ร่มไม้ชายศาล
รักจนดวงจู๋
วันข้างหน้า หรืออนาคต คนเราต่างมุ่งมั่น ปั้นแต่งให้ตนเองเจริญก้าวหน้า หนีการตกอับทั้งนั้น แต่มีสิ่งจูงใจมากมาย และเป็นเหตุให้เผยธาตุแท้ จนชีวิตถูกกลบฝัง เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรื่องยากลงมือฆ่าตนเองซะงั้น ด้วยกรณีต่างๆ เช่น ประจานตนในที่สาธารณะ ด้วยเข้าใจว่า ไม่ใช่เรื่องป่าเถื่อน ชนชั้นอย่างเรา ทำได้สิ เฮ้ย โซเชียลมีเดียคอยแฉ ลงในยูทูบ ยิ่งดูไม่จืด คือ เค็ม และวินาศสนิท คลิพวีดีไม่ลบง่ายๆ ผู้คนสนใจ ซึ่งเป็นการตอกย้ำ การประจาน และศาลได้เห็นอีกด้วย เมื่อก่อนไม่มีหรอก เกิดเหตุแล้วโก่งคอเถียงบนศาล ได้ทนายเจ๋งๆ พ้นผิดได้เหมือนกัน
สังคมไทยยังเข้าใจว่า รถยนต์ คือ สิ่งเชิดหน้าชูตา ลงท้ายรถยนต์พาเข้าป่าช้า โรงพัก อัยการศาล คุก เมื่อได้คิด และเงินนำมายุติความบกพร่องร้ายแรงไม่ได้ ลบพฤติกรรมเลวแบบจะๆ ไม่ได้ ถึงจะสำนึก เออว่ะ ชีวิตเรามีค่ากว่ารถนี่นา เรียกประกันก็ได้ รถระดับ 100 ล้านบาท ยังซ่อมได้ แต่มันสายบ่ายค่ำมืดไปซะแล้ว
เมื่อถึงศาล จะรู้ว่า ตบตาท่านเปาของไทยไม่ได้หรอก ฟังไอ้ที่เพ้อเจ้อชนะแหงๆ ไปเหอะ เอาเข้าจริง มักโดนหนักกว่าคนปกติ มีหน้ามีตา หรือคิดว่ารวยอาจสอบตกเรื่องกฎหมาย ผลที่เจอ คาดไม่ถึง มันเป็นคดีอาญาแผ่นดิน อนาคตจะหลุดจากกำมือหงิกๆ ตัวอย่างมีอยู่ ชาวบ้านเดินดินยังรู้นี่นา ว่าใครมั่ง แล้วยังมีคนเอาอย่าง ไม่เข็ดกันเนอะ
งานนี้สอนให้รู้ว่า รถ มีนี คันทรีแมน เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ต้องเคารพบูชางั้นเหรอ ครานี้ถ้าเป็นรถหรูราคานับสิบๆ ล้านบาท คนไทยตามท้องถนน มิต้องพกธูปเทียนติดตัว เผื่อมีเหตุเจ้าของบังคับให้ กราบรถกู ขัดขืนโดนกระหน่ำด้วยปืนกล ไม่ใช่แค่ปืนพก เอ็งต้องตายอย่างในหนังบู๊ ในเมื่อรถเขาศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้น เจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องยกให้ชาวบ้านหนาวกับกรณีนี้เชียวละ ฮา ฮา ฮา ก็นะ...คดีเจตนาทำร้ายร่างกาย คลิพวีดีโอจะแจ้ง ลากตัวเขาจากอีกฝั่งของถนน ด่าหยาบคาย ตบหน้าใช้หมัดต่อยอย่างแรง จนดั้งจมูกหัก และบังคับให้กราบรถกู
นั่นคือ ทำร้ายจนเจ้าทุกข์เจ็บสาหัส มันยอมความไม่ได้...ข้อหาอื่นๆ อีกล่ะ ตำรวจท้องที่แม้เป็นญาติโยม ก็ยึกยักไม่ไหว ปกป้องไม่ได้ เดี๋ยวโดนเอง ตำรวจเขาเข็ดนะ เพราะคนพากัน จับตามอง ทั่วสารทิศ อยู่ในมุ้งที่บ้าน ก็เห็นคลิพจะๆ ยิ่งกว่า บัวขาว ชกกับ อี้หลง
เฮ้อ ถ่อสังขารไปชกกับเขาทำไม ให้โดนโกงง่ายๆ ขนาดนั้น อ้อ งานนี้คนขับมอเตอร์ไซค์มีสติเยอะจัด ไม่สวน ไม่โต้ตอบ โดนทำร้ายข้างเดียวแท้ๆ เออผู้ดีซะงั้น อ้อ อีกฝ่ายยังจินตนาการว่า อั๊วลงมือเพื่อป้องกันตัว อ้างแบบนี้ ถือว่าฉีกตำรากฎหมายทิ้งลงส้วมเลยครับ
ลงเอยด้วยคดีรถอย่างเคยให้หายเซ็ง เพื่อไม่ให้งง จึงกำหนดให้ นายเลื่อมใส รถเยอะ คือ โจทก์
หจก. ขายรถรุ่งเรื่องจัด คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเจ๊งไปแล้ว เพราะขายรถส่งเดช ทำให้โจทก์เดือดร้อน
