สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ประพัฒน์ เชยชม
อุตสาหกรรมรถยนต์ปี 2557 ถดถอยอย่างแน่นอน แต่ค่ายรถยนต์ก็ยังยืนหยัดต่อสู้ฟันฝ่าไปด้วยกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในภาวะนี้ "ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ ประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโสการตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ฟอร์มูลา : สถานการณ์ตลาดรถยนต์โดยรวม ในปี 2557 จะเป็นอย่างไร ?
ประพัฒน์ : เป็นที่ทราบกันดีว่า ในปี 2556 อุตสาหกรรมรถยนต์เติบโตอย่างมาก โดยมีผลสืบเนื่องจากโครงการรถคันแรก ที่รัฐบาลประกาศตั้งแต่ เดือนกันยายน 2554 แต่มาเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ มีผลกระทบต่อการผลิต ประมาณ 5-6 เดือน จนกระทั่งค่ายรถยนต์ต่างๆ ปรับตัวผลิตเต็มกำลังได้ประมาณเดือนเมษายน ปี 2555 เกิดความต้องการสะสม บวกกับแรงของรถคันแรกที่คืนเงินภาษี และเงื่อนไขที่ต้องจองให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม ปี 2555 เกิดภาวะการผลิตไม่ทัน สะสมมาจนถึงปี 2556 ซึ่งจะมากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละค่าย แต่ละรุ่น
อย่างไรก็ตามในปี 2556 ครึ่งปีแรกเป็นตัวเลขที่ไม่ได้สะท้อนความต้องการของตลาดที่แท้จริง แต่เป็นการเคลียร์การส่งมอบรถจากโครงการรถคันแรก
ผ่านมาครึ่งปีหรือบางค่าย 7-8 เดือน เริ่มสะท้อนความเป็นจริง แต่ก็มีบางค่ายที่เปิดตัวรถรุ่นใหม่ ปลายปีมีงาน "มหกรรมยานยนต์" ช่วยเร่งยอดขาย บางค่ายเร่งการผลิตสะสม แต่ความต้องการไม่ได้เป็นจริง รถสตอคมาก เร่งกระจายปลายปี ทำให้มีแคมเปญส่งเสริมการขายรุนแรง และมีบางรุ่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าที่รัฐบาลให้ในโครงการรถคันแรก เพื่อลดปริมาณรถยนต์ในสตอคที่มีอยู่
ปี 2557 ทุกคนเห็นว่าภาวะความต้องการแท้จริง แรงส่งจากรถคันแรก แรงส่งจากสถานการณ์ทางการเมือง ในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล ความขัดแย้งในบางพื้นที่ หลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้ความต้องการของปี 2557 เริ่มต้นต่ำกว่าที่จะเป็น เริ่มจากเดือนมกราคม ลงต่ำสุดในรอบหลายปี เห็นได้จากยอดขายรวมเดือนมกราคมมีปริมาณไม่ถึง 7 หมื่นคัน เทียบกับปีที่แล้วมียอดเกือบ 1.1 แสนคัน ตกลงประมาณ 40 % ถ้าเทียบกับภาวะหลังน้ำท่วม
ดังนั้นคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์โดยรวมในปีนี้ น่าจะลดลงอีกพอสมควร จากที่หลายค่ายมองว่าน่าจะอยู่ที่ 1.1-1.2 ล้านคันนั้น นิสสัน มองว่าน่าจะไม่เกินล้านคัน แต่คาดการณ์ยากมาก อาจจะดีหรือแย่กว่านี้ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้ามองในแง่ดีก็น่าจะลดลงสัก 20 % ปี 2553-2554 ตลาดรวมอยู่ที่ 8 แสนคัน ถือว่าดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ปีนี้ถ้าตลาดอยู่ที่ 8-9 แสนคัน ก็ถือว่าตลาดเหมาะสม เป็นการเติบโตของตลาดตามปกติ คาดการณ์ว่าถ้าเติบโตอย่างปกติในระยะ 3-4 ปี ข้างหน้าตลาดรวมจะอยู่ที่ 1 ล้านคัน
สำหรับ นิสสัน วางแผนในระยะยาว ไม่ได้มองแค่ระยะสั้น เป้าหมายของบริษัท ฯ จะเน้นไปที่การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด การพัฒนาปรับปรุงคุณภาพเครือข่าย การให้บริการ การดูแลลูกค้า การสร้างความพึงพอใจสูงสุด การแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดให้ครอบคลุมลูกค้า ตัวอย่างที่ผ่านมา แนะนำ ซิลฟี พัลซาร์ จูค และในปีนี้จะแนะนำรถถยนต์รุ่นใหม่อีกอย่างน้อย 3 รุ่น ไม่นับรวมรุ่นปรับปรุง ไมเนอร์เชนจ์ และการเพิ่มพลังงานทางเลือก การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดจะทำให้ลูกค้าสนใจเข้าโชว์รูมมากขึ้น
ฟอร์มูลา : นิสสัน เข้าสู่เกมรุกตลาดมากน้อยเพียงใด ?
