ชีวิตอิสระ(4wheels)
มาซดา คาราวาน พิชิตเส้นทางประวัติศาสตร์ มองโกเลีย-รัสเซีย
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ต่อยอดความสำเร็จพิชิตเส้นทางประวัติศาสตร์ เพิ่มความท้าทายอีกขั้นกับเส้นทางมุ่งหน้าสู่ประเทศรัสเซีย ในปีที่แล้ว คาราวาน มาซดา บีที-50 พโร เดินทางจากประเทศไทย ผ่านประเทศ สปป. ลาว และประเทศจีน เข้าสู่อูลันบาตาร์ เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย ปีนี้ มาซดา เชิญ 4 WHEELS ไปสัมผัสประสบการณ์สุดขั้วกับรถอเนกประสงค์ครอสส์โอเวอร์ ภายใต้บแรนด์ มาซดา รุ่น ซีเอกซ์-3 และซีเอกซ์-5 เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ในเส้นทางที่เริ่มต้นจากเมืองอูลันบาตาร์สู่เมืองมอสโกว์ สหพันธรัฐรัสเซีย ระยะทางกว่า 6,500 กม.มาซดา แบ่งผู้ร่วมพิชิตเส้นทางออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมีจุดหมายปลายทาง อยู่ที่โนโวซีบีร์สค์ เมืองชายแดนระหว่างไซบีเรียกับรัสเซีย รวมระยะทางกว่า 3,000 กม. โดยมีไฮไลท์สำคัญ คือ ทะเลสาบไบคาล ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ เก่าแก่และมีความลึกมากที่สุดในโลก 4 WHEELS อยู่ในกลุ่ม บี รับไม้ต่อเพื่อพิชิตภารกิจ จากเมืองโนโวซีบีร์สค์–ออมสค์–ตูย์เมน–เยคาเตรินบุร์ก–เปียร์ม–คาซาน–โนฟโกรอด–มอสโกว์ เมืองหลวงของสหพันธรัฐรัสเซีย ระยะทางรวมกว่า 3,400 กม. เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์นี้ เป็นความท้าทายทั้งสมรรถนะรถ ฝีมือ และประสบการณ์การขับรถในต่างประเทศ เพราะต้องผ่านอุปสรรคทั้งสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่หลากหลาย ในเส้นทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ 9 ชั่วโมงครึ่ง บนเครื่องบินจากกรุงเทพฯ สู่มอสโกว์ เมืองหลวงของสหพันธรัฐรัสเซีย ก่อนจะต่อเครื่องบินภายในประเทศไปยังเมืองโนโวซีบีร์สค์ อีกประมาณ 4 ชั่วโมง ร่างกายผู้ขับและผู้ร่วมทริพต้องมีความพร้อม เพราะการเดินทางระยะไกล 2 ทอด ทำให้เหนื่อยล้ามาก แถมเวลาก็แตกต่างกันไป ในมอสโกว์ เวลาช้ากว่าเรา 4 ชั่วโมง ส่วนเมืองโนโวซีบีร์สค์ กลับมาใช้เวลาเดียวกับประเทศไทย หนำซ้ำ การเดินทางจากนี้ไป เราต้องข้ามผ่านเขตช่วงเวลาถึง 4 โซน จากความกว้างใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งมีพื้นที่มากถึง 1/4 ของโลก แบ่งเขตเวลามากถึง 11 เขตเวลา มื้อแรกของเรา เป็นอาหารของชาวไซบีเรียแท้ๆ เริ่มจากสลัดฟักทอง กับไก่ ทานคู่กับซุปกวางป่า คล้ายซุปเนื้อวัวบ้านเรา ต่อด้วยอาหารพื้นเมืองของไซบีเรีย มีสเตคเนื้อกวาง เป็นเมนคอร์ส ปิดท้ายด้วยผลไม้แช่เย็น ไทการ์ เมล็ดเล็กราดซอสหวานใส่ถ้วยมาแบบไอศครีม รสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ จริงๆ แล้วอาหารรัสเซีย เป็นอาหารที่อุดมด้วยโภชนาการ วิธีการทำง่าย และไม่ต้องมีเครื่องปรุงใดๆ ส่วนประกอบหลักมาจากธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวโอท ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี โดยมีขนมปังเป็นอาหารหลัก และที่นิยมทานกัน คือ ปลา เนื้อ และเบอร์รี ชาวรัสเซียชอบทานผักสลัดราดซอสเปรี้ยว เครื่องเทศที่นิยมกันมาก คือ อบเชย กานพลู พริกไทย และหอมหัวใหญ่ อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ คือ มันฝรั่ง โนโวซีบีร์สค์ เป็นเมืองสำหรับแวะพักบนเส้นทางเดินรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียอันมีชื่อ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำออบ มีน้ำพุลอยอยู่บนผิวน้ำ มาเรียนรู้ประวัติการก่อตั้งเมืองได้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์รถไฟไซบีเรียตะวันตก โนโวซีบีร์สค์มีชื่อเสียงเล่าลือด้านงานศิลป์ที่สร้างสรรค์ ส่วนโรงอุปรากรและโรงละครบัลเลต์ของเมืองได้รับการขนานนามไว้ว่าเป็น โคลอสเซียมแห่งไซบีเรีย สวนสัตว์โนโวซีบีร์สค์ มีสัตว์ที่หลากหลายและโครงการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
วันแรก โนโวซีบีร์สค์-ออมสค์ 700 กม.
