รู้ไว้ใช่ว่า
เมาแล้วขับข้ามแดน
คนอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบชิลล์ๆ ใจคอไม่ดีไปตามๆ กัน เมื่อพวกเราชาวไทย 3 คน ไปก่อวีรกรรมทะลึ่ง "เมาแล้วขับ" ที่ประเทศญี่ปุ่น เข้าข่ายรักษา "มาตรฐานต่ำ" ของคนไทย เรื่องเมาแล้วขับ แม้กระทั่งอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ซ้ำร้ายยังทำให้คนของเขาสังเวยชีวิตไปหนึ่ง บาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง พี่น้องชาวอาทิตย์อุทัยสุดแสนจะเซ็ง พากันสวดยับ ลงมติว่า เราเป็นพวกขับรถอันตรายสุดๆ ไปแล้ว ถึงขั้นเรียกร้องให้คนไทยไปญี่ปุ่นต้องขอวีซาเหมือนเดิม เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2557
ถ้าจะว่าไปแล้วชาวอาทิตย์อุทัย เป็นผู้นิยมสุราเมรัยไม่น้อย และรู้ว่า เมาแล้วขับมันอันตราย จึงขยับโทษให้แรงขึ้นเป็นลำดับ เป็นการป้องปราม ก็ได้ผลซะด้วย เช่น เมาแล้วขับจนก่อเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต จำคุกถึง 20 ปี ถ้าไม่เมาแต่ประมาทเหลือไม่เกิน 7 ปี พ่วงด้วยการปรับหนัก ตัดแต้ม ยึดใบขับขี่ เพิกถอนใบขับขี่
มีการล้อมคอกอีกหลายชั้น ด้วยการเอาผิด ผู้จำหน่ายสุรา ผู้สนับสนุนให้ดื่ม ผู้ร่วมโดยสาร ถ้าคนขับเมา จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนเยน ถ้าไม่เมาแต่อยู่ในข่ายมีแอลกอฮอลในร่างกาย พรรคพวกที่ว่า โดนจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนเยน
ไม่ใช่แค่นั้น ผู้ให้ยืมรถ แล้วคนยืมมีความผิดฐานเมาแล้วขับ หรือทำให้ผู้อื่นถึงตายหรือบาดเจ็บ เจ้าของรถยนต์ โดนลงโทษสถานเดียวกับคนขับ หนาวไหมละครับ ถ้าจะให้ใครยืมรถเราขับที่ญี่ปุ่น มีโอกาสติดคุกยาวถึง 20 ปี เชื่อว่าสไตล์การใช้รถในบ้านเรา คสช. ก็หนักใจ ถ้าคิดจะเข้ามาแก้ไข มันเป็นดีเอนเอฝังลึกมานานแล้ว ยกเว้นใจถึง เพิ่มโทษให้หนักหนาอย่างญี่ปุ่น แต่ผลอีกอย่างมักตามมาแบบไทยๆ คือ เพิ่มโทษข้อหาไหน ศาลเตี้ยงี้ยิ้มกริ่ม ชาวบ้านยอมจ่ายง่ายๆ จ่ายเยอะ ไม่อยากหัวโต เพราะติดตะราง สืบเนื่องเพราะการบังคับใช้กฎหมาย ผู้ถือกฎหมาย มีปัญหามายาวนานนั่นเอง
ตานี้มาดูบทลงโทษในบ้านเราสักเรื่องหนึ่ง พอหอมปากหอมคอ วันเกิดเหตุ "นายจุก" กับ "นายแอ่ก" นั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน แล้วซวย เจอคู่ปรับเก่า รวม 5 คน ขี่มอเตอร์ไซค์ 2 คัน ไล่กวด เพื่อเล่นงาน นายจุก จึงบิดคันเร่งพารถหนีไปตามถนน นายแอ่ก ซ้อนท้ายกอดเอวไว้แน่น เพราะรถทะยานด้วยความเร็วเป็นร้อย