ประพัฒน์ : นิสสัน วางแผนระยะยาว ดังนั้นที่ผ่านมาจึงรุกตลาดอย่างมาก เห็นได้จากการแนะนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด ทั้งในเซกเมนท์ใหม่ รุ่นใหม่ และรุ่นตกแต่งพิเศษ นอกจากนี้การวางแผนการขยายตัวแทนจำหน่ายถือเป็นการเปิดเกมรุก โดยปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่าย 192 สาขา ตามแผนงานในปี 2559 จะเพิ่มเป็น 250 แห่ง ซึ่งนอกจากการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว ในส่วนที่มีอยู่เดิมได้ทำการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมการเพิ่มการบริการที่หลากหลาย ที่ผ่านมาได้ปรับปรุงไปแล้ว 70-80 แห่ง และมีที่จะปรับปรุงเพิ่มอีก 40-50 แห่ง ซึ่งสำหรับในปีนี้ถือเป็นปีที่ นิสสัน รุกตลาดอย่างมากในเรื่องสินค้าและบริการ
ฟอร์มูลา : ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายเท่าไร ?
ประพัฒน์ : ช่วงต้นปีคาดการณ์ว่าจะมียอดจำหน่าย 1 แสนคัน แต่จากสถานการณ์ล่าสุด คาดว่าจะต่ำกว่าที่ตั้งไว้ ซึ่งหากเทียบกับปีที่ผ่านมา นิสสัน มียอดขาย 130,000 คัน ในปีงบประมาณ 2555 คาดการณ์ว่าปีงบประมาณ 2556 น่าจะมียอดขายประมาณ 90,000 คัน แต่สำหรับในปี 2557 ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่คาดการณ์ว่าน่าจะเกิน 100,000 คัน ทั้งนี้เนื่องจากมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด และขึ้นอยู่กับสภาพตลาดโดยรวมด้วย ต้องดูสถานการณ์เป็นระยะ
ฟอร์มูลา : การลงทุนเพิ่มจะมีมากน้อยเพียงใด ?
ประพัฒน์ : ในปีนี้การลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นของผู้แทนจำหน่ายใหม่ แต่จะมีบางส่วนที่บริษัท ฯ ได้เข้าไปสนับสนุนในเรื่องป้ายสัญลักษณ์ต่างๆ แห่งหนึ่งประมาณ 1-2 ล้านบาท ถือว่าน้อยมากกับตัวแทนจำหน่ายที่ลงทุน 60-70 ล้านบาทต่อสาขา
สำหรับการลงทุนเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ในแต่ละรุ่นนั้น ใช้งบประมาณลงทุนสูงมาก ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่สำหรับการลงทุนขยายกำลังการผลิตได้ลงทุนไปแล้วสำหรับโรงงานแห่งใหม่ ประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งตามแผนงานจะเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2557
ฟอร์มูลา : ปัจจุบัน นิสสัน มีกำลังการผลิตเท่าไร ?
ประพัฒน์ : กำลังการผลิตเดิม 220,000 คัน โรงงานใหม่เต็มที่ 150,000 คัน ช่วงแรกผลิต 75,000 คัน จะขยายเต็มกำลังการผลิตในปี 2559 ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตรวมถึง 370,000 คัน หรือตามแผนงานที่วางไว้
ฟอร์มูลา : นิสสัน จะต้องเร่งพัฒนาและแก้ไขเรื่องใด เพื่อให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน ?