นางบูชา รถเสมอ คือ จำเลยที่ 2 ซึ่งสู้คดีและฟ้องแย้งโจทก์จะเอารถคืนด้วยโจทก์ต้อนจำเลยขึ้นศาล ฟ้องคดีแพ่ง อ้างว่าซื้อรถกระบะ จากจำเลยที่ 1 จ่ายเงินแล้ว จึงติดต่อให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบทะเบียน หลักฐานการโอน จำเลยที่ 1 ผัดผ่อนเรื่อยมาจนเลิกกิจการ คงไม่รุ่งเรืองจัดสมชื่อ ต่อมาโจทก์รู้ว่า รถนั้นเดิมเป็นของ นางบูชา รถเสมอ ซึ่งโดนฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 แล้วขายให้จำเลยที่ 1 แต่ชื่อในทะเบียนยังเป็นของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงขอให้ศาลออกแรงบังคับจำเลยทั้ง 2 ส่งมอบทะเบียนรถ ไม่งั้นให้มีคำสั่งถึงนายทะเบียนยานพาหนะ ออกทะเบียน หรือใบแทน ลงชื่อโจทก์ ตอนนี้รถอยู่กับโจทก์แล้วละ จะได้เสียภาษีซะที
จำเลยที่ 2 สู้คดี และศอกกลับ ด้วยการฟ้องแย้ง จะเอารถคืน โจทก์สั่นหัวไม่จ่ายเงินคืนให้จำเลยที่ 1 แล้วนี่นา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิ์ดีกว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของแท้จริงตัดสินยกฟ้อง และให้โจทก์คืนรถแก่จำเลยที่ 2 คืนไม่ได้ ให้ใช้ราคา โจทก์ยื่นอุทธรณ์ เพื่อกลับมาชนะ ศาลอุทธรณ์เล็งแล้ว พิพากษายืนโจทก์ คือ นายเลื่อมใส รถเยอะ อยากชนะให้จงได้ จึงยื่นฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การเช่าซื้อ ถ้าผู้เช่าซื้อใช้เงินครบ รถก็ตกเป็นของผู้เช่าซื้อ ถือว่าผู้เช่าซื้อซึ่งได้ใช้เงินครบถ้วนแล้ว เป็นผู้ซื้อทรัพย์สินตามความในมาตรา 1332 (ซึ่งเขียนไว้ว่าบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา)
หมายความว่าโจทก์ซื้อจากจำเลยที่ 1 อย่างถูกต้อง รถเป็นของใครก็ช่าง อยากเอาไปต้องใช้ราคายังเจออีกว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ขายรถให้หจก. จำเลยที่ 1 แต่ให้นายเคารพ รถแน่นอนเช่าไปแล้ว ไงไม่รู้จำเลยที่ 1 ดันขายให้โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขายของชนิดนั้น จึงเข้าข่ายตามมาตรา 1332 อย่างที่ว่า โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ แต่มีสิทธิ์ยึดทรัพย์ไว้ ไม่คืน เว้นแต่จำเลยที่ 2 จะชดใช้ราคาที่ซื้อมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ส่งมอบทะเบียน
ใส่ชื่อโจทก์ในทะเบียนอีกนั่นแหละ ศาลฎีกายอมเล็กน้อย พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 แต่ไม่ตัดสิทธิ์จำเลยที่ 2 เรียกรถนี้คืน (แต่ต้องใช้ราคา ตาม ม. 1332) อย่างงครับท่าน อ่านดีๆ จะมีประโยชน์ เทียบเคียงกับกรณี ทรัพย์สินอื่น เช่น มือถือ กล้อง ฯลฯ ตกไปเป็นของร้านค้า เอามาวางขาย เราจำได้ เขาไม่ยอมคืน จะเรียกราคา เราใช้ ปพพ. 1332 ยัน หากเขาไม่ได้ซื้อมาโดยสุจริต จากการขายทอดตลาด หรือท้องตลาด
หรือพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้น ขัดขืนเข้าข่ายเจออาญา ฐานรับของโจร
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2507
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/154230