รอบรู้เรื่องรถ
จงหวงแหนถนนของพวกเรา
สมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่น คือ เป็นนักเรียนมัธยม ผมมีความข้องใจหรืออึดอัดใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินคำพูดบางคำ และบางประโยคที่ "ผู้ใหญ่" มักพูดกรอกหูผม และผมไม่เคยเห็นด้วย แต่ก็ไม่สามารถคัดค้านหรือถกเถียงด้วยได้เลย นั่นคือ คำว่า "ของหลวง" หรือประโยคเช่นนี้ "ไม่เป็นไรหรอก ของหลวง"เพราะความหมายที่แฝงอยู่และเป็นที่เข้าใจกันดีในสังคมยุคนั้น ก็คือ เงินหรือสิ่งใดก็ตาม ที่ซื้อหรือสร้างขึ้นมา ด้วยเงินของรัฐบาล จากภาษีอากรที่เก็บจากประชาชน เป็นอะไรที่สามารถหรือควรใช้อย่างล้างผลาญได้ ไม่ต้องเสียดายเสมือนว่ามันมีไม่จำกัดจำนวน งอกขึ้นมาจากดินเอง หรือหล่นมาจากฟากฟ้าแบบไม่ขาดสาย ถ้าจะผลาญเชื้อเพลิงแบบไม่ได้มีความจำเป็นจริง ก็จะได้ยินว่า "ไม่เป็นไร น้ำมันหลวง" หรือใช้เครื่องมืออุปกรณ์อะไรอย่างโง่เง่า และมันพังคามือ ก็จะได้ยินว่า "ไม่เป็นไร เงินหลวง เบิกใหม่ได้" ซึ่งผมเห็นว่ามันผิด แต่ในวัยนั้นไม่มีทางที่จะมีโอกาสชี้แจงหรือโต้แย้งกับใครได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รอจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกที่ควรครับ และมันก็กินเวลานานมาก เป็นสิบๆ ปี มาถึงวันนี้ ความคิดเช่นนี้หมดไปแล้วในสังคมไทย แต่การปฏิบัตินั้นไม่ได้หมดตาม ถ้ามีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง การพัฒนาที่อยู่อาศัยใน "แนวดิ่ง" หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การสร้างคอนโดมิเนียม บริเวณสองข้างทางที่รถไฟฟ้าแล่นผ่าน กำลังเฟื่องฟูเติบโตในระดับ "บ้าคลั่ง" เพราะมันเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในแบบใครอยากสร้างก็สร้างเลย ไม่ต้องคำนึงถึงอุปสงค์ที่แท้จริงเพียงแค่สั่งนายหน้าค้าที่ดิน หาที่ดินริมถนนหรือในซอยที่ไม่ไกลจากแนวรถไฟฟ้า แล้วหาธนาคารที่สนันสนุนด้านการเงิน แน่นอนอยู่แล้วว่าการขายที่อยู่อาศัยประเภทนี้ มีกำไรสูงมาก ขายได้เกือบครึ่งของโครงการในช่วงที่เริ่มขายก็หมดความเสี่ยงแล้ว เหลือปัญหาเพียงแค่จะ "รวยมากหรือรวยน้อย" เท่านั้น แต่ถ้าแข่งกันสร้างแบบไม่ลืมหูลืมตา จนมีจำนวนมากกว่าความต้องการไปมากมายหลายเท่าแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ? พวกที่อยู่ในข่ายเป็นที่ต้องการสูงนั้น ย่อมประสบความสำเร็จแน่นอนอยู่แล้ว แต่พวกที่ยังไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้านัก ก็จะเป็นผู้ที่สร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ผมเห็นตัวอย่างจากบรรดาคอนโดมิเนียม ในแนวรถไฟฟ้าย่านถนนสุขุมวิทและกำลังถูกสร้างเพิ่มความยาวต่อไปอีก มองดูคอนโดมิเนียมที่ผุดขึ้นเหมือนเห็ดหลังฝนเหล่านี้แล้ว