รอบรู้เรื่องรถ
ยิ่งเบรคเร็ว ยิ่งปลอดภัย
ปีนี้เป็นปีแรกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่ผมจัดคิวเรื่องที่จะเขียน ให้ได้ลงทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเทศกาลอันเป็นมงคลของคนในชาติ ซึ่งก็คือ เทศกาลขึ้นปีใหม่ของไทย ที่ไม่ต้องไปตามอย่างชนชาติอื่น และเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ จะกลายมาเป็นเทศกาลเลือด เทศกาลฆ่าตัวตาย เทศกาลถูกฆ่าตาย มีทั้งตายเดี่ยว และตายหมู่ มันเป็นสิ่งสุดวิสัยจริงหรือ ที่คนไทยเราต้องตายกันถึงครึ่งพันคนเป็นประจำทุกปี แค่ 10 คนก็มากเกินไปแล้วครับสาเหตุนั้นก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว แต่ไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจังให้เป็นรูปธรรม ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด และจริงจังต่อเนื่อง ไม่ใช่มาประกาศโหวกเหวกทุกปี ปีแล้วปีเล่า ว่า "ขอให้ตายโหงกันน้อยกว่าปีที่แล้วนะ" ประเทศแกนนำของอาเซียน ต้องใช้ข้อสอบใบขับขี่ ที่ให้ผู้สอบแสดงความสามารถในการบังคับควบคุมรถบนถนนหลวง ในสภาพเสมือนการใช้งานในชีวิตประจำวันครับ ไม่ใช่แค่ให้แสดงความสามารถในการจอดให้ชิดขอบทางเท้า ต้องปฏิรูปการสอน และการสอบขับขี่ยานพาหนะกันใหม่ครับ เพราะสิ่งที่ใช้งานกันอยู่ตอนนี้ มันเหมาะกับการจราจรเมื่อ 80 ถึง 60 ปีที่แล้วเท่านั้น นอกจากภาคปฏิบัติแล้ว จะต้องเน้นให้เห็นความสำคัญของมารยาทบนท้องถนน สอนให้มีสำนึกเห็นอันตรายของการเสพแอลกอฮอล หรือยาเสพติดขณะขับรถ ขอถือโอกาสนี้ถามผู้รับผิดชอบด้านนี้ ทั้งที่อยู่ในคณะรัฐบาล และตำรวจระดับที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ว่ามีความเห็นอย่างไร ต่อการที่ลูกค้าของร้านจำหน่ายอาหาร และสุรา ที่เน้นการเสพสุราเป็นหลัก สามารถขับรถส่วนตัวมาจอดกันเต็มพื้นที่ของลานจอดรถ ดื่มจนเมามาย ไม่สามารถแม้แต่จะเดินให้ตรงได้ แต่ทุกคนก็ก้าวขึ้นรถขับกลับบ้าน หรือไปหาสถานที่อื่นดื่มต่อ โดยไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมายใดๆ เพราะสำนึกนั้นไม่มีกันอยู่แล้ว ทุกคนในประเทศนี้ทั้งประเทศ ทุกจังหวัด สามารถปฏิบัติเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะคืนวันศุกร์ และเสาร์ มีประชาชนผู้บริสุทธิ์กี่พันกี่หมื่นคนแล้ว ที่ต้องสูญชีวิต สูญอวัยะ เพราะถูกมนุษย์พวกนี้ทำร้ายจากความมึนเมา ด้วยความหย่อนยานของผู้รักษากฎหมาย ในตอนที่แล้วผมได้เขียนถึงงานซ่อมรถก่อนเดินทางไกล ว่าเมื่อใดจึงควรทำ และกรณีไหนที่ควรละเว้น ลองกลับไปอ่านอีกรอบนะครับ เพราะเป็นช่วงที่ตรงกับเทศกาลนี้พอดี จะได้ตัดสินใจให้ถูกต้อง อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในช่วงเทศกาล และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ไม่ยาก ก็คือ การชนท้ายรถคันหน้า สาเหตุหลักมี 3 ข้อด้วยกันครับ คือ 1. ขาดสมาธิ 2. ขับตามด้วยระยะที่ใกล้คันหน้าเกินไป และ 3. ขาดความเข้าใจเรื่องการเบรคที่ถูกต้อง การขับรถบนถนนสาธารณะ ต้องใช้สมาธิตลอดเวลานะครับ เพราะมีชีวิต และความปลอดภัยของผู้อื่นที่ร่วมใช้ถนนมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ห้ามใช้ช่วงเวลาที่ขับรถเป็นการพักผ่อนไปในตัวเด็ดขาดครับ ถ้าอยากพักผ่อนต้องหยุดขับก่อนเสมอครับ ห้ามเอาการขับรถกับการพักผ่อนมาผสมปนเปกันเป็นอันขาด แค่เผลอเพียงวินาทีเดียว ก็ทำให้เรา หรือผู้อื่นถึงแก่ชีวิตได้ทันทีครับ การขับโดยมีสมาธิ หมายความว่า เราพร้อมเสมอที่จะเหยียบเบรคเพื่อลดความเร็ว เมื่อรถคันหน้าเบรค หรือเมื่อมีสิ่งกีดขวางที่ต้องลดความเร็ว โดยที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ ยกตัวอย่างเช่น เรากำลังขับรถด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. หรือเทียบเป็นระยะทางต่อ 1 วินาที ก็จะเท่ากับ 22 เมตรกว่า ถ้ามีเหตุให้ต้องเบรคเพื่อลดความเร็ว แล้วเรายังเหม่อ หรือมั่วแต่ก้มลงมองจอโทรศัพท์ หมายความว่า ทุกๆ วินาทีที่เราปล่อยให้สูญไป รถจะเคลื่อนเข้าหาสิ่งกีดขวาง 22 เมตร โดยมิได้มีการลดความเร็วลง ถ้าเรามาดูสภาพการชนท้ายรถคันหน้า ส่วนใหญ่จะเห็นได้ชัดว่า ถ้ามีระยะห่างเหลืออีกแค่สัก 10 เมตร การชนท้ายรถด้านหน้าก็จะไม่เกิดขึ้น หมายความว่า ถ้าผู้ขับคันหลังได้เหยียบเบรค "เร็ว" ขึ้น เพียงครึ่งวินาที รถก็จะหยุดนิ่งในระยะเบรคที่สั้นขึ้น 11 เมตรโดยประมาณ (ที่ความเร็วต้น 80 กม./ชม.) หรือถึงแม้จะเหยียบเบรคล่าไปหน่อย แต่ถ้าเราเห็นสิ่งกีดขวางแต่ไกล ก็ย่อมเหลือระยะทางในการลดความเร็วเพียงพอจนรถของเราหยุดนิ่งได้โดยไม่ต้องชน ซึ่งเข้าข่ายข้อที่ 2 ครับ นั่นคือ การรักษาระยะห่างจากท้ายรถคันหน้าให้เพียงพอ ตามทฤษฎีแล้ว ระยะห่างที่เหมาะสม คือ เอาตัวเลขความเร็วของรถที่ขับตามกันด้วยความเร็วเท่ากัน หน่วยเป็น กม./ชม. มาหารด้วย 2 ได้ตัวเลขเท่าใด คือ ระยะห่างที่ปลอดภัย (ไม่เสี่ยงต่อการชนท้ายคันหน้า) มีหน่วยเป็น เมตร เช่น ขับตามคันหน้าที่ความเร็วคงที่ 80 กม./ชม. ระยะห่างที่ปลอดภัย คือ 40 เมตร แต่เนื่องจากการจราจรของเราค่อนข้างหนาแน่น ผมอนุโลมให้ถึง 1 ใน 4 ครับ คืออยู่ระหว่าง 40 ถึง 20 เมตร เน้นให้ห่างไว้ถ้าเป็นไปได้ ระยะที่ว่านี้เป็นสิ่งจำเป็น เพราะทันทีที่รถคันหน้าเบรค แม้ไฟเบรคจะติดทันที แต่จากที่ตาเรารับรู้แสงจากไฟเบรค และส่งสัญญาณไปยังสมอง เพื่อประมวลผล และตัดสินใจสั่งกล้ามเนื้อขาให้ยกขึ้นแล้วเหยียบแป้นเบรคในช่วงเวลานี้ รถของเราจะพุ่งเข้าใส่คันหน้าที่ลดความเร็วลงมาต่ำกว่าคันของเราพอสมควรแล้ว