ประพัฒน์ : สิ่งที่บริษัท ฯ ต้องเร่งพัฒนาเพื่อรองรับการแข่งขันนั้นมีหลายจุด อันดับแรกคือ การพัฒนาโชว์รูมและศูนย์บริการ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อรับกับสภาพการแข่งขัน และตลาดที่ขยายเพิ่มขึ้นในส่วนของภูมิภาคต่างๆ
อันดับ 2 ผลิตภัณฑ์ ที่ต้องเพิ่มความหลากหลาย ตามแผนงานจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด ซึ่งบริษัท ฯ จะต้องนำเสนอข้อดีของผลิตภัณฑ์ เพิ่มแนวทางการสื่อสาร ปรับกลยุทธ์แนวทางการสื่อสาร ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าลูกค้าให้ความสนใจเรื่องของพโรโมชัน ส่งเสริมการขาย แต่มองข้ามเรื่องจุดเด่น จุดขายของผลิตภัณฑ์ แต่ นิสสัน ไม่เน้นเรื่องสงครามราคา จึงจำเป็นต้องสื่อสารเรื่องของผลิตภัณฑ์ ให้ลูกค้ามองที่ปัจจัยว่าลูกค้าใช้รถ1 คัน ต้องใช้นานถึง 4-5 ปี ไม่ได้ซื้อแค่เงื่อนไขปัจจุบัน เพราะหากซื้อไปแล้วอาจจะไม่พอใจ มีจุดที่ไม่เหมาะสม ไม่ต้องการ ไม่ตอบสนองการใช้งานอย่างคุ้มค่า สิ่งเหล่านี้ นิสสัน จำเป็นต้องสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายทั่วประเทศ ก็ต้องทำหน้าที่สื่อสารให้ลูกค้าได้เห็นถึงอรรถประโยชน์ จุดเด่น จุดดี ของสินค้า
อันดับ 3 การดูแลลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด ในการขาย การบริการ เพราะถึงแม้ว่าจากการสำรวจการขายและการบริการ จะทำได้เทียบเท่ากับมาตรฐานอุตสาหกรรม แต่เป้าหมายของบริษัท ฯ ต้องการให้ได้เหนือกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ต้องการปรับปรุง และพัฒนาในด้านการบริการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ต้องมีการพัฒาและปรับปรุงระบบการทำงานภายในประสานงานกับฝ่ายขาย การตลาด บริการหลังการขาย ผลิตควบคุมคุณภาพ ที่ยังไม่สมบูรณ์ต้องมีการปรับปรุง เพราะในการแนะนำสินค้าใหม่นั้นก่อนที่จะแนะนำออกสู่ตลาดจะต้องสร้างการรับรู้ภายในก่อน เพื่อให้สินค้าที่จะส่งถึงมือลูกค้าได้ตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน และได้รับการดูแลอย่างดี
ฟอร์มูลา : ภาพรวมของตลาดรถยนต์ในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับในอดีตเป็นอย่างไร ?
ประพัฒน์ : มีการเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับในอดีต เริ่มตั้งแต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่ปัจจุบันให้ความสำคัญกับรถเล็กประหยัดพลังงานมากขึ้น หากเทียบกับในอดีตจะเน้นเรื่องของเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ คันใหญ่ เครื่องยนต์ขนาด 1,300 ซีซี ยังมองว่าเล็ก ซึ่งขนาด 1,500 ซีซี ก็ยังมองว่าเล็กเกิน รถที่นิยมจะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1,600-2,500 ซีซี ปัจจุบันราคาน้ำมันที่สูงขึ้น หรือแม้แต่ แกสโซฮอล ก็ยังมีราคาที่สูง ทำให้รถเล็กประหยัดพลังงานได้รับความนิยม เพราะถึงแม้จะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1,200 ซีซี ก็ยังมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับรถขนาดเครื่องยนต์ 1,500 ซีซ๊ ในอดีต ซึ่งต้องยอมรับในเทคโนโลยีที่ได้มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้กลุ่มรถยนต์ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี ยังมีส่วนแบ่งการตลาดในรถยนต์นั่งถึง 60-70 % ซึ่งในอดีตผู้บริโภคจะนิยมรถยนต์ขนาดกลาง และใหญ่ ที่ต้องโชว์แสดงศักยภาพ แสดงตัวตน รถเครื่องยนต์ขนาด 1,500 ซีซี เป็นรถของคนที่มีรายได้น้อย แต่ปัจจุบันผู้บริโภคไม่คิด เพราะรถเล็ก ประหยัดพลังงาน อีโคคาร์ มีอุปกรณ์ ระบบความปลอดภัย มีเทคโนโลยีต่างๆ ที่ในอดีตจะมีแต่ในรถราคาแพงเท่านั้น
ด้านผู้ผลิต มีการปรับปรุง พัฒนาเทคโนโลยี เพราะเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลง รัฐบาลเปลี่ยน เห็นได้ชัดเจนจากนโยบายอีโคคาร์ นโยบายรถคันแรก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษี จุดนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งถ้าค่ายไหนไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ปรับตัว ก็จะเสียเปรียบอย่างแน่นอน อีกทั้งผู้บริโภคฉลาดซื้อ มองที่ความคุ้มค่า การประหยัดพลังงาน ผู้ผลิตจึงต้องสรรหาเทคโนโลยีตอบสนองความต้องการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งเงื่อนไขรัฐบาลที่เปลี่ยนไป เช่น รถไฮบริด ซึ่งในอดีตมีราคาแพงมาก แต่เมื่อเงี่อนไขเปลี่ยน การสนับสนุนของรัฐบาลทำให้ราคาถูกลง การรส่งเสริมพลังงานทางเลือก เช่น ซีเอนจี การส่งเสริมซีเอนจี ซึ่งแต่เดิมผู้บริโภคต้องไปติดตั้งเอง และเสี่ยงต่ออันตราย แต่ปัจจุบันส่งเสริมให้มีการติดตั้งจากโรงงานผู้ผลิต ทำให้เกิดความปลอดภัย และราคาประหยัด ที่สำคัญพัฒนาเทคโนโลยีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ประเทศอื่นๆ ทำกันหมดแล้ว แต่สำหรับประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงจะเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขของรัฐบาล เช่น การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดจากเทคโนโลยีที่นำเข้ามา
เงื่อนไขสงครามราคา หากมองเมื่อ 10 ปีที่แล้ว การแถมประกันภัยชั้นหนึ่ง ไม่ใช่มาตรฐาน รถบางรุ่น ถ้ามีพโรโมชัน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง จะมีจำนวนจำกัด เป็นสิ่งมีค่า ผู้บริโภคก็จะรีบจอง แต่ปัจจุบันต้องมีฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง รวมถึง ลด แลก แจก แถม ดาวน์ต่ำ ดอกเบี้ย 0 % การส่งเสริมการขายมากกว่าเดิมมาก เงื่อนไขเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
อีกส่วนหนึ่งจากโครงการรถคันแรก ที่รัฐบาลให้เงินคืนสูงสุดถึง 1 แสนบาท หลังจากหมดโครงการ ทำให้เกิดการชะลอการซื้อ ลูกค้าก็จะต้องมองว่าส่วนลดที่เพิ่มขึ้น การให้ส่วนลดแค่ 1-2 หมื่นบาท จึงธรรมดามาก ทำให้เกิดการต่อรอง ยังไม่จำเป็นก็จะยังไม่ซื้อ ต้องการส่วนลดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากลดไม่ได้แสนบาทก็จะต้องลดให้ถึง 6-7 หมื่นบาท โดยคาดการณ์ว่าสงครามราคาจะมีต่อเนื่องไประยะหนึ่ง
นอกจากนี้ก็จะเป็นในส่วนของรถยนต์ที่มีหลากหลายบแรนด์มากขึ้น ทำให้เกิดสภาวะการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งนอกจากมีบแรนด์ใหม่เกิดขึ้นแล้ว รถใน 1 บแรนด์ ยังมีรุ่นที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 3-4 รุ่นเท่านั้น ปัจจุบันมีเพิ่มเป็น 10 รุ่น แต่สิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้คนไทยมีรถหลากหลายรุ่นให้เลือกมากขึ้น
ฟอร์มูลา : สงครามราคาเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต ?