และประเมินจากจำนวนหน่วย เท่าที่เห็นกำลังเริ่มสร้าง และพวกที่สร้างเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็ยังจินตนาการไม่ได้ ว่าจะหาลูกค้ามากมายนี้มาจากที่ไหน และในบรรดาลูกค้าที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริงเหล่านี้ก็ยังมีส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมาก ไม่สามารถขอกู้เงินจากธนาคารได้ แม้จะมีความพร้อม เนื่องจากเคยมีปัญหาการผ่อนชำระและถูกบันทึกเป็น "ประวัติเสีย" ไว้ ซึ่งสำหรับกลุ่มความประพฤติดี แต่โชคร้าย เช่น บริษัทที่เป็นนายจ้าง ประสบปัญหาจนต้องเลิกกิจการและเลิกจ้าง คนพวกนี้จะมีประวัติเสีย ทั้งๆ ที่มีวินัยด้านการเงินมาตลอด และถูกยึดอสังหาฯ ที่ผ่อนชำระอยู่ขณะนั้นไปด้วย และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น มีความพร้อมที่จะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะธนาคารจะแจ้งว่า "ตรวจสอบแล้ว มีประวัติเสียด้านการเงิน ไม่สามารถให้กู้ได้" แล้วจะให้กลุ่มผู้โชคร้ายนี้ทำอย่างไร ? ใครจะมาช่วยคนเหล่านี้ ? กลับมาเข้าเรื่องรถและถนนกันต่อครับ ที่กล่าวมาแล้ว เป็นความเสียหายที่ประเมินยากและมองด้วยตาไม่เห็น แต่ความเสียหายด้านอื่นที่เป็นรูปธรรมมองเห็นได้เลย จากการสร้างคอนโดมิเนียมกันแบบบ้าคลั่ง และพวกเราผู้ใช้รถต้องรับผลกระทบจากมันโดยตรง ก็คือ การกระหน่ำทำลายถนน และตรอก ซอย โดยบรรดารถบรรทุกดินคอนกรีท เหล็กเส้น ฯลฯ ที่แน่นอนอยู่แล้วว่าบรรทุกเกินพิกัดที่ทางการอนุญาต และเมื่อมาแล่นบนถนน ที่ผ่านการโกงมาตอนสร้าง จนความแข็งแรงต่ำกว่ามาตรฐาน ความเสียหายจึงเกิดขึ้นมากมายเป็นทวีคูณ นั่นคือ ถนนหลักหรือซอย ที่มีการก่อสร้างคอนโดมิเนียมล้วนพังพินาศหมด ใครที่มีบ้านอยู่บริเวณที่ผมกล่าวถึงนี้ ย่อมเข้าใจดี เพราะทุกครั้งที่รถบรรทุกดิน เหล็ก หรือ คอนกรีทเหล่านี้แล่นผ่าน น้ำหนักของมันจะขย่มทั้งผิวถนนและดินใต้ถนน ส่งความสะเทือนมาถึงบ้านของเรา ในระดับเดียวกับแผ่นดินไหว ถ้าเรื่องแบบนี้เป็นละครหรือภาพยนตร์ ก็จะจบแบบผู้ร้ายได้เงินทอง หรือทรัพย์สินที่ปล้นไปใช้สบายตลอดชีวิต ส่วนเจ้าของทรัพย์สินได้แต่นั่งร้องไห้ ในความเป็นจริง ก็คือ ผู้สร้างคอนโดมิเนียมร่ำรวยจากผลกำไรและเผ่นไปแล้ว (บางคนอาจจะตะแบงว่า ผู้ที่สร้างความเสียหาย คือ ผู้รับเหมาก่อสร้าง แต่ผู้ว่าจ้างต้องรับผิดชอบครับ) แต่ผู้ที่มีบ้านอยู่ริมถนนนั้นๆ หรือแม้แต่ผู้ที่ใช้ถนนเหล่านี้เป็นทางผ่าน จะต้องเดือดร้อนจากผิวถนนที่แตกยับพังพินาศ กลายเป็นหลุ่มบ่อ รัฐก็สูญเสีย เพราะถนนเหล่านี้ถูกสร้างด้วยเงินที่เก็บจากภาษีของพวกเราไปตอนสร้างถนนเหล่านี้ เงินส่วนหนึ่งของรัฐ (ที่มาจากภาษีของพวกเรา) ก็ "ไหล" เข้ากระเป๋าข้าราชการที่เกี่ยวข้องหลายคนไปรอบหนึ่งแล้ว