รอบรู้เรื่องรถ
อย่ากลัวเครื่องร้อน !
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมพาลูกไปขับรถในสนามแข่งรถ ไม่ได้ไปแข่งขันนะครับ แต่ไปขับเพื่อความสนุก และได้ฝึกฝนฝีมือ และฝีเท้าในการขับรถเร็ว เป็นผลพลอยได้ในตัว เพราะผู้ที่คุ้นเคยกับการขับเร็ว จะรู้วิธีแก้ไข และไม่ตื่นตระหนก ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะจากความบกพร่องของเราเอง และของผู้อื่น ซึ่งผมเชื่อว่า สำหรับผู้อ่านนิตยสารของเราแล้ว น่าจะเป็นกรณีหลังเป็นส่วนใหญ่การไปยังสนามแข่งรถในประเทศไทยของผมทุกครั้ง ผมถือว่าเป็นการไปทำภารกิจ ผมต้องฝืนใจไปทุกครั้ง แลกกับความปลอดภัยของลูก หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินบนท้องถนนดังกล่าวมาแล้ว เพราะผมจะต้องไปทนดูความโง่ ความไร้ระเบียบวินัยของคนไทย ที่สักแต่มีเงินซื้อรถซื้อเชื้อเพลิง แต่ไม่เคยสนใจระเบียบวินัย วิธีขับใดๆ ทั้งสิ้น เช่น ขับเร็วเต็มที่ตั้งแต่ออกรถในพิท เร่งเครื่องให้ดังอวดคนอื่น ทั้งๆ ที่กลุ่มอื่นๆ เขาก็มีรถแบบเดียวกันเหมือนกัน บางครั้งก็มีกลุ่มมอเตอร์ไชค์เครื่องใหญ่ ไปฝึกขี่เหมือนกัน ซึ่งก็บ้าพอๆ กับพวก 4 ล้อ คือ เร่งเครื่อง และความเร็วตั้งแต่อยู่ในพิท มีแถมด้วยการ "ยกล้อหน้า" ในพิท แต่ความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. ผมอยากเอาคลิพไปให้คนพวกนี้ดู ว่าอย่างที่พวกคุณ "โชว์" อยู่นี้มันระดับกากเดนขยะรถสนามแข่ง น่าอายมากกว่าน่าทึ่ง พวกนักขี่ต่างชาติที่มีฝีมือ มีสมองปกติ เขายกล้อหน้ากันที่ความเร็วเกิน 200 กม./ชม. มันถึงจะสวยงามน่าดู ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงระหว่างการดู นักบัลเลต์ หรือนักสเกทน้ำแข็งฝีมือดี เทียบกับการเดินของคนขาเป๋ เห็นแล้วอนาถใจครับ เสียเนื้อที่ไปกับเรื่องแย่ๆ พอสมควร แต่ก็เป็นเกร็ดความรู้สำหรับผู้อ่านที่ไม่มีประสบการณ์แบบนี้ระหว่างนั่งรอ ผมได้ยินกลุ่มรุ่นน้องที่นำรถซึ่งปรับแต่งเครื่องยนต์เพิ่งเสร็จ มาเข้าสนามเพื่อทดลองรถ บอกกันว่าต้องกลับเข้าพิทก่อนกำหนด ทั้งๆ ที่ยังอยากขับต่อ เพราะมาตรวัดความร้อนของเครื่องยนต์ ขึ้นไปถึง 98 องศาเซลเซียสแล้ว เกือบทุกคันของกลุ่มกลับเข้ามา "พักเครื่องยนต์" ด้วยสาเหตุเดียวกัน คือ กลัวเครื่องยนต์ "ร้อนเกินไป" ผมพยายามหาสาเหตุของสิ่งที่ได้พบก็ได้คำตอบว่า คนไทยหรือที่จริงอาจจะเป็นผู้ใช้รถทั่วทั้งโลกส่วนใหญ่ก็ได้ ถูกสอนทั้งทางตรง และทางอ้อม ว่ายิ่งเครื่องยนต์ร้อนขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่ง "ไม่ดี" และน่ากังวลมากขึ้นเท่านั้น ประการที่สอง น้ำหล่อเย็นที่เดือดทั้งในเครื่องยนต์ และในหม้อน้ำ ทำให้เครื่องยนต์ชำรุด ประการที่สองนี้จริงครับ แต่ก็ต้องดูที่สาเหตุว่าเหตุใดน้ำจึงเดือด เช่น ถ้ามีการรั่วจนปริมาณน้ำลดน้อยลง ไม่พอ หรือไม่หมุนเวียน มันก็จะร้อนเกินจนเดือดได้ จนประการแรกนั้นไม่จริงครับ และปัญหาที่ทำให้ผู้ใช้รถเข้าใจผิด และกลายเป็นโรค "กลัวเครื่องยนต์ร้อน" กันไปหมดก็คือประการแรกนี้เอง ถ้าจะให้เข้าใจลึกซึ้งแบบหมดข้อสงสัยก็ต้องมองย้อนกลับไปถึงอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ก่อนอื่นผมขอ "เวลานอก" เฉลยก่อนว่าเครื่องยนต์ที่ร้อนเกิน 100 องศาเซลเชียส คือ ร้อนกว่าจุดเดือดของน้ำ (ภายใต้ความดันบรรยากาศเฉลี่ยปกติ) จะยิ่งทำงานได้ดีขึ้น คราวนี้ย้อนกลับไปดูเครื่องยนต์ในอดีต ประมาณว่าอายุ 50-60 ปี หรือมากกว่านี้ เครื่องยนต์ในรถของพวกเราได้พลังงานมาหมุนล้อ จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง และออกซิเจนในอากาศ เมื่อเผาไหม้แกสที่ขยายตัวในเนื้อที่จำกัด คือ ภายในกระบอกสูบของเครื่องยนต์ ทำให้เกิดความดันสูงขึ้น ความดันนี้กระทำต่อผนังทุกทิศภายในกระบอกสูบ เราจึงเอาลูกสูบรับความดันที่เพิ่มขึ้นนี้ เปลี่ยนเป็นแรง ส่งต่อให้ก้านสูบ แล้วก้านสูบก็ส่งแรงต่อให้ข้อเหวี่ยงของเพลาข้อเหวี่ยง เปลี่ยนแรงแนวตรงในก้านสูบ ให้เป็นแรงบิดในเพลาข้อเหวี่ยง แล้วส่งผ่านฟันเฟืองต่างๆ จนไปสู่ล้อ ปัญหาอยู่ที่มันไม่ได้เกิดความดันที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว แต่มีความร้อนเกิดขึ้นเป็นผลพลอยได้ด้วย ซึ่งอาจจะตรงความหมายอยู่บ้าง ถ้าสามารถนำมันไปใช้ประโยชน์ เช่น อุ่นห้องโดยสารในประเทศโชนหนาว แต่ก็เพียงส่วนน้อยของความร้อนที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นพลังงานที่เป็น "ผลพลอยเสีย" มากกว่า เพราะถ้าไม่ระบายมันออกไปให้เพียงพออย่างรวดเร็ว ชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์โดยเฉพาะส่วนที่สัมผัสจากแกสร้อนนี้โดยตรง เช่น กระบอกสูบ ฝาสูบ หัวลูกสูบ วาล์ว จะร้อนเกินระดับที่วัสดุเหล่านี้ทนได้ และชำรุดในที่สุด วิธีป้องกันปัญหานี้ คือ หาของเหลวมาสัมผัสผิวโลหะด้านนอกห้องเผาไหม้ เพื่อรับความร้อน และ "นำไปทิ้ง" นอกเครื่องยนต์ ของเหลวที่ว่านี้ จะต้องไม่ระเหยง่าย หาง่าย ราคาถูก ไม่เป็นสารพิษ ไม่กัดกร่อนโลหะ และไม่เปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งเมื่อเย็นจัด แน่นอนครับ หายากมากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าตัดคุณสมบัติ 2 ข้อหลังออกไปก่อน ก็จะหาง่าย ซึ่งก็คือ น้ำสะอาด แต่ไม่ต้องถึงกับบริสุทธ์ น้ำประปานี่แหละครับใช่เลย สมัยก่อนเครื่องยนต์ให้กำลังไม่สูงนัก ความร้อนที่ "คาย" ออกมาจึงไม่มาก และเมื่อพัฒนาให้เครื่องยนต์มีกำลังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับความจุ ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เพิ่มขนาดและความหนาของรังผึ้งหม้อน้ำให้ใหญ่ตาม แต่เมื่อขับขึ้นภูเขาสูง และความดันบรรยากาศลดลงขณะเดียวกับที่เครื่องยนต์ต้องใช้กำลังสูง เพื่อสู้กับความชัน จุดเดือดของน้ำที่ลดลงผสานกับความร้อนที่เครื่องยนต์คายออกมาเพิ่มขึ้น ทำให้น้ำเดือด เกิดวงจรวิกฤตขึ้นทันที เพราะไอน้ำในสถานะแกส เป็นตัวนำความร้อนที่แย่มาก เครื่องยนต์จึงยิ่งร้อนขึ้น น้ำก็ยิ่งเดือดมากขึ้น หากไม่ดับเครื่องยนต์ก็จะชำรุดในเวลาไม่กี่นาที โรงงานรถยนต์ก็เลยแก้ปัญหาโดยการใช้ระบบระบายความร้อนแบบปิด โดยใช้ฝาหม้อน้ำแบบมีสปริงควบคุมความดัน เพื่อให้ความดันของน้ำหล่อเย็น สูงกว่าความดันบรรยากาศ พูดง่ายๆ ก็คือ ยกระดับจุดเดือดของน้ำให้สูงขึ้น ผมก็ไม่ใช้หน่วยความดันตามมาตรฐานสากล ซึ่งกำหนดให้ใช้ ปาสกาล หรือตัวย่อ Pa เนื่องจาก 1 Pa เป็นความดันที่ต่ำมากจึงมักคูณด้วย 1,000 เป็นกิโลปาสกาล หรือ kPa ความดันบรรยากาศที่อยู่รอบตัวเรามีค่าประมาณ 100 kPa ถ้าใช้หน่วยเป็นบาร์ ประมาณ 1 บาร์ ถ้วนๆ ง่ายดี แต่ถ้าแปลงเป็น psi ที่เราใช้เวลาเติมลมยาง ก็จะไม่ค่อย "ลงตัว" และจำยากหน่อย คือ ประมาณ 14.7 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือจะใช้แบบ เมตริก ดั้งเดิมก็ยังจำง่าย คือ ถือว่า 1 บาร์ เท่ากับ 1 กิโลกรัม (แรงหรือน้ำหนัก) ต่อ 1 ตร.ซม. ค่าความดันที่ใช้กับรถยนต์ของพวกเรา ถือว่าเป็นงานหยาบครับ ไม่ต้องละเอียดเหมือนงานในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ เพื่อความสะดวก จำ 4 ค่านี้ไว้ใช้งานได้เลย คือ 1 บาร์ เท่ากับ 1 กก. (แรง) ต่อ ตร. ซม. เท่ากับ 100 กิโลปาสกาล (kPa) เท่ากับ 14.7 ปอนด์ ต่อ ตารางนิ้ว ซึ่งในการอธิบายต่อจากนี้ผมขอใช้หน่วยเป็น บาร์ โดยผมจะยกตัวอย่างการเปลี่ยนจุดเดือดของน้ำ ที่สัมพันธ์กับความดันบรรยากาศ มาให้ดูพอเป็นตัวอย่างคร่าวๆ [table] 1 บาร์,100 องศาเซลเซียส 0.96 บาร์,98.7 องศาเซลเซียส 0.90 บาร์,96.5 องศาเซลเซียส 0.81 บาร์,94 องศาเซลเซียส 1.9 บาร์,118 องศาเซลเซียส 2.3 บาร์,125 องศาเซลเซียส [/table] ความดันบรรยากาศ 0.96, 0.90 และ 0.81 บาร์ คือ ค่าความดันบรรยากาศที่ระดับความสูง 500 เมตร 1,000 เมตร และ 2,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลเฉลี่ยจะเห็นว่ายิ่งสูง น้ำยิ่ง "เดือดง่าย" ส่วนค่าความดัน 1.9 บาร์ นั้น ผมคิดมาจากตารางเพราะเป็นค่าความดันของน้ำในระบบหล่อเย็น หรือเรียกง่ายๆ ว่าในหม้อน้ำของรถญี่ปุ่นที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่ฝาจะบอกค่าความดันที่ฝานี้ควบคุมไว้ที่ 0.9 บาร์ หรือ 0.9 กก. ต่อ ตร. ซม. เมื่อเครื่องยนต์ร้อน ที่หายไป 1 คือ ค่าความดันบรรยากาศต้องเอามาบวกกับค่าที่ฝาหม้อน้ำ แล้วจึงจะไปอ่านจุดเดือดของน้ำ ในตารางครับ ส่วนค่า 2.3 บาร์ คือ ความดันเมื่อใช้ฝาหม้อน้ำระดับ 1.3 บาร์ หรือ กก. ต่อ ตร. ซม. น้ำจะเดือดยากขึ้นไปอีก คือ ที่อุณหภูมิ 125 องศาเซลเชียส แน่นอนครับว่าบางตำแหน่งภายในเครื่องยนต์ น้ำอาจมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ยที่มาตรวัดบอก เช่น 103 องศาเซลเชียส เราก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะยังห่างจากจุดเดือดมาก ผู้ที่ดัดแปลงเพิ่มกำลังเครื่องยนต์และใช้ฝาหม้อน้ำระดับความดัน 1.3 บาร์ ถ้าเห็นอุณหภูมิที่มาตรวัดเกือบ 110 องศาเซลเชียส ก็ไม่ต้องกังวลเลย ตัวอย่างนี้เฉพาะใช้น้ำประปานะครับ ยังไม่ได้ใส่สารกันแข็ง (ANTIFREEZ) หรือสารกันสนิมบางประเภท ที่ใช่ยกจุดเดือดของน้ำให้สูงขึ้นอีก แก้ปัญหาจากความร้อนไปแล้ว ก็ต้องแก้ปัญหาจาก "ความเย็น" หรือความร้อนต่ำด้วย ที่ต้องอยู่ในเครื่องหมายคำพูด เพราะในทางวิทยาศาสตร์ มีแต่ความร้อนสูงหรือต่ำเท่านั้นครับ ไม่มีความเย็น ประเทศอุตสาหกรรมในอดีต ล้วนไม่มีดินฟ้าอากาศอย่างประเทศไทย ส่วนใหญ่จะมีฤดูหนาวที่แท้จริงกันทั้งนั้น คือ อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งของน้ำ หรือ 0 องศาเซลเซียส และถ้าปล่อยให้น้ำแข็ง มันจะขยายตัว ดันเสื้อสูบของเครื่องยนต์แตกร้าวอย่างง่ายดาย จึงต้องหาสารมาผสมกับน้ำ เพื่อลดจุดเยือกแข็งให้ต่ำลงอีก เช่น -30 องศาเซลเซียส ซึ่งก็มีการทดลองกันมามากพอสมควร ได้สารที่เหมาะจริงๆ อยู่ไม่กี่อย่างครับ ที่เด่นที่สุด คือ เอธิลีน กไลคอล (ETHYLENE GLYCOL) รองลงมา คือ พโรไพลีน กไลคอล (PROPYLENE GLYCOL) โครงสร้างทางเคมีต่างกันไม่มาก จึงมีคุณสมบัติคล้ายกันหลายอย่าง แต่บางอย่างก็ต่างกัน เช่น ด้านการนำพาความร้อน อย่างแรกทำได้ดีกว่า แต่ก็มีข้อเสีย คือ มีความเป็นพิษร้ายแรง หากมนุษย์ หรือสัตว์ ดื่มมันเข้าไป ในเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร จึงใช้ พโรไพลีน กไลคอล ซึ่งผมขอเรียกสั้นๆ ว่า พีจี (PG) ส่วนในรถยนต์นิยมใช้ อีจี (EG) เพราะระบายความร้อนได้ดีกว่า และจุดเยือกแข็งต่ำกว่า พีจี อีกเล็กน้อย โดยยอมรับความมีพิษร้ายแรงของมัน ด้วยเหตุนี้ผมขอให้ช่างซ่อมรถ และเจ้าของรถที่ซ่อมรถเอง จริงจังกับการเก็บหรือทิ้ง น้ำหล่อเย็นที่ผสม เอธิลีน กไลคอล หรือ อีจี นี้อย่างที่สุดครับ เพราะมันมีรสหวาน อาจล่อให้สัตว์ เช่น สุนัข แมว ฯลฯ มากินมัน อย่าเก็บไว้ในที่ที่เด็กเข้าถึงได้เป็นอันขาด โทษของการดื่มมันถึงตาย หากรักษาไม่ทัน ที่น่ากลัวก็คือ อาการจากความเป็นพิษของมัน คล้ายกับโรคอื่นๆ มากมาย คือ ท้องร่วง อาเจียร ตรวจสอบไม่ได้ถ้าไม่แจ้งสาเหตุแก่แพทย์ ถ้าไม่ได้รักษา หรือรักษาผิดทาง จะเสียชีวิตจาก ไตวาย ภายใน 2 ถึง 3 วัน บางบริษัทที่ผลิตจำหน่ายก็พยายามใส่สารรสขมปนลงไป เพื่อช่วยไม่ให้ใครหลงดื่ม ทั้ง อีจี และพีจี นี้มีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมพ่วงติดมาด้วย ทั้งๆ ที่จุดประสงค์หลักของเรา คือ ใช้เป็นสารป้องกันน้ำแข็งตัว นั่นคือ เมื่อผสมกับน้ำ มันช่วยยกจุดเดือดของน้ำให้สูงขึ้นอย่างมาก มีการใช้สารกันแข็งนี้มาตั้งแต่ก่อน ปี 1930 แล้ว ส่วนการใช้ระบบหล่อเย็นภายใต้ความดันสูงกว่าบรรยากาศ โดยใช้ฝาหม้อน้ำแบบสปริง เป็นตัวควบคุม มีขึ้นหลังจากนั้นอีกนานพอสมควร อีจี จึงมีคุณต่อผู้ใช้รถยุคนั้นเป็นอย่างมาก คือ หน้าหนาวก็กันแข็ง ส่วนหน้าร้อน หรือตอนขึ้นเขาสูง ก็ช่วยกันน้ำเดือดได้ด้วย มาดูตารางสัดส่วนระหว่าง อีจี และน้ำ ที่มีผลต่อการยกจุดเดือดกันครับ ปริมาตร เอธิลีน กไลคอล ร้อยละ (%) [table] ,จุดเยือกแข็ง (องศาเซลเซียส),จุดเดือด (องศาเซลเซียส) 0,0,100 10,-4,- 20,-9,- 30,-16,106 40,-25,- 50,-38,111 60,-53,- 100,-11,197 [/table] จากตาราง เราจะเห็นว่า ช่วงที่ผสมอย่างจาง จุดเดือดจะเพิ่มไม่มาก แต่ถ้าความเข้มเกิน 50 % ขึ้นไป จุดเดือดจะสูงขึ้นมาก แต่มันมีผลร้ายซ่อนอยู่ อย่าคิดว่า ถ้าอย่างนั้นใส่มันล้วนๆ ไปเลย หรือเอาแบบเข้มข้น สัก 70 หรือ 80 % ไปเลย แบบนี้พังแน่ครับ ประการแรก ยิ่งเข้มข้นความสามารถในการระบายความร้อนยิ่งลดลง เครื่องยนต์จะร้อนจัด ประการที่สอง ส่วนผสมที่เข้มข้นนี้ มีความสามารถพิเศษ คือ ยิ่งเข้มข้นมันจะยิ่งแทรกซึมเข้าไปในช่องแคบต่างๆ ที่สัมผัสกับมันอยู่ เช่น ปะเก็นฝาสูบ แหวนยางกันรั่วต่างๆ ส่วนผสมที่เหมาะ คือ ประมาณ 30-50 % ก็คือ อีจี 1 ส่วน ต่อน้ำ 2 ส่วน ถึงอีจี 1 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน ก่อนจบมาดูจุดเดือดของน้ำในระบบหล่อเย็นที่ใช้ อีจี และฝาหม้อน้ำคุมความดันกันครับ เอาแบบอ่อนสุดก่อน คือ อีจี 30 % ฝาหม้อน้ำ 0.9 บาร์ อุณหภูมิที่สูงขึ้นจากการใช้แต่ละอย่าง เราเอามาบวกกันได้เลย เช่น อีจี 30 % ให้จุดเดือดเพิ่มขึ้นกว่าน้ำเปล่า 6 องศาเซลเซียส (106) ฝาหม้อน้ำ 0.9 บาร์ ช่วงยกจุดเดือด 18 องศาเซลเซียส (118) หมายความว่าจุดเดือดของน้ำในเครื่องยนต์ของเรา จะอยู่ที่ (100+6+18) เท่ากับ 124 องศาเซลเซียส มาดูอีกปลายหนึ่งบ้าง ส่วนผสม 50 % ยกจุดเดือด 11 องศาเซลเซียส (111) ฝาหม้อน้ำ 1.3 บาร์ ยกจุดเดือด 25 องศาเซลเซียส (125) จุดเดือดของน้ำในเครื่องยนต์ คือ (100+11+25) เท่ากับ 136 องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้นหากขึ้นเขาหน้าร้อน รถติดหนัก หรือฝึกขับเร็วในสนามแข่ง แล้วอุณหภูมิน้ำขึ้นไปเกิน 100 องศาเซลเซียส ไม่ต้องกังวลครับ ข้อสำคัญ ต้องขึ้นสูงแล้วค่อยๆ ไปหยุดอยู่ที่ค่าหนึ่ง ถ้า "ไต่" ขึ้นไปไม่หยุด ต้องรีบดับเครื่องยนต์แล้วตรวจสอบ ว่าน้ำน้อยเกินไป หรือมีการแตกรั่วที่ใด รถยุโรปหลายรุ่นใช้ฝาหม้อน้ำคุมความดันไว้ที่ 2 บาร์ แล้ว เพราะความร้อนที่เพิ่มขึ้น ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้กำลังสูงขึ้น และประหยัดเชื้อเพลิงลงด้วย แต่ท่อน้ำต้องทนความดันระดับนี้ได้ด้วย ผมขอไม่เฉลยว่าจุดเดือดจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ระดับไหน เพราะจะกลายเป็นสนับสนุนให้ใช้รถกันอย่างประมาทครับ แล้วถ้ามีใครมาบอกเราว่า ไม่ต้องใส่ เอธิลีน กไลคอล ให้เปลืองเงินหรอก เพราะฝาหม้อน้ำความดันอย่างน้อย 0.9 บาร์ ที่โรงงานรถใส่มาให้ ก็ยกระดับจุดเดือดไปมากพอแล้ว เชื่อได้ไหม ? อย่าไปเชื่อครับ แม้ไม่ได้ให้มันทำหน้าที่กันน้ำแข็งตัว หรือยกระดับจุดเดือด ก็ต้องผสม เอธิลีน กไลคอล ไว้เสมอ เพราะมีสารต้านการเกิดสนิม และการกัดกร่อน ผสมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีสารช่วยหล่อลื่นผิวที่เสียดสีกันในปั๊มน้ำของเครื่องยนต์ ช่วยให้อายุใช้งานยืนยาวขึ้น ถ้ามีการซ่อมระบบหล่อเย็น หรือมีการรั่วของน้ำหล่อเย็น ต้องเติม เอธิลีน กไลคอล ให้ได้ความเข้มเหมาะสมไว้เสมอ อายุใช้งานไม่ควรเกิน 3 ปี ถ้าจะให้ดีเจาะจงให้ศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายชุดใหม่ให้ทุกๆ 2 ปีครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/16463