สารคดี(formula)
รถยนต์พระที่นั่งในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตอนที่ 1
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ในรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐในทุกๆ ด้าน
- บทความในเดือนอันแสนทุกข์ระทมนี้ จะเฉลิมพระเกียรติรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ในพระปรีชาชาญด้านรถยนต์ ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์
- พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยที่เฉียบแหลมในการเลือกรถยนต์ทรงใช้ ทรงงาน และนำไปสู่การเสด็จเยี่ยมเหล่าพสกนิกรทั่วประเทศ
- ยิ่งกว่านั้น ยังทรงพระปรีชาในการใช้รถยนต์เพื่อประกาศศักดิ์ศรีของชาติไทย เพื่อส่งเสริมความเป็นชาติ ความเป็นปึกแผ่นของชาวไทย ทั้งยังทรงใช้รถยนต์สอนพสกนิกรในปรัชญาความพอเพียง ด้วยการเลือกรถยนต์ที่ทรงใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ
- ตลอดรัชสมัยอันยาวนาน มีรถยนต์ชั้นยอดเยี่ยมของโลกหลายรุ่น ได้รับสนองงานแก่พระเจ้าแผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
ช่วงที่ 1 ราชรถเมื่อทรงพระเยาว์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงผูกพันกับรถยนต์ ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ มีแรงบันดาลพระทัยมาจาก สมเด็จพระบรมราชชนนี และการท่องเที่ยวโดยรถยนต์ในภูมิประเทศแถบที่ประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิทเซอร์แลนด์ เขตติดกับประเทศฝรั่งเศส สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงโปรดเมืองโลซานน์ด้วยเคยโดยเสด็จ สมเด็จพระบรมราชชนก มาก่อน โลซานน์เป็นเมืองที่มีอากาศดี รวมถึงเป็นเมืองศูนย์กลางการศึกษา จึงเหมาะกับการเป็นที่พำนักของพระโอรสทั้ง 2 พระองค์ รถ เดอลาเฮย์ (DELAHAYE) เป็นรถยนต์ชั้นสูง ผลิตจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีรูปทรงสวยงาม เป็นที่นิยมในสวิทเซอร์แลนด์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 เริ่มสนพระทัยรถ เดอลาเฮย์ จากพระประสบการณ์การท่องเที่ยวทางรถยนต์เมื่อทรงพระเยาว์นี้เอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์ และพระบรมราชชนนี ประพาสในแบบส่วนพระองค์ด้วยรถ เดอลาเฮย์ และ ซาล์มซง เอส 4 (SALMSON) โดยบแรนด์หลังนั้นถือว่าเป็นรถเทคนิคสูงจากผู้ผลิตเครื่องบินและรถยนต์แห่งบูโลนญ์ ประเทศฝรั่งเศส มีรูปร่างเรียบง่าย หรูหราน้อยกว่า เดอลาเฮย์ รถทรงองค์ต่อมาเป็น เมร์เซเดส-เบนซ์ นืร์บวร์ก 500 (คันในภาพเป็นคันที่ทรงใช้จริง) รถยนต์พระที่นั่งที่รัฐบาลไทยจัดถวายเพื่อให้สมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 8 โดย เมร์เซเดส-เบนซ์ นืร์บวร์ก 500 จะเป็นแชสซีส์รุ่นรองลงมาจาก เมร์เซเดส-เบนซ์ 770 เค กรอสเซร์ แต่ก็ยังถือว่าเป็นรถที่ใหญ่โต และโออ่ามาก ทั้ง 3 บแรนด์ เป็นราชรถขณะทรงพำนักในสวิทเซอร์แลนด์ รถชั้นเยี่ยมอย่าง เดอลาเฮย์ และเมร์เซเดส-เบนซ์ ในกาลต่อมาจะเป็นรถทรงในช่วงต้นรัชกาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 ที่ชาวไทยยุคกึ่งพุทธกาลรู้จักกันดี ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 ทั้ง 2 พระองค์จะเสด็จไปยังสวิทเซอร์แลนด์นั้น ได้ทรงรถหลวงในประเทศไทย ที่สืบทอดมาจากรัชกาลก่อนๆ มาบ้างแล้ว เช่น วันเดอเรอร์ ตอนเดียว/เฟียต ติโป 101 ตอนเดียว ,เดมเลอร์ 25/45 เอชพี เพียงแต่จะกล่าวถึงเฉพาะรถทรงที่ใกล้ชิดเมื่อประทับอยู่ที่สวิทเซอร์แลนด์เป็นหลัก- เดอลาเฮย์ 134 กับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์ และสมเด็จพระบรมราชชนนี
ช่วงที่ 2 ยุวราชา เมื่อทรงรถโดยพระองค์เอง
