รู้ไว้ใช่ว่า
ใช้รถอย่ารั่ว
ไม่กี่วันมาแล้ว ผมอยู่ที่คลีนิคของคุณหมอที่รักและนับถือ มองไปหน้าร้าน ภาพที่เห็น คือ "ความรั่ว" ของคนใช้รถ หากเป็นเมืองกรุง ตำรวจน่าจะ "งานเข้า" เผลอๆ รถของมูลนิธิมีงานด้วย
คือ อย่างนี้ครับ มีรถเก๋งรุ่นเล็กจอดชิดฟุตบาทหน้าร้าน กำลังจะออก เจ้าของติดเครื่องแล้วปรากฏว่าออกไม่ได้ มีรถกระบะสีขาวค่อนข้างใหม่ แล่นมาจอดเบียดข้างๆ ซะงั้น รถเก๋งจอดติดอยู่อย่างเดิม เลี้ยวขวาก็ไม่ได้ สักพักหนึ่ง คนขับรถเก๋งบีบแตร ดังเอาการ คาดว่ารถกระบะคงรีบเดินหน้าให้ทางรถเก๋ง แต่พี่ท่านอ้อยอิ่ง ขยับให้นิดหนึ่ง รถเก๋งยังออกไม่ได้อยู่ดี ต้องอดทนใช้ความพยายาม เอาหัวรถเบนออกเต็มที่ ให้พ้นท้ายรถกระบะ อย่างทุลักทุเล จึงตั้งลำขับออกไปได้
เชื่อไหม คนบนรถกระบะ อยู่ในนั้นทั้งคนขับด้วย แต่ไม่สนใจที่จะให้รถเก๋งออกไปได้ ตาม ปกติ แสดงรั่วอย่างหนัก และไร้มารยาทแบบเลวชาติ
หากเป็นเมืองใหญ่ ผู้คนใจร้อนเรื่องรถ จนเกิดอาการรั่ว ประสาทเสีย ผมคงตั้งท่าหลบลูกหลงไว้ก่อน คนบนรถเก๋งอาจงัดกระสุนมาแจกให้พวกบนรถกระบะ ชนิดเผาขน มีหรือจะเหลือ หากเป็นวัยรุ่น คิดยาวหน่อย อาจย่อมตามรถกระบะ ไปดักตีพวกที่รั่วอยู่ในนั้น ให้เป็นข่าวประจำวัน โดนข้อหาโหดร้าย หากไม่รู้เบื้องหลังว่า คนบนรถกระบะรั่วอย่างแรง จนคนอื่นอดรนทนไม่ไหว
เทศกาลใดๆ หรือปีใหม่ ใครๆ ก็อยากร่าเริง แต่ต้องระวังการใช้รถบนท้องถนน อย่าทำตัวรั่วจนคนอื่นทนไม่ได้ แล้วเหตุด่วนเหตุร้ายตามมา ส่งผลให้ชีวิตเราอาจรั่วตลอดกาล ดังตัวอย่างมากมาย นะครับ
คดีนี้ให้ชื่อว่า "เด็กทำเหตุ ตำรวจจุก"
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ "บริษัท อุตส่าห์พยายาม ประกันภัย จำกัด" ตั้งตัวเป็นโจทก์ อ้างว่าบริษัทรับประกันภัย รถกระบะและรถบรรทุกหกล้อ แล้ว "จสต. เคร่งจัด" หยุดรถกระบะตราโล่ของโรงพัก โดดลงไปห้ามวัยรุ่นทะเลาะวิวาท โดยดับเครื่องยนต์แต่เสียบกุญแจคาไว้ คงรีบร้อน ปล่อยให้ ดช. หนึ่ง ดช. สอง กับ ดช.สาม อยู่บนรถ ยังไม่ทันนำส่งสถานพินิจ ด.ช.หนึ่ง ฉวยโอกาส ขับรถกระบะและเร่งความเร็วด้วยความมัน เจอโค้งไปไม่เป็น รถยนต์เสียหลักข้ามเกาะกลางถนน ชนเสาไฟฟ้า และเฉี่ยวชนรถยนต์ทั้งสอง ที่โจทก์รับประกันภัยไว้จนเสียหาย บริษัทเอาไปซ่อม จึงฟ้องเป็นคดีนี้ บังคับเด็กทั้ง 3 คน จ่าเคร่งจัด กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายคืนแก่บริษัท ราวๆ 3 แสน 6 หมื่นบาท พร้อมดอกเบี้ย
เด็กทำเหตุ อายุ 14 ปี ทั้ง 3 คน ขาดนัดยื่นคำให้การ จ่าเคร่งจัด และ สตช. สู้คดีให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นนั่งบัลลังก์ พิจารณาแล้ว ตัดสิน ให้จำเลยที่ 1 คือ ดช. หนึ่ง และจ่าเคร่งจัด ร่วมจ่ายเงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้อง ดช. สอง ดช. สาม จำเลยที่ 2, 3 ซึ่งนั่งอกสั่นขวัญแขวนคิดว่าได้ไปเกิดใหม่ และ สตช. จำเลยที่ 5