คาราวานมุ่งหน้าออกจากเมืองโนโวซีบีร์สค์ สู่เมืองออมสค์ ระยะทาง 700 กม. ล้อหมุนจากโรงแรมประมาณ 8.30 น. (เวลาเดียวกับบ้านเรา) เราได้รถ มาซดา ซีเอกซ์-3 2.0 เอสพี รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ตัวทอพ เป็นพาหนะพร้อมผู้ร่วมเดินทางอีก 3 ท่าน ช่วงเช้าเราข้ามผ่านแม่น้ำออบ แม่น้ำสายหลักของเมืองโนโวซีบีร์สค์ เราได้รับแจ้งเรื่องการจำกัดความเร็วในเมือง และห้ามแซงในเส้นทึบเด็ดขาด คนที่นี่ใช้รถอย่างค่อนข้างมีวินัย การจราจรส่วนใหญ่จะขับตามๆ กัน ขาเข้าเมือง ช่วงเช้าเหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป มีรถเดินทางเข้ามาทำงานในเมืองเยอะ การจราจรติดขัดพอสมควร ตามกำหนดการ เราจะวิ่งไปประมาณ 280 กม. ก่อนจะแวะทานอาหารกลางวัน ที่เมืองบาราบินสค์ ขับออกจากเมืองมาประมาณ 30 กม. สภาพถนนเริ่มเปลี่ยนเป็นเลนสวน ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะเราต้องขับชิดซ้ายแซงขวา แต่รถที่เราขับเป็นรถพวงมาลัยขวาที่มาจากเมืองไทยทุกคัน จึงต้องระมัดระวังพิเศษ ในขณะที่รถสวนมามีปริมาณค่อนข้างเยอะ ทิวทัศน์สองข้างทาง ดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของประเทศทางแถบนี้ ที่มีพื้นที่กว้างขวาง แต่ละเมืองตั้งอยู่ค่อนข้างไกล ฝั่งขวาของถนนจะเป็นทางทิศเหนือ ส่วนใหญ่จะไม่มีคนอยู่อาศัยเพราะสภาพอากาศเหมือนกับขับขึ้นไปขั้วโลก อุณหภูมิจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ระหว่างเส้นทางจะพบเห็นปั๊มน้ำมันน้อยมาก การเลือกเติมน้ำมันที่นี่ ควรเติมในปั๊มใหญ่ที่มีมาตรฐานเท่านั้น เพราะรถของเราหลายคันในทริพนี้เจอปัญหาเรื่องของคุณภาพน้ำมัน เกิดอาการเครื่องเขกในรอบต่ำ เนื่องจากค่าออคเทนไม่ถึงกำหนด ถังถัดไปเราจึงเลือกเติมปั๊มที่มีมาตรฐาน และใช้เฉพาะออคเทน 98 แทน ไม่นานเครื่องยนต์ก็กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง บ่ายแก่ๆ เราเดินทางถึงที่หมาย สภาพอากาศอุ่นขึ้น 3 องศาเซลเซียส ก่อนถึงเมืองออมสค์ อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ลงมาติดลบ 3 องศาเซลเซียส พื้นที่ที่มีแสงแดดส่องผ่านกลายเป็นหมอกหนาทึบ และไอหนาวเย็นจากหิมะ เพียงเวลาไม่กี่นาที อุณหภูมิในแถบนี้ช่วงหนาวจัดติดลบ 25-30 องศาเซลเซียส เลยทีเดียว ออมสค์ เป็นเมืองค่อนข้างเงียบ มีถนนหลักสายใหญ่อยู่เพียงสายเดียวที่ทันสมัย มีร้านค้า และร้านอาหารอีกมากมาย แล้วยังมีรูปปั้นหลากหลายให้ถ่ายรูป หลายที่ด้วยกัน ในไซบีเรีย ออมสค์เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากโนโวซีบีร์สค์ แถบเทือกเขายูรัล พื้นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของสหพันธรัฐรัสเซีย ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถไปชายแดนคาซัคสถาน เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ใกล้กว่าไปมอสโกว์ เมืองหลวงหลายเท่าตัวเลย