ประพัฒน์ : บริษัทผู้ผลิตต้องพัฒนาเทคโนโลยี สรรหาสิ่งดี ความคุ้มค่า ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งหากทำไม่ได้ก็จะอยู่ในตลาดยากกว่าเดิม ซึ่งเงื่อนไขการเป็นเจ้าของก็จะเป็นส่วนประกอบ แต่ในอนาคตที่แน่นอนคือ ลูกค้าจะได้สัมผัสเทคโนโลยี และรถยนต์รุ่นใหม่ ที่จะตามมาด้วยเทคโนโลยี ไฮบริด พลังงานไฟฟ้า ซึ่งประเทศอื่นมีกันแล้ว แต่ประเทศไทยต้องรอระยะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องของสงครามราคาเป็นเรื่องที่ตอบยากมาก คงต้องดูเศรษฐกิจ การเมืองเป็นส่วนประกอบ แต่ที่แน่คงจะไม่แรงมากเหมือนตอนนี้ เพราะปัจจุบันถือว่าค่ายรถได้ใส่กระสุนกันเต็มที่ ซึ่งเป็นโอกาสทองของลูกค้าที่จะซื้อรถในช่วงนี้อย่างมาก เพราะถ้ามากกว่านี้ก็จะตึง ถ้าต้องขายขาดทุนก็อย่าขายดีกว่า
ฟอร์มูลา : กลยุทธ์ที่จะใช้ในการแข่งขัน ?
ประพัฒน์ : นิสสัน แนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์เซกเมนท์ใหม่ เช่น จูค ซิลฟี พัลซาร์ พวกนี้จะเน้นการสร้างการรับรู้ เพราะเป็นชื่อใหม่ แต่รถรุ่นเก่า เช่น เทอานา จะเน้นการสร้างสีสัน ของแต่ละรุ่น
ส่วนรถพิคอัพนั้น ตลาดไม่ได้ตกลงมากเท่าไร และนาวารา ก็ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากภาพตลาดรวมไม่ได้ตกลงเลย แต่จะนิ่งเท่านั้น ซึ่งหากเป็นช่วงที่ตลาดบูมก็ไม่ได้เพิ่มมากนัก ไม่เหมือนกับรถเก๋ง ที่เมื่อเติบโตแล้วก็จะเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด โดยหากเปรียบเทียบก็ยังคงมีสัดส่วน 40 % ของตลาดรวม หรือมียอดขายประมาณ 3-4 แสนคัน ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม รถพิคอัพมีความจำเป็นเรื่องการขนส่ง และยังใช้เป็นกึ่งรถยนต์นั่ง เป็นรถส่วนตัว ทำให้ตลาดยังมีอยู่ต่อเนื่อง แต่สำหรับบางประเทศจะใช้รถบรรทุกขนาดเล็ก มีราคาสูง ไม่คล่องตัว ทำให้ตลาดรถพิคอัพไม่เติบโต
ฟอร์มูลา : เป้าหมายของ นิสสัน อยู่ที่ไหน ?
ประพัฒน์ : ปัจจุบัน นิสสัน เปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งสินค้า ตัวแทนจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเรื่องของคุณภาพ กระบวนการสื่อสาร การโฆษณา กิจกรรมกับลูกค้า สื่อมวลชน ที่มุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจ การใช้เทคโนโลยีสื่อดิจิทอล โซเชียลเนทเวิร์ค ทำให้ภาพลักษณ์เปลี่ยนไป
นอกจากนี้การแนะนำรถยนต์เซกเมนท์ใหม่ออกสู่ตลาด ยังตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี เช่น จูค ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น คนทำงาน หนุ่มสาว ไปจนถึงวัยรุ่น รวมถึงการพัฒนาด้านยอดขาย หากเทียบกับ 4 ปีก่อน มียอดขายปีละ 2-3 หมื่นคัน ปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ย 1 แสนคัน ถือว่าเติบโตอย่างมาก
ดังนั้นเป้าหมายของ นิสสัน คือ เพิ่มเครือข่ายผู้จำหน่าย การดูแลลูกค้า การแนะนำสินค้า ให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ แต่เป้าหมายสำคัญคือ การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ตามเป้าหมายคือ ในอีก 3 ปีข้างหน้า 15 % จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 10 %
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/17511