จ่าเคร่งจัด จำเลยที่ 4 สั่นหัวดิก รับไม่ไหวกับการเสียเงินหลายแสนบาท ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ยกฟ้องจ่าเคร่งจัด เลยที่ 4 ด้วย ให้บริษัทประกันโจทก์ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสองศาลแทนคุณจ่า พร้อมค่าทนาย 1 หมื่นบาท ส่วน ดช. หนึ่ง ให้เป็นไปตามศาลแรก
โจทก์ คือ บริษัท อุตส่าห์พยายาม ประกันภัย จำกัด ดูท่าจะแย่ คว้า ดช. หนึ่ง มาได้คนเดียว จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย จึงยื่นฎีกาสะกัด จ่าเคร่งจัด และ สตช. จึงจะได้เงิน
ศาลฎีกาคว้าคดีนี้มาส่องดูแล้วชี้ว่า ความเสียหายเกิดจากการละเมิดของ ดช. หนึ่ง จำเลยที่ 1 การที่จ่าเคร่งจัด จำเลยที่ 4 ดับเครื่องยนต์ ลงจากรถ ไม่ได้นำกุญแจรถติดไปด้วย ไม่ใช่ผลโดยตรงที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ในการกระทำตามหน้าที่ กุญแจคาไว้เฉยๆ รถวิ่งไม่ได้ดอก
มาดูอีกว่า จ่าเคร่งจัด ต้องร่วมรับผิดในการละเมิดของ ดช. หนึ่ง ไหม เมื่อบริษัทประกันฯ ยันว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 อยู่ในความดูแลของจ่า จ่าเป็นตัวการ เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ต้องรับผิดตามร่วม แบบเดียวกับ ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นชั่วครั้งชั่วคราว
แต่ศาลฎีกามองว่างานนี้ ผู้รับดูแลต้องมีเจตนารับดูแล อาจเกิดจากหน้าที่ตามกฎหมาย ตามสัญญา ตามวิชาชีพ หรือตามพฤติการณ์ การที่ จ่าเคร่งจัด ขับรถทางราชการนำจำเลยที่ 1 กับพวกส่งสถานพินิจฯ เป็นหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด เขาไม่มีเจตนารับดูแล จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 430 ที่จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ถ้าจะให้รับผิด จ่าเคร่งจัดต้องมีเจตนารับดูแล ตามกฎหมาย ตามสัญญา ตามวิชาชีพ ตามพฤติการณ์
งานนี้จ่าทำตามกฎหมายกำหนด แต่ไม่มีเจตนารับดูแล ส่วนการรับผิดตามพรบ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พศ. 2539 ศาลฎีกามองว่า เป็นเรื่องหน่วย งานของรัฐ ต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่ง
ละเมิด ที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ งานนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐได้โดยตรง ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 4 คือ จ่าเคร่งจัด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกา โจทก์ฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกา ขอพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ละนะ ให้โจทก์ตามบี้ ดช. หนึ่ง จำเลยที่ 1 ได้คนเดียว เวรกรรมแต้ๆ
เป็นอุทาหรณ์สอนใจผู้ใหญ่ ทิ้งรถไว้กับเด็ก เผลอๆ ไม่มีกุญแจ ยังพารถไปก่อเหตุ ตาเหลือกเชียวละ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12979/2558
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2560
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/156350