โบสถ์ใหญ่ใจกลางเมืองที่เราต้องเดินผ่านและเป็นโบสถ์สำคัญใหญ่ที่สุดของเมือง ชื่อว่า ASSUMPTION CATHEDRAL สร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าซาร์นิโคลัย (นิโคลัส) เมื่อปี 1891 ในช่วงที่กำลังสร้างทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย ที่นี่มีรูปปั้นเลนิน ผู้นำแนวคิดคอมมิวนิสต์ และรูปปั้นของดอสโตเยฟสกี นักเขียนชื่อดังของรัสเซีย เจ้าของงานเขียนชื่อดัง "อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์" "พี่น้องคารามาซอฟ" ที่ถูกพระเจ้าซาร์นิโคไลที่ 1 เนรเทศ ในช่วงปี 1849-1854 ให้มาเป็นแรงงานในพื้นที่กันดารในเขตไซบีเรีย ซึ่งก็คือเมืองออมสค์แห่งนี้นั่นเองวันที่ 2 ออมสค์-ตูย์เมน ระยะทาง 640 กม
8.30 น. ล้อหมุนออกจากโรงแรมในออมสค์ อุณหภูมิในช่วงเช้า ลดต่ำถึง -4 องศาเซลเซียส มีเกล็ดหิมะเล็กน้อย และคงอยู่ในช่วง -2 ถึง 0 องศาเซลเซียส ตลอดวัน จากออมสค์ ไปเมืองตูย์เมน ระยะทาง 640 กม. ออกจากเมืองมาจะเป็นถนน 4 เลนกว้าง ขับสบาย ระยะทางประมาณ 40 กม. เลยจากนี้ไปจะเป็นแบบ 2 เลน วิ่งสวนกันเหมือนเดิม คาราวานเริ่มทำความเร็วในช่วงออกนอกเมืองอีกครั้ง น้ำมันเบนซิน ออคเทน 98 ทำให้สมรรถนะเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 156 แรงม้า ให้กำลังจัดจ้านดี ระหว่างทางเริ่มมีบ้านเรือนของชาวบ้านที่อยู่ในชนบท มีอาชีพทำการเกษตร ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ขายแรงงาน ให้เห็นบ้าง สภาพบ้านค่อนข้างเก่าและยังไม่เจริญ วิวสองข้างทางยังเป็นพื้นที่ราบเหมือนเดิม ท้องทุ่งเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสลับกับหิมะปกคลุมให้ดูสวยงาม มีต้นบีโรซา และใบไม้เปลี่ยนสีสวยงาม ชั่วโมงเศษ คาราวานต้องเจอกับพายุหิมะ ที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง น้ำในบึงจับตัวเป็นน้ำแข็ง ถนนลื่นเปียกแฉะ เราหยุดแวะถ่ายรูปได้ชั่วครู่ก็ต้องรีบออกเดินทางกันต่อ เพราะหิมะตกลงมาเต็มพื้นที่อย่างต่อเนื่อง หลังจากออกเดินทางไม่นาน เรื่องน่าตื่นเต้นก็เกิดขึ้นกับรถของเรา จังหวะเร่งแซง รถบรรทุกหัวลาก เรากดคันเร่งคิคดาวน์ ก็เกิดอาการสลิพของล้อ เพราะถนนเต็มไปด้วยหิมะ เราต้องอาศัยประสบการณ์ เมื่อระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทำงาน เราถอนคันเร่งเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เติมคันเร่งเพื่อแซงผ่าน ก่อนที่รถบรรทุกใหญ่จะมาถึงเพียงเสี้ยวนาที ยังดีที่ มาซดา ซีเอกซ์-3 มีระบบความปลอดภัยดีเยี่ยม ให้ตัวช่วยมาครบ ทั้งระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัว ดีเอสซี ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และระบบควบคุมการลื่นไถล ทำให้อาการสลิพล้อหมุนฟรีที่เกิดขึ้น เมื่อเจอกับสภาพถนนที่มีหิมะ สามารถแก้ไขกลับมาได้อย่างปลอดภัย คืนนี้เรามาถึงโรงแรมค่อนข้างมืด จากสภาพเส้นทางที่ต้องเผชิญกับพายุหิมะเป็นช่วงๆ และเจอกับถนนที่กำลังซ่อม และมีรถในพื้นที่ประสบอุบัติเหตุประปราย ตูย์เมน เป็นเมืองแรกที่ตั้งอยู่ในเขตไซบีเรีย มีชายแดนติดกับประเทศคาซัคสถาน เมืองนี้ยังเต็มไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแกส จากนั้นก็แผ่ขยายลงมาทางตะวันออก มีผู้คนเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่ปี 1586 พื้นที่ติดกับแม่น้ำพูรา ช่วงอากาศร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 25-30 องศาเซลเซียส เราข้ามเส้นแบ่งเวลาอีกครั้ง โดยเวลาในเมืองนี้ ช้ากว่าเมืองออมสค์ 1 ชั่วโมง และช้ากว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง 330 กม. แรก เป็นจุดแวะพักทานอาหารกลางวัน หลังจากเติมน้ำมันให้เต็มถังอีกครั้ง เราต้องเผชิญกับพายุหิมะพักใหญ่ ถนนและข้างทางขาวโพลนไปหมด ดูน่าตื่นตาและตื่นเต้นมาก แต่ก็ต้องลดความเร็วและใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมากวันที่ 3 ตูย์เมน-เยคาเตรินบุร์ก ระยะทาง 320 กม.
พวกเราออกเดิน ช่วงสายประมาณ 9.30 น. อากาศหนาวเย็นแต่เช้า มีฝนหิมะตกลงมาทั่วเมือง ตูย์เมน เป็นเมืองขนส่งพลังงาน ทั้งแกส และน้ำมัน มีความเจริญค่อนข้างมาก โรงแรมที่พักทันสมัย การสื่อสาร การเชื่อมต่ออินเตอร์เนทรวดเร็วมาก เมืองขนาดใหญ่ดูเจริญหูเจริญตา รถวิ่งไป/มากันขวักไขว่ ผู้คนออกมาทำงานมากมาย เราเริ่มขับออกจากตูย์เมน มุ่งหน้าสู่เมืองเยคาเตรินบุร์ก ระยะทาง 320 กม. เราเดินทางเข้าสู่ความเจริญมากขึ้น กฎหมายจราจร มีความเข้มงวดสูงขึ้น ช่วงเช้าเราผ่านด่านตรวจ 2 ด่าน และถูกจับที่ด่านแรก ข้อหาแซงในเส้นทึบ ด่าน 2 เป็นด่านใหญ่ ผู้ขับรถทุกคันโดนเรียกให้เข้าไปรับทราบข้อมูล ข้อบังคับในการใช้รถใช้ถนนของรัสเซีย ประมาณ 10 นาทีก็ได้รับเอกสารมาอ่าน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการใช้รถใช้ถนน และกฎหมายจราจรในรัสเซีย ก่อนออกเดินทางกันต่อ วันนี้เราขับรวดเดียวมาถึงเมืองเยคาเตรินบุร์กเลย 30 กม. ก่อนเข้าเมืองเริ่มเป็นถนน 6 เลน ขนาดใหญ่ มีป้อมตำรวจ หน้าป้อมเป็นฐานยิงจรวดด้วย เสียดายไม่สามารถถ่ายมาให้ชม เวลาประมาณ 15.30 น. เราเข้าถึงเมืองนี้เรียบร้อย ตกเย็นพวกเราออกมาเดินเยี่ยมชมเมืองแต่ก็ใช้เวลาไม่นานเพราะอากาศหนาวเย็นมาก ตกดึกอุณหภูมิประมาณ -4 ถึง -5 องศาเซลเซียส เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า เมืองนี้เป็นเมืองแรกของเขตวลาดิวอสตอค หลังจากที่เราขับอยู่ในเขตไซบีเรียมาหลายวัน เยคาเตรินบุร์ก เป็นเมืองของนักท่องเที่ยวผู้ใฝ่หาความรู้ เต็มไปด้วยห้องสมุด มหาวิทยาลัย โรงละคร และพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงบุคคลและสิ่งสำคัญต่างๆ เช่น ไมเคิล แจคสัน และแป้นพิมพ์ อาคารโรงละครสัตว์แห่งเยคาเตรินบุร์กที่สวยงาม มีลักษณะเป็นโดมที่มีลวดลายประดับประดาอย่างประณีต มีรูปทรงโค้ง จุผู้ชมได้ 2,600 คนวันที่ 4 เยคาเตรินบุร์ก-เปียร์ม 360 กม.