เมื่อทรงเจริญพระชันษา ได้ทรงขอพระราชทานอนุญาตจาก สมเด็จพระบรมราชชนนี เพื่อทรงซื้อ เฟียต โตโปลีโน เพราะ "…ดู ตลก และน่ารักดี" โดยมี พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภานุเดช นักแข่งเจ้าดาราทอง ผู้มีชื่อเสียงทั่วยุโรปถวายการฝึกขับรถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 ทั้ง 2 พระองค์โดยเสด็จสมเด็จพระราชชนนี และพระพี่นางเธอ ไปชม พระองค์เจ้าพีระ แข่งในนาม พ. พีระ ในการแข่งขัน PRIX DE BERNE 1936 ตั้งแต่ครั้งก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเสวยราชย์เป็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในรัชกาลที่ 9 แล้ว และเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อที่สวิทเซอร์แลนด์ ได้ทรงซื้อรถ เดอลาเฮย์ 135 เอม สปอร์ท 2 ประตูเปิดประทุนสีแดง รถพระที่นั่งองค์นี้เป็นรถพระที่นั่งองค์สำคัญที่ทรงใช้เมื่อแรกพบ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และทรงนำกลับมาใช้ในประเทศไทยด้วย เป็นรถที่ทรง เพื่อไปตรวจเหตุการณ์ไฟไหม้ตลาดบ้านโป่ง โดยมี สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จไปเพียง 2 พระองค์ ขบวนติดตามของข้าราชบริพาร เร่งเดินทางตามหลัง แต่ไปทันรถ เดอลาเฮย์ ที่นครปฐม เมื่อล้นเกล้าฯ ทั้ง 2 พระองค์หยุดเสวยพระกระยาหารกลางวัน หลังจากเสด็จนิวัติพระนคร ได้ทรงสั่งซื้อ เดอลาเฮย์ 135, 178 และ 180 เป็นรถพระที่นั่งส่วนพระองค์อีกหลายคัน ทั้งแบบ 4 ประตู, 4 ประตูลีมูซีน 6 หน้าต่าง, แบบแวกอน และรถ AMILCAR C.O. ที่ใช้เครื่องยนต์ SIMCA 1,200 ซีซี เกียร์ไฟฟ้า ที่ดูคล้ายกันอีกด้วย ส่วนราชรถหลักในงานพระราชพิธี เป็นรถจากประเทศอังกฤษ ได้แก่ เดมเลอร์ ดีอี 36 ตัวถังโดย ฮูเพอร์ แบบเดียวกับพระราชินีอังกฤษ และผู้นำของนานาประเทศในยุคนั้น และมี แจกวาร์ มาร์ค 7 เอม และ อาร์มสตรอง ซิดเดอลีย์ แซพไฟร์ เป็นราชรถรอง ในระยะนี้ ทรงสนพระทัยในรถอเมริกัน ตามยุคสมัยเช่นเดียวกับพระองค์เจ้าพีระ ผู้เป็นองค์ที่ปรึกษา ทรงซื้อ แคดิลแลค ฟลีทวูด ซีรีส์ 62 4 ประตู ปี 1955 เป็นรถส่วนพระองค์ช่วงที่ 3 เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เมื่อเสด็จนิวัติพระนคร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชการที่ 9 ได้ทรงออกเยี่ยมพสกนิกรไปทั่วทุกภาค เมื่อเสด็จออกต่างจังหวัดอันห่างไกล จะทรงราชรถพลังสูง ที่มีกำลังโดดเด่นในยุคนั้น ได้แก่ เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 แบบเดียวกับที่รู้จักกันดีในชื่อ "เบนซ์อาเดนนาวเออร์" ที่ทรงมีครบทุกรุ่น ทั้ง 300 (มักเรียกกันเองว่า 300 "เอ"), 300 บี, 300 ซี และ 300 ดี ที่ใช้เครื่องยนต์หัวฉีด อันเป็นอุปกรณ์ล้ำยุคในเวลานั้น เหตุการณ์อันเป็นตำนานที่เสด็จ อ. วังทอง จ. พิษณุโลก และ อ. ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช ด้วยราชรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 ยังได้รับการกล่าวขานจนถึงทุกวันนี้ ระหว่างเสด็จ อ. วังทอง จ. พิษณุโลก ราชรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เกิดเหตุท่อไอเสียหลุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงประทับอยู่กับขบวนข้าราชบริพารระหว่างเจ้าหน้าที่ทำการซ่อมแซมกลางป่าเขา โดยมิได้ทรงปริวิตกใดๆ ภาพที่คุ้นเคย ในกรอบหน้าต่างของ เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 ดี ในภาพเมื่อเสด็จ อ. ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช เสด็จไปท้องถิ่นที่ห่างไกลด้วย เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เมื่อเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในถิ่นทุรกันดารมากขึ้น จึงทรงมีความจำเป็น ต้องใช้งานรถ จีพ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทรงโปรดใช้ เดอลาเฮย์ วีแอลอาร์ แบบ จีพ, แลนด์ โรเวอร์ และ เรนจ์ โรเวอร์ หลายซีรีส์, จีพ ทั้งแบบ วิลลีส์ 1/4 ตัน ของอเมริกัน และ แวกอเนียร์ อันเป็นบรรพบุรุษของรถ เอสยูวี ชั้นหรูหรา ในยุคปัจจุบัน รถอเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อเหล่านี้ทำให้ทรงเยี่ยมเยือนดูแลเหล่าพสกนิกร ได้อย่างทั่วถึง ทุกเขตแคว้นในพระราชอาณาจักร ทั้งบนทางที่ไม่เป็นถนน ทั้งบนบก และในเส้นทางที่ต้องทรงขับลุยน้ำลึก ภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รัก ทรงราชรถ จีพ บุกป่าฝ่าดง ลุยลำธาร ปีนขึ้นภูเขา ต่างประทับอยู่ในความทรงจำของปวงชนชาวไทย เป็นเวลานานหลายสิบปีเรื่องโดย : ดร. สมคนึง ตัณฑ์วรกุล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : สารคดี(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/152068