สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
พิทักษ์ พฤทธิสาริกร
"ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ พิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัดฟอร์มูลา : คุณมองภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้อย่างไร ? พิทักษ์ : ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้ ยังอยู่ในสภาวะชะลอตัว ตลาดรถยนต์กับเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจน มันฝืนเศรษฐกิจไม่ได้ มีผลต่อเนื่องมาจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้กำลังซื้อหายไปค่อนข้างมาก รวมถึงเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ส่วนที่เกี่ยวกับรถยนต์ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องรถคันแรก ที่ดึงเอาความต้องการในอนาคตมาใช้ ถ้าหลังจากนโยบายรถคันแรกสิ้นสุดลงแล้วเศรษฐกิจกลับมาก็จะสร้างกำลังซื้อใหม่ได้ แต่ในความเป็นจริงเศรษฐกิจชะลอตัวมาได้ 2 ปี เนื่องจากเหตุผลทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจโลกด้วย ทำให้กำลังซื้อยังไม่ดีขึ้น ประกอบกับหลังจากรถคันแรกยังมีสตอคอยู่ในมือของผู้ผลิตค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นการเอากำลังซื้อในอนาคตมาใช้กันมากเกิน อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูอีกสักระยะหนึ่ง เพราะยังมีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่คาดหวังได้ตอนนี้ คือ การเร่งจ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐ และก่อนที่ภาษีสรรพสามิตระบบใหม่ จะเริ่มใช้ในเดือนมกราคม 2559 อาจจะมีการเร่งซื้อภายในปีนี้บ้างเล็กน้อย การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ รวมกับแคมเปญส่งเสริมการขาย ซึ่งจะช่วยส่งผลบวกในปีนี้ คาดว่าภาพรวมของรถยนต์ปีนี้คงไม่แตกต่างจากปีที่แล้ว ซึ่งปีที่แล้วมียอดขายรวม 880,000 คัน ปีนี้น่าจะจบประมาณ 900,000 คัน ฟอร์มูลา : ภาพรวมของ ฮอนดา เป็นอย่างไร ? พิทักษ์ : สำหรับ ฮอนดา ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นที่น่าพอใจกับในสถานการณ์โดยรวมของรถยนต์นั่ง โดยล่าสุดสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 30 % ซึ่งสาเหตุหลักน่าจะมาจากที่ ฮอนดา มีพโรดัคท์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ทุกไลฟ์สไตล์ ซึ่งในอดีตรถยนต์นั่งในประเทศไทยก็จะมีแค่ซีดานกับแฮทช์แบคเป็นหลัก แต่ช่วงหลังลูกค้าจะมีความต้องการที่หลากหลาย การใช้ชีวิตมีไลฟ์สไตล์ อีกทั้งรถยนต์ในกลุ่ม เอสยูวี เริ่มเข้ามาและได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตัวหลักก็ยังคงเป็นกลุ่มรถยนต์นั่งซีดาน เช่น ซิที แจซซ์ โดยตลาดตรงนี้ ฮอนดา ก็ทำได้ดีมาโดยตลอด ในกลุ่มรถยนต์ เอสยูวี เอมพีวี ฮอนดา ก็มี รุ่น เอชอาร์-วี ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่แล้ว และถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ ฮอนดา ยังสามารถทำยอดขายเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตลาดโดยรวมจะไม่ดี ฟอร์มูลา : ฮอนดา วางแผนและทิศทางการดำเนินงานไว้อย่างไร ? พิทักษ์ : สิ่งสำคัญ คือ ต้องรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ไว้ ซึ่ง ฮอนดา