ยังกลับมาต้องถูกทำลายโดยนายทุนผู้สร้างคอนโดมิเนียมขาย ทั้งๆ ที่ยังเหลืออายุใช้งานอีกหลายสิบปี อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไม่มีใครสามารถออกกฎหมายให้สมบูรณ์แบบ เพื่อให้ป้องกันความเลวร้ายหรือความเสียหายได้ครบถ้วน แต่ถึงอย่างไรก็ควรมีการออกกฎหมายใหม่ เพื่อปกป้องผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุนี้ แต่ระหว่างที่ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมาย ผมเชื่อว่า ด้วยอำนาจรัฐที่มีอยู่รวมกับสำนึกด้านดีของข้าราชการที่รับผิดชอบ ย่อมมีช่องทางเสมอ ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ และปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์มิให้เดือดร้อน เช่น มอบความรับผิดชอบต่อความเสียหายของผิวถนนจากรถบรรทุกของโครงการก่อสร้าง แก่ผู้ขออนุญาตสร้าง เช่นบังคับให้ทำสัญญารับผิดชอบ โดยการซ่อมแซมผิวถนนและความเสียหายอื่นใด ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกต่อต้านหรือร้องเรียนโดยนายทุนเหล่านี้ครับ ไม่มีนักลงทุนอสังหาฯ รายไหน อยากมีปัญหากับข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ โดยเฉพาะที่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครขัดข้องแน่นอน ขนาดถูกเรียกร้องผลประโยชน์ ก็ยังยอมกันทั้งนั้น นักธุรกิจที่แท้จริง ต้องการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แบบราบรื่น ปราศจากความขัดแย้งเสมอ ขอเพียงให้ผู้รับผิดชอบ กระทำด้วยความซื่อตรงเท่านั้นเอง
"แทกซีดั้งเดิม" กำลังเดือดร้อน ก็เพราะมันทำตัวเอง
ไม่มี "ผล" ใด ที่มิได้มาจาก "เหตุ" ครับ มีเหตุย่อมมีผล และถ้ามีผลก็ย่อมต้องมีเหตุเสมอ "ผล" ในเรื่องนี้ ก็คือ รายได้ของผู้ขับรถแทกซีแบบ "ดั้งเดิม" ลดลงอย่างมาก จนเริ่มเดือดร้อน ส่วน "เหตุ" ก็มาจากการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้โดยสารมาก่อนครับ เพราะสมัยก่อน ยางหัวยังไม่ออก ขอโทษครับ เขียนผิดไปหน่อย สมัยก่อนผู้โดยสารยังไม่มีทางเลือกอื่น แทกซี (ผมขอใช้คำนี้แทนผู้ขับรถแทกซีดั้งเดิมนะครับ) เหล่านี้จะคอยเอาเปรียบผู้โดยสารทุกทางที่ทำได้ ที่หนักที่สุด คือ เลือกผู้โดยสาร ซึ่งก็คือ การปฏิเสธผู้โดยสาร ที่ต้องการไปยังที่ที่มันคิดว่าได้เงินน้อยกว่าที่มันต้องการ พูดง่ายๆก็คือ ต้องการไปในทางที่มันไม่ชอบ รองลงมาคงเป็นการอ้างว่าไม่คุ้ม ขอตั้งราคาโดยสารโดยไม่ใช้มิเตอร์ ผู้โดยสารทุกคนต้องทนถูกเอารัดเอาเปรียบมาตลอด มาถึงสมัยนี้โลกเปลี่ยนแปลงไป หรือใครอยากจะเชื่อว่า ฟ้าดินลงโทษคนพวกนี้ ผมไม่ขัดข้องครับ ผู้โดยสารมีทางเลือกใหม่ที่ผมไม่ขออธิบาย เพราะเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างแล้ว