โค้งอันตราย
เห็นไหม แสงสว่างปลายอุโมงค์
บ้านเมืองกลับเข้าสู่สภาวะปกติ หลังมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของประเทศ แต่ก็ยังมีข้อวิตกกังวลจากภาคเอกชนอยู่บ้าง บ้างก็ว่า นับแต่นี้เศรษฐกิจก็จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้ อาจจะล่าช้าบ้างเล็กน้อย มีเพียงส่วนน้อย ที่ยังกังวลกับการดำเนินงานภาครัฐในบางส่วน ที่อาจไม่ค่อยเอื้อต่อภาคอุตสาหกรรมมากเท่าที่ควร โดยเฉพาะการเปิดประชาคมเสรีอาเซียน ปลายปีหน้า ว่าจะเป็นกับดัก หรือหลุมพรางอย่างใดหรือเปล่า ?
แต่ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ก็ต้องยอมรับว่า น่าจะพอมองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์กันอยู่บ้าง เพราะภาครัฐอนุมัติโครงการอีโคคาร์ 2 ออกมา 1 เจ้า ส่วนที่เหลือก็น่าจะไม่มีปัญหา คอยเพียงแต่จะอนุมัติกันออกมาเมื่อไรเท่านั้น นั่นก็จะทำให้ในเวลาไม่นานเกินรอ ก็จะมีค่ายรถยนต์ 10 ยี่ห้อ ส่งอีโคคาร์ 2 ออกสู่ตลาด ยอดรวมกว่า 1.5 ล้านคัน ที่จะมีเทคโนโลยีความปลอดภัย อย่าง เอบีเอส เพิ่มขึ้น และในการผลิตมากกว่าครึ่ง จะเพื่อเป็นการส่งออกไปทั่วโลก และจะทำให้ยอดการผลิตรวมของบ้านเรา มีปริมาณมากกว่า 3 ล้านคัน ในอนาคตอันใกล้นี้
แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงติติงถึงแนวทางอุตสาหกรรมยานยนต์ของบ้านเรา ว่าในอดีต ไทยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค ที่จะช่วยสนับสนุนการผลิต ก็พัฒนาไปมากพอควร ทำให้คุณภาพของยานยนต์ที่เราผลิต ก้าวไปถึงระดับโลก ขณะห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศคู่แข่งในอาเซียนอาจไม่แข็งแกร่งเท่า แต่คู่แข่งในภูมิภาค ตัวจริง คือ อินโดนีเซีย ซึ่ง อินโดนีเซีย ผลิตรถได้ 1.3-1.4 ล้านคัน แต่ขายวิสัยทัศน์วางแผนงานไปถึงปี 2025
โรดแมพของอินโดนีเซีย เริ่มจากผลิตรถเก๋งเล็ก ที่มีแนวคิดเดียวกับอีโคคาร์ ของไทย รถกึ่งแวน ขนาดเล็ก จากนั้นก็มีแผนจะทำ รถเก๋งขนาดกลาง รถบรรทุกใหญ่ รถไฮบริด รถหรูหรา สรุป คือ ในปี 2025 อินโดนีเซีย จะทำทุกอย่าง ยกเว้นรถกระบะ ในขณะที่ มาเลเซียเองมีโครงการอีอีวี (EEV) หรือรถเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่รัฐบาลจะพิจารณาส่งเสริมเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งไม่ง่ายนักที่จะทำให้ผู้ลงทุนเชื่อมั่น และเป็นทั้งคู่แข่ง พร้อมกับเป็นพันธมิตรกับบ้านเราไปพร้อมๆ กัน เพราะต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยชิ้นส่วนประกอบจากแต่ละประเทศ ต่างก็มีความแข็งแกร่งเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน
ซึ่งนั่นก็คือวิสัยทัศน์ของแต่ละประเทศ การวางแผนงานในอนาคตของแต่ละประเทศ เช่นที่เรากำลังวางวิสัยทัศน์ของอีโคคาร์ 2 ของบ้านเรา
แต่ทั้งหมดนั้น ในมุมมองของประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์คนปัจจุบัน ท่านว่าเอาไว้ว่า ทั้งหมดทั้งปวงมันก็มีแฟคเตอร์อยู่ 3 ตัว เท่านั้นเอง คือ QUALITY คุณภาพของยานยนต์ที่ผลิต ระดับไหน บ้านเราส่งไปไกลทั่วโลกแล้ว COST ต้นทุนในการผลิต หาชิ้นส่วนของดี มีไหม หรือมีแต่แพง และแฟคเตอร์สุดท้าย DELIVERY การขนส่งจากแหล่งผลิต ไปยังลูกค้าปลายทาง ที่เดี๋ยวนี้ท่าเรือส่งออก ที่รู้จักกันในชื่อ เอ 5 ก็คับคั่งแล้ว จะแก้ไขอย่างไร ภาครัฐก็ต้องมองประเด็นนี้ด้วย
รวมทั้งขอฝากทางท่าเรือ ช่วยหาวิธีแก้ไข ว่าเอารถไปจอดคอยเพื่อลงเรือในลานจอดแล้ว โดนฝุ่นสนิมเกาะรถ ต้องส่งกลับมาแก้ไข หรือส่งทีมเข้าไปแก้ไขรถในลานจอด มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นนะครับ เพราะ คิวซี ของเมืองนอกน่ะ เขาเนี้ยบจริงๆ แบบว่ามีฟองบนผิวสี ฟองนิดเดียว ก็ต้องแก้ไขกันแล้ว ไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ
แต่เรื่องใหญ่ก่อนจะไปถึงประชาคมเสรีอาเซียน ที่กังวลกันมานานแล้ว เห็นจะเป็นเรื่อง การเตรียมความพร้อมในเรื่องแรงงาน ซึ่งอนาคตไทยจะเข้ายุคการขาดแคลนแรงงานวัยหนุ่มสาว ซึ่งเป็นผลมาจากการคุมกำเนิดประชากร นอกจากนี้ยังต้องแก้ไขโครงสร้างแรงงาน ซึ่งครอบครัวคนไทย มีค่านิยมอยากให้ลูกหลานเป็นเจ้าคนนายคน ทำให้เด็กไทยไม่นิยมเรียนสายอาชีวะ แต่นิยมเรียนระดับปริญญา ทำให้ช่างเทคนิคขาดแคลน ขณะนี้กระทรวงแรงงานเองก็พยายามรับมือปัญหานี้ โดยการร่วมมือกับภาคเอกชนจัดตั้งสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ทางสถาบันยานยนต์ก็ได้ร่วมมือกับทางญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาบุคลากรระดับสูง
ภาครัฐเองก็ควรต้องส่งเสริม โครงสร้างพื้นฐานที่ยังขาดแคลน โดยเฉพาะด้านการวิจัยและพัฒนา ที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรา ก้าวไปถึงจุดที่มีการทดสอบการชน แบบเดียวกับมาตรฐานในต่างประเทศแล้ว แต่บ้านเรา มีแต่ภาคเอกชนเท่านั้น ที่ลงทุนทำสนามทดสอบบางอย่างไปแล้ว แต่ภาครัฐ ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่เป็นมาตรฐานเทียบเท่าต่างประเทศเลย
ในขณะที่ กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยต้องเร่งยกศักยภาพของตัวเอง ในด้านเทคโนโลยีและความสามารถในการบริหารจัดการให้เข้าสู่มาตรฐานสากล มีการเชื่อมโยงคู่แข่งและคู่ค้าเข้าด้วยกัน เพราะบางประเทศเป็นตลาดเป้าหมาย ซึ่งมีทั้งสินค้าที่เราต้องการ ขณะที่เราก็มีสินค้าที่ประเทศนั้นๆ ต้องการด้วยเช่นกัน แม้ว่าอัตราการเติบโตของผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุน จะเติบโตในปริมาณที่น้อยลง แต่เห็นได้ชัดว่า เป็นเพราะกลุ่มคลัสเตอร์ภาคชิ้นส่วน เป็นผู้ชักชวนกันเข้ามา
การบ้านอีกข้อสำหรับรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่เชื่อว่าน่าจะเป็นหน้าเก่า หรือคนที่คุ้นเคยมากหน้าหลายตา ส่วนใหญ่ก็อยู่ในแวดวงอยู่แล้ว ก็เรื่องการแก้ไขข้อบังคับ ระเบียบต่างๆ เพื่อรองรับ AEC เพราะรถที่จะเข้าออกแต่ละประเทศได้หลังเปิด AEC ต้องเป็นรถส่วนบุคคล ที่ไม่ติดภาระกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ รถที่ผ่านด่านจะต้องมีทะเบียนเป็น 2 ภาษา โดยกรมการขนส่งทางบก อยู่ระหว่างการออกแบบป้าย 2 ภาษา โดยมีหมวดภาษาอังกฤษร่วมอยู่ในป้าย ซึ่งจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ ส่วนรถบรรทุก รถประจำทาง ต้องขออนุญาตแต่ละประเทศ ในขณะที่ใบขับขี่เอง ก็ต้องเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้จัดทำส่วนนี้แล้ว ใบขับขี่ดังกล่าว สามารถใช้ขับขี่รถได้ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน
นอกจากนี้ จะต้องมีการเพิ่มความร่วมมือ ที่เรียกว่า อาเซียน MRA (การรับรอง และการทดสอบมาตรฐาน) ซึ่งเป็นกลไกเพื่อลดขั้นตอนการขอใบอนุญาต การตรวจสอบซ้ำ ซึ่งขณะนี้มีมาตรฐานอีกหลายรายการที่มีมาตรฐานต่างกัน สำหรับไทย พยายามผลักดันให้ทุกชาติปรับให้เป็นไปตามมาตรฐาน UNECE ที่ไทยอ้างอิงอยู่ เพราะท้ายสุดมาตรฐานที่ใช้ต้องเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ ในขณะที่เวลาเหลืออยู่เพียงปีกว่าๆ เท่านั้น
ในภาพรวม การเปิดประชาคมเสรี น่าจะเป็นโอกาสที่วงการยานยนต์ จะสามารถก้าวหน้าไปได้ด้วยดี เพราะขนาดตลาดที่มีประชากรมากกว่า 500 ล้านคน ขณะที่จำนวนประชากรต่อรถ 1 คัน ยังเป็นอัตราส่วนที่น้อยอยู่ นักการตลาดเองก็ยังเชื่อว่า อย่างน้อยก็น่าจะสามารถเพิ่มอัตราส่วนประชากรต่อรถ 1 คันได้โดยไม่ยากนัก
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/16409