แต่รถจักรยานยนต์คันที่ "นายตะ" ขับขี่ และ "นายราง" ซ้อนท้ายก็เร่งสปีด ไล่กวดจนทัน เข้ามาตีคู่ ทันใดนั้น ตีนของ นายตะ กับนายราง (ช่างจับคู่เป็นเพื่อนได้เหมาะเจาะจริงๆ) ก็ยันไปที่ท้ายรถคันของ นายจุก ส่งผลให้รถเสียหลัก ตกลงไปจากถนนสูงเมตรกว่าๆ แถมรถไถลไปชนเสาไฟฟ้าจนพังยับ ยังดีที่ นายจุก เจ็บไม่ถึงสาหัส แต่ นายแอ่ก ขาหัก 2 ข้าง ไม่ถึงตายก็บุญนักหนา ไม่ใช่แค่นั้น นายตะ กับนายราง ลงจากรถเข้าไปเตะต่อยคนทั้งสองจนจุกแอ่กๆ ไปตามๆ กัน ก่อนเผ่นหนีตามคนชื่อระเบียบ แต่ตำรวจคว้าคอมาให้อัยการนำตัวไปฟ้องที่ศาล รวมทั้ง 5 คน ข้อหาหนัก คือ พยายามฆ่า และทำร้ายร่างกาย
เจอคดีทีนี้ละหน้าเหลือง จ้างทนายสู้ความ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นนั่งหน้ามุ่ยบนบัลลังก์ตามสไตล์ ฟังพยานทั้ง 2 ฝ่ายจนเมื่อยขบ แล้วตัดสินเอาผิด นายตะ กับนายราง ฐานพยายามฆ่า จำคุก 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกาย ปรับ 1 พันบาท ยกฟ้องจำเลยอื่นอีก 3 คน เพราะฟังได้ว่าไม่เข้าร่วมวงในการทำร้าย นายจุก กับนายแอ่ก
นายตะ กับนายราง ซึ่งใครคนใดคนหนึ่งน่าจะรีบเปลี่ยนชื่อ ถ้าคิดจะคบกันต่อไป จ้างทนายยื่นอุทธรณ์ ให้พ้นคุก แต่ไม่เป็นผล
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เอาตามคำตัดสินของศาลชั้นต้น
เรื่องยาวถึงศาลฎีกาจนได้ เพราะนายตะ กับนายราง ดิ้นรน
ศาลฎีกาเมื่อยแค่ไหน คดีเยอะแค่ไหน ก็กัดฟันคว้าสำนวนที่มาถึงคิว ส่องดูด้วยความชำนาญ แล้วชี้ขาดว่า
ตอน นายตะ กับนายราง ขับรถจักรยานยนต์ไล่กวด นายจุก กับนายแอ่ก ขับหนีด้วยความเร็วเป็นร้อย การที่ นายตะ กับนายราง ร่วมกันถีบรถมอเตอร์ไซค์ที่ นายจุก กับนายแอ่ก นั่งมา จนเสียหลักตกจากถนนสูงเมตรกว่า รถไถลไปไกล 10 กว่าเมตร ชนเสาไฟฟ้าอย่างแรง รถกระจาย เสียค่าซ่อมเยอะ อีแบบนี้อาจทำให้ นายจุก กับนายแอ่ก ไม่ใช่แค่จุก แต่อาจถึงตายได้ ถือว่า นายตะ กับนายราง หาเหตุเข้าตะราง ข้อหาพยายามฆ่า การเข้าไปเตะต่อยซ้ำ ถือว่าเป็นกรรมเดียวกันกับพยายามฆ่า จึงลงโทษแค่พยายามฆ่า อันเป็นบทหนักก็พอ
ปรากฏว่า ไอ้ตะ กับไอ้ราง สำนึกผิด แต่ผมว่า ผ่านมา 2 ศาลเกรงว่าจะติดคุกแน่ๆ จึงเจรจาขอโทษขอโพยและชดใช้ค่าเสียหาย จน นายจุก กับนายแอ่ก หายจุก พอใจ แถลงไม่เอาความ ยังงี้ถือว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ วางโทษจำคุกคนละ 10 ปี แต่มีส่วนลดให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 7 ปี 6 เดือน
ชีวิดของนักบิดในบ้านเรา โดยเฉพาะหนุ่มๆ ต้องระมัดระวังพอสมควร ทั้งเมาแล้วขี่ ทั้งการมีเรื่องตีรันฟันแทง ทั้งอุบัติเหตุจากรถยนต์คันโตกว่า พลาดขึ้นมา อาจได้ไปเกิดใหม่ก่อนวัยอันควร เป็นเรื่องน่าเสียดาย ได้เกิดทั้งที ใช้ชีวิตไม่ทันคุ้ม ส่วนเมาแล้วทะลึ่งขับรถในต่างแดน ที่เขาเอาโทษหนัก ก็ไม่รู้ว่าคิดได้ไง
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6651/2554
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/16556