ใครที่อยากทราบรายละเอียดปลีกย่อย หรือลึกลงไปอีก คือ ความเห็นของลูกค้าที่เคยใช้บริการของ แทกซี “แบบใหม่” หาอ่านทางสื่อสังคมได้เลยครับ ผมพอรู้จักสังคมในต่างประเทศอยู่พอสมควร ผมยังไม่พบว่ามีประเทศไหน ที่คนขับแทกซีเกินครึ่ง หรือให้ตรงกว่านั้นก็ต้องเรียกว่า เกือบทุกคน หรืออาจจะทุกคนก็ได้ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่เคยพบ หรือทราบว่ามีที่ไหนเลยนะครับ ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรา ที่จะต้องมาขบคิด และหาวิธีนำเสนอต่อผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ว่าควรหรือต้องทำอย่างไร แต่พวกเรามีสิทธิ์ตั้งคำถามต่อผู้รับผิดชอบว่าพวกคุณไม่สงสัยหรือว่าประเทศอื่นเขาทำอย่างไร เหตุใดจึงมีแต่ประเทศเราที่มีแทกซี “เฮงซวย” เช่นนี้ เมื่อวานนี้เอง ขณะรถติดอยู่บนถนนสุขุมวิทย่านพระโขนง คันหน้าเป็นรถแทกซีว่างอยู่ ผมเห็นนักท่องเที่ยวสูงอายุ 2 คน บุคลิกดี เดินมาถึง เปิดประตูหลังของรถแทกซี และก้าวขึ้นไปนั่ง ปิดประตูเรียบร้อย จิตใต้สำนึกของผม ในฐานะคนไทยคนหนึ่งกังวลอย่างมากขึ้นมาทันที นึกในใจว่า ขออย่าให้คนขับปฏิเสธผู้โดยสารต่างชาติ 2 คนนี้เลย เพราะจะต้องรู้สึกทั้งสงสาร และอับอายเขาด้วยในใจ ในฐานะที่เราเป็นคนไทย และก็เป็นอย่างที่ผมกลัวครับ มันไล่ผู้โดยสารทั้งสองลงมา อย่าให้ผมต้องบรรยายสีหน้าของเขาเลยครับ ใครที่เคยได้ฟังมา และยังไม่อยากเชื่อ ผมขอให้ลองไปขึ้นแทกซีย่านสยามสแควร์ ไม่ต้องดึกครับ ประมาณ 23.00-24.00 น. ที่คนหลายสาขาอาชีพต้องเดินทางกลับบ้าน อย่าเข้าใจว่าเป็นเวลาของนักเที่ยว นัก “ท่องราตรี” นะครับ พวกนั้นกลับหลังจากนี้ครับ เชื่อไหมครับไม่มีใครยอมใช้มิเตอร์จากตรงนั้นมาสะพานพระโขนง ถนนสุขุมวิท มันตั้งราคา 400 ถึง 500 บาท ใครที่พบคันที่ยอมไป หรือจากลองถามไม่ถึง 10 คัน ผมถือว่าเป็นผู้มีโชคดี ระดับถ้าซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลน่าจะถูก ผมสอบถามผู้ที่มีประสบการณ์หลายคน บางคนถามเกิน 25 คัน ก็ยังไม่ยอมไปโดยใช้มิเตอร์ในราคาปกติครับ คนขับแทกซีพวกนี้ จะมีประโยคติดปาก เมื่อไม่พอใจอะไรบางอย่างว่า “รังแกคนจน” ถ้าพิจารณาให้ดี พวกมันนี่แหละครับ ที่รังแกคนจนด้วยกัน เพราะผู้โดยสารจำนวนไม่น้อย ที่จำเป็นต้องใช้บริการของมันช่วง 22.00-24.00 น. ก็คือ ผู้มีรายได้น้อย และมีความจำเป็นบางอย่าง ที่กลับบ้านเร็วกว่านี้ไม่ได้ ผมขอฝากคำถามไปยังคณะผู้บริหารประเทศ และผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงทั้งหลาย ว่ามีด้วยหรือ ? ประเทศที่ประกาศตัวจะเป็นแกนนำของกลุ่มเออีซี ที่ยังจัดการปัญหาคนขับแทกซีปฏิเสธผู้โดยสารกันเกลื่อนเมืองให้สำเร็จไม่ได้เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/167923