มีลูกค้าอยู่มากกว่า 1,400,000 คันที่ใช้งานอยู่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ ฮอนดา ให้ความสำคัญและต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบริการ พร้อมกับสร้างฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ เป็นสิ่งที่ ฮอนดา ทำมาโดยตลอดในช่วง 2-3 ปีนี้ เห็นได้จากการนำรถยนต์ในกลุ่มอเนกประสงค์เข้ามาทำตลาดมากยิ่งขึ้น ทั้ง เอสยูวี และ เอมพีวี ฟอร์มูลา : ปีนี้จะมีรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดกี่รุ่น ? พิทักษ์ : สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ฮอนดา มีแนะนำออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ปีนี้คงไม่มากเหมือนปีที่แล้ว เพราะอย่างไร ฮอนดา ก็ยังคงดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทั้งระยะกลาง และระยะยาว ฟอร์มูลา : แนวโน้มรถยนต์นั่งกำลังมาแรง ฮอนดา เตรียมความพร้อมในการรุกตลาดไว้อย่างไร ? พิทักษ์ : ความหลากหลายในการใช้รถยนต์มีมากขึ้น ซึ่งในอดีตจะเป็นสเตพ เริ่มจาก เก๋งเล็ก กลาง และใหญ่ แต่ปัจจุบันมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น มีรถหลากหลายเซกเมนท์ ไม่ว่าจะเป็น เอสยูวี เอมพีวี สเตพ และ พีพีวี และผู้บริโภคหันมานิยมรถอเนกประสงค์มากขึ้น ในจุดนี้ ฮอนดา มีการเตรียมความพร้อมนำรถยนต์รุ่นใหม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอยู่แล้ว เมื่อตลาดมีความพร้อมและต้องการ ฮอนดา ก็จะสามารถตอบสนองได้ทันที ฟอร์มูลา : ถือว่า ฮอนดา เป็นผู้นำทเรนด์รถในเมืองไทยใช่หรือไม่ ? พิทักษ์ : อันนี้เป็นภารกิจของ ฮอนดา ที่ทำมาตลอด ฮอนดา มักจะนำเสนอรถในกลุ่มใหม่ๆ ตลอด ถ้ามองย้อนกลับไป ไม่ว่าจะเป็น ฮอนดา แจซซ์/ซีอาร์-วี หรือ สเตพแวกอน โดยพยายามที่จะนำเสนอความหลากหลายให้แก่ลูกค้า ในอนาคตรถกลุ่มอเนกประสงค์จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สำหรับ ฮอนดา ก็เตรียมไว้ทุกรุ่นเพื่อจะรองรับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ฟอร์มูลา : การแข่งขันในตลาดจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ? พิทักษ์ : ภาพรวมของการแข่งขันมีความรุนแรงมาสักระยะหนึ่งแล้ว และก็ยังคงรุนแรงอย่างนี้ต่อไป เพราะว่ามีผู้ผลิตรายใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ ทำให้มีผู้ผลิตเข้ามาในประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการอีโคคาร์ 1 ตามมาด้วยอีโคคาร์ 2 และโครงการอื่นๆ ที่พูดถึงในอนาคต หลังจากนี้ตลาดของบ้านเราก็ไม่สามารถคาดหวังจะขยายตัวอย่างรวดเร็วได้ มันจะค่อยๆ โต มันจะไม่โตกว่านี้เท่าไร แต่ในขณะที่กำลังการผลิตของประเทศสูงมาก ถ้าเพิ่มขึ้นอีกตามแผนอีโคคาร์ 2 ก็จะกลายเป็นว่ากว่า 75 % เป็นการผลิตเพื่อส่งออก ทั้งๆ ที่ตลาดในประเทศมีแค่ 1 ใน 4 ของกำลังการผลิตที่มีอยู่ และจะมีในอนาคต เป็นการพึ่งการส่งออกในอัตราที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ทุกคนมีการผลิตแล้วย่อมต้องผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศด้วย ฉะนั้นการแข่งขันในประเทศมันก็จะสูงขึ้น ฟอร์มูลา : รูปแบบการแข่งขันตอนนี้เป็นอย่างไร ? พิทักษ์ : ตอนนี้จะเป็นเรื่องของแคมเปญเป็นหลัก ซึ่งในระยะยาวมันไม่ได้เป็นประโยชน์ เพราะว่าราคารถมือ 2 ก็จะลดลงไปตามสิ่งที่ให้ในตอนแรก ฉะนั้น ฮอนดา พยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ไปลงหนักในเรื่องของแคมเปญ อย่างที่เห็นว่าการให้บริการ หรือการสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าในเชิงของบริการมันมีความสำคัญมากกว่า แน่นอนว่าในเรื่องของมาร์เกทิง การทำแคมเปญก็ต้องมีบ้าง แต่ไม่อยากให้มีมากไปกว่านี้ ฟอร์มูลา : ด้านบริการ ฮอนดา มีการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้นหรือไม่ ? พิทักษ์ : ปัจจุบัน ฮอนดา มีโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ 214 แห่ง และสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 226 แห่ง ซึ่ง ฮอนดา มีแผนงานการขยายศูนย์บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้า เพราะเมื่อขายรถออกไปแล้วก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องการดูแลบริการหลังการขาย ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องขยายศูนย์บริการให้ครอบคลุมและเพียงพอสำหรับลูกค้า ส่วนการพัฒนารูปแบบใหม่นั้น ผมมองว่าพื้นฐานที่ทำอยู่ดีแล้ว แต่ต้องทำให้มีประสิทธิภาพ อย่าปล่อยให้ขาดมาตรฐาน ไม่ว่าจะเรื่องขาย หรือการบริการ แต่ถ้าตรงไหนที่มองว่าขาดประสิทธิภาพก็เข้าไปส่งเสริมและติดตามผล ฟอร์มูลา : ฮอนดา มีอะไรต้องปรับปรุงอีกหรือไม่ ? พิทักษ์ : หลักใหญ่ๆ ไม่มีอะไร นอกจากการเตรียมเรื่องการบริการเพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด เพราะถ้าเป็นเรื่องของพโรดัคท์ ไม่ใช่เป็นเรื่องระยะสั้น แต่เป็นแผนที่ ฮอนดา มุ่งมั่นมาโดยตลอด คือ การสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการผลิต ความปลอดภัย ไปจนถึงการใช้งาน และล่าสุด รถยนต์ ฮอนดา ทุกรุ่นที่ผลิตในประเทศไทยได้รับฉลากเขียวจากรัฐบาล ส่วนในระยะยาว ฮอนดา มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ต้องการเป็นบริษัท ฯ ที่สังคมต้องการให้ดำรงอยู่ ด้วยท่าทีที่นอบน้อมต่อสังคม ฮอนดา ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคชาวไทยมายาวนานกว่า 50 ปี ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เริ่มต้นจากการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ซึ่งตอนนี้มียอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ 23 ล้านคัน เครื่องยนต์อเนกประสงค์ 5,400,000 เครื่อง และรถยนต์ประมาณ 1,600,000 คัน ตั้งแต่ปี 2527 ตลอด 50 ปี มีผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของ ฮอนดา ไปประมาณ 30 ล้านชิ้นแล้ว นั่นคือความกรุณาของผู้บริโภคที่ทำให้ธุรกิจของ ฮอนดา เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะความเชื่อมั่นในบแรนด์ ฮอนดา ทั้งตัวพโรดัคท์และการทำงานขององค์กร เราต้องการทำธุรกิจแบบยั่งยืนควบคู่ไปกับสังคม ฉะนั้นก็ต้องให้อะไรตอบแทนสังคมด้วย ซึ่ง ฮอนดา ก็ทำกิจกรรมตอบแทนสังคมมาโดยตลอด หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 เราได้จัดตั้งกองทุน ฮอนดา เคียงข้างไทยขึ้นมา ตั้งแต่วันแรกที่กลับมาเปิดสายการผลิตใหม่ ทุกๆ คันของรถยนต์ ฮอนดา ที่เราจำหน่ายหักคันละ 1,000 บาท ทุกๆ คันของรถจักรยานยนต์ ฮอนดา ที่จำหน่ายหักคันละ 100 บาท ทุกๆ เครื่องยนต์ของ ฮอนดา หักเครื่องละ 10 บาท จะสะสมยอดจากตรงนี้ มาถึงตอนนี้มียอดโดยรวมกว่า 890 ล้านบาท ซึ่งเงินตรงนี้จะนำมาใช้ในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง จริงๆ เป็นความตั้งใจของ ฮอนดา ที่อยากจะทำแล้วได้โอกาสนี้พอดี การทำเพื่อสังคม ถ้าใช้งบประมาณปกติ มันมีโอกาสที่จะปรับขึ้นปรับลงตามสภาวะของเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัท แต่สำหรับ ฮอนดา สามารถแยกงบประมาณส่วนนี้ออกจากงบประมาณปกติได้ ฉะนั้น การดำเนินงานที่ตั้งใจไว้มันจะมีความต่อเนื่อง ไม่กระทบจากธุรกิจในช่วงเวลานั้น จึงสามารถทำหลายๆ สิ่งที่จะช่วยพี่น้องชาวไทย ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติอะไร ภัยหนาว ภัยแล้ง ดินถล่ม น้ำท่วม ฮอนดา ก็จะนำเงินส่วนนี้ไปบริจาคช่วยเหลือ และทำงานร่วมกับภาครัฐ ล่าสุด ฮอนดา ได้ทำโครงการที่ดีและมีความยั่งยืนมาก คือ การร่วมมือกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์ในการช่วยกันพัฒนาแหล่งน้ำชุมชน เป็นรูปแบบที่ให้ชุมชนนำเสนอโมเดลในการปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำเข้ามา และมูลนิธิอุทกพัฒน์ก็จะมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านน้ำเข้าไป ฮอนดา ก็เข้าไปสนับสนุนในเรื่องเงินทุนบางส่วน และเข้าไปมีส่วนในการช่วยคิดตรงนี้ ซึ่งตอนนี้ได้เริ่มเข้าไปร่วมโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรี ที่ อ. นาแขน และ อ. เมืองเก่า เป็นโครงการระยะยาว 2 ปี พัฒนาแหล่งน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง ที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำในโซนนี้ 8 แห่ง ทำงานร่วมกันกับ อบต. ชุมชนในท้องที่ ในการเก็บน้ำยามน้ำหลาก และนำน้ำมาใช้สำหรับการทำเกษตร และใช้อุปโภคบริโภคในยามน้ำแล้ง เป็นโครงการระดับชุมชน ที่จะทำให้ชุมชนเข้มแข็ง โครงการนี้ ฮอนดา ได้สนับสนุนเงินทุนประมาณ 20 ล้านบาท ฟอร์มูลา : ตอนนี้โรงงานแห่งที่ 2 ของ ฮอนดา ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว ? พิทักษ์ : ตอนนี้ก็ยังดำเนินงานคืบหน้าเป็นไปตามแผน ได้ประมาณ 80 % ประมาณเดือนตุลาคม จะเริ่มมีการผลิตในส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ชิ้นส่วน ปลายเดือนมีนาคม 2559 ก็จะเริ่มในส่วนการประกอบรถยนต์ พอถึงตอนนั้นกำลังการผลิตทั้งหมดของ ฮอนดา ก็จะเกือบๆ 4 แสนคัน ฟอร์มูลา : ตลอดระยะเวลา 50 ปี ฮอนดา เดินมาถูกทางมากน้อยแค่ไหน และก้าวต่อไปจะดำเนินไปในทิศทางใด ? พิทักษ์ : ผมคิดว่ามาถูกทางแล้ว ซึ่งคนที่จะประเมินว่ามาถูกหรือผิดก็คือผู้บริโภค จนถึงตอนนี้ ฮอนดา ก็จำหน่ายสินค้าไปมากกว่า 30 ล้านชิ้น ถ้าเกิดเดินมาไม่ถูกทางผู้บริโภคก็คงไม่ให้การตอบรับมากถึงขนาดนี้ เรามีท่าทีที่นอบน้อมต่อสังคม เราต้องการเป็นองค์กรที่ผู้บริโภคอยากให้ดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งการที่จะเป็นแบบนั้นได้ ก็ต้องครอบคลุมในทุกเรื่อง แน่นอนที่สุดคือผลิตสินค้าออกมาดีให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ทำกำไรแล้วคืนกำไรในรูปแบบของภาษี สร้างงานให้แก่แรงงานไทย คืนประโยชน์ให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ รูปแบบอย่างนี้ก็คงไม่เปลี่ยน เป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน ยืนอยู่เคียงข้างสังคมตลอดไป ฟอร์มูลา : ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ฮอนดา ประสบความสำเร็จในประเทศไทยคืออะไร ? พิทักษ์ : ฮอนดา มีหลักสำคัญ คือ มีปรัชญา ฮอนดา ที่ชัดเจน ตัวบุคคลอาจมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา แต่หลักในการทำธุรกิจของ ฮอนดา ไม่เคยเปลี่ยน มีปรัชญา ฮอนดา เป็นแกนสำคัญในการทำธุรกิจ อยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ 1. ความยินดี 3 ประการ ได้แก่ "ยินดีในการได้สร้างสรรค์" คือ การคิดอยู่เสมอที่จะนำเสนอพโรดัคท์ใหม่ๆ ทำยังไงที่จะสร้างความสุขให้ผู้บริโภค "ยินดีที่ได้ขาย" คือ ขายในสิ่งที่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และ "ยินดีในเรื่องของการซื้อ" คือ ผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าด้วยความยินดี 2. เคารพในตัวของแต่ละคน ได้แก่ "เคารพในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์" ซึ่งเชื่อว่าทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่สิ้นสุด ฉะนั้น เราจะกระตุ้นให้ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ สร้างความแข็งแกร่งของตัวเอง ใช้ศักยภาพของตัวเองให้เต็มที่ "ความเท่าเทียมกัน" ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคนเหมือนกัน แต่หมายความว่าให้ความเท่าเทียมกันในโอกาสกับทุกคน โดยไม่แยกแยะเชื้อชาติ เพศ จบจากสถาบันไหน เหล่านี้จะไม่นำมากำหนดในการให้โอกาสใคร และ "การเชื่อถือ" เบื้องต้นจะต้องมีความเชื่อถือก่อน มีความเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกัน ซึ่งในอดีตก็ทำแบบนี้ ในอนาคตก็จะเป็นแบบนี้ต่อไป ฟอร์มูลา : คุณมองเรื่องภาษีสรรพสามิตใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 2559 อย่างไร ? พิทักษ์ : โดยเจตนารมณ์ในภาพใหญ่เข้าใจได้ และเห็นด้วยในการที่จะเอา CO2 มาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดภาษี ก่อนภาษีจะออกก็มีการถามความเห็น ฮอนดา ก็สะท้อนความคิดเห็นไปหลายเรื่อง บางเรื่องก็ได้รับการพิจารณา แต่ก็มีหลายเรื่องที่ไม่เห็นด้วย เช่น ถ้ายึดเรื่องของ CO2 ก็ไม่ควรจะต้องยึดประเภทของเทคโนโลยี ไม่จะเป็นไฮบริด ดีเซล เบนซิน ซีเอนจี รถไฟฟ้า ก็วัด CO2 ได้หมด ฉะนั้น จริงๆ แล้วมันควรจะต้องเป็นเทคโนโลยีอะไรก็ได้ วัดที่ CO2 อย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงยังไม่เป็นแบบนั้น และอีกข้อคือ ขั้นบันไดของการกำหนดภาษียังเป็นขั้นบันได้ที่กว้าง ทำให้รถบางรุ่นยากที่จะปรับลดลงมา กลายเป็นว่าเจอภาษีแพง โดยรวมแล้วมีรถบางรุ่นที่ภาษีไม่เพิ่ม แต่มีบางรุ่นที่ยังไงก็ต้องเพิ่ม เมื่อภาระภาษีมากขึ้น ราคาก็จะมากขึ้นด้วย ฟอร์มูลา : คุณวางเป้าหมายในการทำงานกับ ฮอนดา ไว้อย่างไร ? พิทักษ์ : สำหรับตัวผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรไว้ เพราะ ฮอนดา ทุกคนทำงานเป็นทีม ไม่ใช่ลักษณะ ONE MAN SHOW ความสำเร็จมันเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของทุกคน ผมก็จะทำตามหลักของบริษัท ฯ ที่วางไว้ร่วมกันกับทุกคนให้ดีที่สุด
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ/สุดาภรณ์ ไกรแก้ว
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/14647