จึงต้องมีระยะตามที่ปลอดภัยสำรองไว้เสมอ ยิ่งเร็วยิ่งต้องห่างครับ มาดูข้อที่ 3 ซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่า 2 ข้อแรก ซึ่งก็คือ วิธีเบรคที่ถูกต้อง มีสมาธิดีอยู่ตลอดเวลาที่ขับ และรักษาระยะห่างจากคันหน้าถูกต้องตามหลักทุกอย่าง ยังไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเสี่ยงต่อการชนท้ายคันหน้านะครับ เพราะถ้ารับรู้ได้เร็วเพียงพอ ว่าคันหน้าเริ่มเบรคแล้ว ตัดสินใจเบรคตามได้รวดเร็วพอ แต่ว่าค่อยๆ ยกเท้าออกจากคันเร่ง ย้ายมาเหยียบแป้นเบรคอย่างช้าๆ ตามสบาย แบบนี่ระยะห่างที่เตรียมเว้นไว้อย่างถูกต้อง ก็หมดเกลี้ยงก่อนที่รถของเราจะถูกเบรคให้ลดความเร็วครับ ผลคือ ชนท้ายคันหน้าแน่นอน เราจะต้องให้ช่วงเวลาตั้งแต่ตัดสินใจว่าต้องเบรค จนถึงเหยียบแป้นเบรคให้ระบบเบรคทำงานสั้นที่สุด นั่นคือ ยกเท้าจากคันเร่งมาเหยียบแป้นเบรค ด้วยความรวดเร็ว และเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าคันหน้าเบรคอย่างแรง ผมใช้คำว่า “เร็วที่สุด” นะครับ ไม่ใช่ “แรงที่สุด” เพราะขืนกระทืบแป้นเบรคไปเต็มแรง โดยไม่ได้จำเป็นแล้วละก็ อาจจะถูกคันหลังชนท้าย ถึงจะเป็นฝ่ายถูก แต่ก็เดือดร้อนครับ ผมอยากให้ฝึกการยกเท้าจากคันเร่ง มาเหยียบแป้นเบรคอย่างเร็วที่สุด (แต่ไม่ต้องแรงที่สุด) ให้คุ้นเคยจนเป็นนิสัย ฝึกได้ทุกครั้งที่ต้องเบรคครับ หรือแม้แต่จอดดับเครื่องอยู่ก็ฝึกได้ ถ้าฝึกจนชำนาญ และกลายเป็นสัญชาตญาณแล้ว และรักษาระยะตามที่ปลอดภัยไว้ โอกาสชนท้ายคันหน้าจะเป็นศูนย์ครับ ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ก่อนจบผมขอฝากการตรวจรถด้วยตนเองก่อนเดินทางไกลในเทศกาลนี้ไว้ การให้ช่างตรวจสภาพนั้น เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่ช่างไม่ได้รอบคอบทุกคนเสมอไป และไม่ต้องมาเดือดร้อนกลางทางเหมือนเราครับ 1. ตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำ และหม้อพักขณะเครื่อง “เย็น” 2. ตรวจระดับน้ำมันเครื่อง 3. ตรวจสภาพท่อน้ำหลัก ที่เข้าและออกจากหม้อน้ำ (เส้นใหญ่ที่สุด 2 เส้น ถ้าไม่อยู่บนและล่าง ก็ซ้ายและขวา) 4. ตรวจสภาพสายพาน ด้วยการมองอย่างละเอียด ติดเครื่องยนต์ใหม่ แค่อึดใจ แล้วดับแล้วตรวจอีก เพื่อให้สายพานเปลี่ยนตำแหน่งที่เรามองเห็น ทำอย่างนี้สัก 4 ครั้ง 5. ตรวจระดับน้ำมันเบรคในถ้วย และ 6. ตรวจลมยางทุกล้อ และล้ออะไหล่ด้วย ถ้าทำได้ครบ โอกาสไปเสียกลางทางมีน้อยมากครับ ถ้าอยู่เมืองหลวงขึ้นเหนือสุดแล้ว แล้วกลับลงมาใต้สุด ยังสบายครับ เลิกกังวลได้ และข้อสำคัญไม่ต้องให้รถพักนะครับ พักแต่คนเท่านั้น เขาสร้างมาให้ถูกใช้งานได้เป็นหมื่นกิโลเมตรโดยไม่ต้องทำอะไรนะครับ ถ้าบำรุงรักษาไว้อย่างถูกต้องแล้ว
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/161052