ชีวิตคือความรื่นรมย์
ภาษาไทยเป็นหัวใจของชาติ
เคยมีบางคนกล่าวว่า ภาษาไทยนั้นเป็นภาษาของเรา เราที่เกิดเป็นคนไทย แม้ไม่ต้องเรียนมาก ก็ต้องอ่านออกเขียนได้ในวันหนึ่งอยู่แล้ว ความคิดเช่นนี้มีส่วนถูกเพียงส่วนเดียว เพราะถ้าจะเอาใจใส่จริงๆแล้ว ภาษาไทยมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกมาก โดยเฉพาะถ้าจะให้ใช้ภาษาได้ดี ด้วยเหตุว่าภาษาไทยนั้นมีอัจฉริยะลักษณ์หลากหลายประการที่ควรเรียนรู้
จะเป็นเพราะความคิดนี้หรือไม่ ก็ไม่ทราบ การเรียนการสอนสมัยก่อนจึงให้คะแนนหลักภาษา หรือไวยากรณ์ไทยเพียง 20 คะแนน ย่อความ 20 คะแนน เรียงความ 30 คะแนน ในขณะที่วิชาคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ให้คะแนนมากกว่านี้หลายเท่า จนนักเรียนบางคนให้ความสนใจวิชาภาษาไทยน้อย หรือไม่สนใจเท่าที่ควร
ในทำนองเดียวกันนี้ ก็เคยมีคนเข้าใจว่าการเป็นครูสอนวิชาภาษาไทยนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ความสามารถพิเศษอะไรมากมาย ก็สอนวิชาภาษาไทยได้ ก็มอบหน้าที่ให้สอนวิชาภาษาไทย นั่นคือ การบั่นทอนกำลังใจให้นักเรียนที่ไม่ค่อยชอบวิชาภาษาไทยอยู่แล้ว หรือแม้แต่นักเรียนที่เคยชอบวิชาภาษาไทย พาลเกลียดวิชาภาษาไทยยิ่งขึ้นไปอีก เพราะครูที่สอนไม่ใช่ ครูภาษาไทย" ที่แท้จริง เมื่อครูเองไม่มีความชอบภาษาไทยเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่ชอบที่จะขวนขวายไขว่คว้าหาความรู้และศิลปะในการสอนภาษาไทยให้สนุก นักเรียนก็เลยเห็นวิชาภาษาไทยเป็นยาขมอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
ตรงกันข้ามกับคนที่ชอบวิชาภาษาไทยเป็นพิเศษ และหากกลายเป็นครูสอนวิชาภาษาไทยด้วย ครูเหล่านั้นจะเอาใจใส่อย่างจริงจัง ถ้าครูคนนั้นเป็นคนที่สอนเก่งและสอนเป็น นักเรียนก็จะสนุก บางคนอาจจะไม่ชอบภาษาไทยมาก่อน แต่ถ้าครูที่สอนเป็น มีวิธีสร้างแรงดึงดูดจูงใจนักเรียนได้ดี นักเรียนก็จะหันมาชอบภาษาไทยและเห็นว่าวิชาภาษาไทยไม่ได้ยากเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจให้รักได้
แม้ว่าผู้เขียนจะเคยเป็นครูภาษาไทยอยู่ 9 ปีกว่า และลาออกไปประกอบอาชีพในวงการธุรกิจมาแล้วกว่า 40 ปี แต่วิญญาณครูภาษาไทยไม่เคยลดน้อยถอยลงเลย ตรงข้าม กลับได้ใช้การใช้ภาษาไทยในงานประชาสัมพันธ์และงานเขียนหนังสือมาตลอด ผู้เขียนย้ำคิดย้ำทำมาตลอดว่า เมื่อเป็นนักเรียนและเป็นครูนั้นควรสำเหนียกอย่างยิ่งว่า ภาษาไทยเป็นหัวใจทุกวิชา เพราะไม่ว่านักเรียนจะเรียน หรือครูจะสอนวิชาอะไรก็ตาม การอธิบายด้วยภาษาไทยที่ดี ที่ถูกต้อง จะช่วยให้การเรียนการสอนวิชาเหล่านั้นบรรลุผลได้ดี รวดเร็ว และสมบูรณ์ ตรงกันข้าม ผู้เขียนเห็นว่าที่ผู้เยาว์ใช้ภาษาไทยผิดๆ แม้กระทั่งโตขึ้นจนไปประกอบอาชีพที่สำคัญ เช่น สื่อมวลชน หรือท่านที่เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมือง เช่น ในรัฐสภาและในการบริหารระดับสูงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ ผู้เขียนก็มั่นใจว่า ครูภาษาไทยที่สั่งสอนมานั้นท่านไม่ไดทำหน้าที่ได้ดีอย่างที่ครูภาษาไทยที่ดีควรจะเป็น
ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าท่านจะประกอบวิชาชีพอะไร ท่านต้องติดต่อกับคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านเป็นคนไทย ท่านจะต้องใช้ภาษาไทยในการดำเนินชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ ภาษาไทยเป็นหัวใจของชาติ ดังที่มีคนนำประโยคนี้ส่งเข้าประกวดและได้รับรางวัลใช้เป็นคำขวัญของวันภาษาไทยแห่งชาติ (29 กรกฏาคม) ต่อมา ขาดภาษาไทยเสียแล้วก็เสมือนคนที่มีแต่ ชีวิต แต่ไม่มี จิตใจและ/หรือ หัวใจ
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีคนใช้ภาษาไทยวิบัติมากขึ้นทุกวัน ทั้งโดยไม่จงใจและไม่ใส่ใจ จำเป็นต้องมีคนคอยทัก-ท้วงติง คอยทำหน้าที่เป็น ยามภาษา ทั้งผู้มีหน้าที่โดยตรง เช่น ครูบาอาจารย์ และราชบัณฑิตยสถาน ทั้งผู้ไม่มีหน้าที่โดยตรง แต่รักที่จะทำอย่างเพื่อน ยามภาษา หลายคนของผู้เขียน ที่ช่วยกันทำอย่างไม่มีสินจ้างรางวัล ก็ยังเต็มใจที่จะทำเรื่อยไป
ในฐานะครูเก่าที่รักภาษาไทย ผู้เขียนได้ปรารภถึงหน้าที่ความสำคัญของคนไทยที่พึงมีต่อภาษาไทยชื่อคนไทยกับภาษาไทยดังนี้
ชาติไทยมีเอกราชทาง ภาษา บรรพชนสั่งสมมาบุราณสมัย บรมกษัตริย์ประดิษฐ์ อักษร ไทย เอกลักษณ์ประจักษ์ให้ได้ชื่นชม เรามีเลขแบบไทยไทยให้ขีดเขียน ให้คนไทยได้เล่าเรียนเขียนเหมาะสม เขียนให้ดีดูงามตาน่านิยม บ่งบอกความเฉียบคมปัญญาครู ภาษาไทยมีอัจฉริยลักษณ์ แน่วตระหนักดั่งดนตรีที่เลิศหรู เขียนเลียนเสียงแทนสูงต่ำได้ดำรู วรรณยุกต์ประยุกต์รู้เป็นเลิศลักษณ์ ในโลกนี้มีหลายชาติไร้ภาษา ยิ่งมีตัวอักษรายิ่งน้อยหนัก ชาติยิ่งใหญ่บางชาติอนาถนัก ไม่ประจักษ์อักษราภาษาตน ไทยอาจรับคำภาษาจากหลายชาติ นั่นคือความเฉลียวฉลาดบอกแห่งหน ผู้ชนะรับวัฒนธรรมมาปรับปรน จากชาติชนผู้พ่ายแพ้นั้นแน่นอน ภาษายังทอดผ่านวัฒนธรรม เฉกไทยนำสันสกฤตลิขิตสอน พุทธศาสน์นำบาลีที่บวร ให้กำจรในครรลองคลองชีพไทย ภาษาไทยจึงคนไทยต้องใฝ่รู้ อนุรักษ์ให้คงคู่ชาติให้ได้ ภาษาอื่นอาจปรับมารับใช้ แต่มิต้องครองใจเป็นนายเรา อย่ายอมตนเป็นทาสขาดสำนึก พูดโก้ไปไม่รู้สึกเช่นทาสเขา พูดไทยปนคำฝรั่งดั่งดูเบา ไทยเป็นเจ้าภาษาไทยใช่ทาสคิด คนบางคนพูดเขียนไทยไม่เข้าท่า ต่างภาษาก็ยิ่งผูกถูกถูกผิดผิด ไม่รู้สึกสำนึกแต่สักนิด เพราะเหิมจิตว่าตนเลิศประเสริฐดี เกิดเป็นชายชาวสยามตามวิสัย หนังสือไทยก็ไม่รู้ดูบัดสี จะอับอายขายหน้าทั้งตาปี* นักปราชญ์ชี้โปรดจำไว้ใส่ใจเอย (*บทนิพนธ์ พระยาศรีสุนทรโวหาร-น้อย อาจารยางกูร)
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/16412