยาถนอมหนังเป็นได้อย่างไร และแม้จะเป็นของดีแล้ว ต้องเน้นว่าสำหรับใช้กับรถยนต์นะครับ เพราะถ้าสำหรับใช้กับเก้าอี้ในบ้านหรืออาคาร อาจส่งกลิ่นแรงและยาวนาน เพราะห้องโดยสารของรถเราเป็นแบบไม่มีอากาศถ่ายเทครับ- ความทนทาน
หรือจะเรียกว่า อายุใช้งานก็ได้ เบาะหนังทนทานกว่าครับ พวกที่กรอบแตกลายงา มักใช้สีย้อมหนังที่ไม่ดีพอครับ หรือไม่ก็ไม่มีการบำรุงรักษาเลย ยกเว้นเบาะผ้าคุณภาพสูงจริงๆ เท่านั้น ที่อาจทนทานใกล้เคียงเบาะหนัง- กลิ่น
เบาะผ้าไม่มีกลิ่น แต่กลับสะสมกลิ่นแปลกปลอมได้ดี จึงต้องใช้ด้วยความระวัง ส่วนเบาะหนังมีกลิ่นของมันเองในตัว คือกลิ่นหนังบวกกลิ่นสารฟอกหนัง และสีย้อมหนัง ใครชอบสูดกลิ่นหนัง ก็เป็นพวกโชคดีแต่ถ้าไม่ชอบ ไม่มีปัญหาครับ แค่ 2 นาที ก็ไม่ได้กลิ่นแล้ว เพราะประสาทรับกลิ่นของเรา จะรับรู้เมื่อเปลี่ยนกลิ่น หรือเปลี่ยนความเข้มเท่านั้น ส่วนพวกที่ทุกข์ทรมานจริงๆ คือ ผู้ที่แพ้ไอจากหนังแท้ หรือไอของสารเคมีที่ใช้ฟอก ล้าง และย้อมหนัง จะมีอาการอักเสบของเยื่อเมือก อย่าทนใช้ครับ ไม่คุ้มกับความทรมาน และการเสียสุขภาพ ควรลองสำรวจตัวเอง ว่าแพ้หนังแท้หรือไม่ อีกข้อหนึ่งที่เป็นข้อเสียของเบาะผ้าโดยเฉพาะที่มีสัดส่วนของใยสังเคราะห์สูง คือ การเกิดไฟฟ้าสถิตที่ตัวของเรา จากการเสียดสีของเครื่องแต่งกายกับเบาะ โดยเฉพาะตอนลุก หรือก้าวลง พอจับบานประตูก็จะมีการถ่ายเทประจุไฟฟ้า ซึ่งเจ็บปวด และตกใจพอสมควรครับ และจะเกิดขึ้นง่ายตอนอากาศแห้ง เช่น หน้าหนาวใช้วิธีจับขอบประตูไว้ตอนก้าวลง และให้เสื้อผ้าเสียดสีกับเบาะน้อยที่สุดครับ โดยส่วนตัวแล้ว ผมขอเลือกเบาะผ้าคุณภาพสูง แต่ถ้าใครชอบหนัง และไม่ถูกข้อเสียของมันรบกวน ก็เลือกใช้เบาะหนังไปเลยครับ แต่ถ้าเป็นเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อนในบ้าน และทำด้วยหนังชั้นดีจากต่างประเทศ รูปทรงถูกหลักสรีรวิทยา ผมขอเลือกหนังครับ เพราะไม่มีปัญหาเรื่อง ลื่น ความชื้นจากเหงื่อ และกลิ่น และสุดท้ายสำหรับผู้ที่รำคาญเสียงรบกวนต่างๆ ได้ง่าย ผิวของหนังบางรุ่น หรือที่ถูกน้ำยาเคลือบบางรุ่นอาจส่งเสียงกวนทุกครั้งที่เราขยับตัว หรือจากความสะเทือนของตัวรถ อย่าลืมตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ใจครับ ผมทราบว่า มีผู้สั่งหนังแท้ถูกฟอกตามมาตรฐานสากลเข้ามาจำหน่ายให้ผู้นิยมเบาะหนัง ได้มีโอกาสเลือกใช้จากประสบการณ์ของผมในระยะเวลายาวนาน ผมเชื่อว่าหนังที่ฟอกในประเทศไทย สำหรับให้คนไทยใช้ไม่ได้ถูกฟอก ล้าง สะเทินและย้อมอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล ใครที่ซื้อสายนาฬิกาผลิตในประเทศไทย แล้วคัน ขึ้นผื่น เป็นแผลพุพอง นั่นล่ะครับ ใช่เลย เพราะสารเคมีที่ตกค้างในหนัง คลุกเคล้ากับเหงื่อของเรา รีบทิ้งไปโดยด่วนเลยครับ นี่คือ ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดเจนของความแตกต่างระหว่างการ "ทำได้" กับการ "ทำเป็น"เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/177548