8.30 น. ออกเดินทางไปเข้าชมโบสถ์สำคัญในเมืองเยคาเตรินบุร์ก โบสถ์นี้บางคนเรียกกันว่า โบสถ์เลือด เนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระเจ้านิโคลัสที่ 2 พร้อมครอบครัว โดนจับมาขังอยู่ในห้องใต้ดิน บริเวณนี้ ก่อนที่จะถูกสังหารทั้งครอบครัว ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดการปกครองในระบอบกษัตริย์ ก่อนที่จะเปลี่ยนการปกครองเป็นมาร์คซิสเต็มตัว นอกจากนี้เรายังเดินทางไปถ่ายรูปกับรูปปั้น บอริส เยลต์ซิน อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งเกิดที่เมืองนี้ หลังจากเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ แล้ว คาราวาน มาซดา สกายแอคทีฟ มุ่งหน้าสู่เมืองเปียร์ม เปียร์ม เป็นเมืองหน้าด่านไซบีเรีย มีประชากรอยู่ประมาณ 1 ล้านคน อยู่ติดกับเทือกเขายูรัล ฝั่งยุโรป เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กำเนิดขึ้นในปี 1723 มีเพียงหมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้โรงงาน ชื่อเมืองเปลี่ยนเป็นโมโลโตฟ เพื่อเป็นเกียรติแก่รัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียต ที่ลงนามในสนธิสัญญายุติความรุนแรงกับกองทัพนาซีเยอรมัน ในปี 1939 มีพิพิธภัณฑ์หอภาพสเตท จัดแสดงภาพยุคศตวรรษที่ 16-19 ออกจากเมืองไปไม่ไกล ประมาณ 45 กม. จะมีพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมชาติพันธุ์ ที่โคคโลฟกา ตั้งอยู่ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงชีวิตชาวชนบท ยุคก่อนศตวรรษที่ 20 มีคุกและค่ายกักกันของโซเวียตชื่อ กูลัก จัดตั้งเพื่อกักขังและทารุณผู้ที่เป็นศัตรูกับรัฐ ส่วนใหญ่ขังนักโทษคดี การเมือง พวกวิจารณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์ จะถูกขังอยู่ที่นี่ทั้งหมด และยังมีนักโทษที่ถูกขังลืมอย่างทุกข์ทรมาน (ในปี 1917-1988) PERM-36 เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการตามชื่อเมือง และเมืองนี้ยังมีชื่อเรียกติดปาก คือ กูลัก ปี 1929-1953 มีนักโทษที่นี่มากกว่า 14 ล้าน เกือบครึ่งเสียชีวิตในคุกวันที่ 5 เปียร์ม-คาซาน 590 กม.
ล้อหมุนจากโรงแรม ประมาณ 8.30 น. สภาพถนนออกจากตัวเมือง มี 4 เลน ยาวประมาณ 30 กม. จากนั้นเป็นเลนสวน เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองคาซาน ระยะทางไปมอสโกว์ ประมาณ 1,400 กม. ประมาณ 350 กม. เราแวะทานอาหารเที่ยงริมทาง หลังจากอิ่มท้อง เราออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าเมืองคาซาน ทริพนี้ผู้นำทางเลือกขับไปเส้นทางสายเก่า มีระยะทางสู่เมืองคาซานใกล้กว่าเล็กนัอย สภาพเส้นทางเป็นเส้นทางทรุดโทรมทางโคลน รถแทบวิ่งไม่ได้ ยังดีที่เราพอเห็นรถยนต์ ลาดา เจ้าถิ่น วิ่งสวนมาบ้าง ทำให้เรามั่นใจลึกๆ ว่าพวกเราต้องผ่านไปได้ อีกใจหนึ่งก็หวั่นว่ารถจะติดหล่มติดโคลน ประมาณ 30 กม. พวกเราผ่านทางทุรกันดาร ซ้าย/ขวาเต็มไปด้วยโคลน คณะคาราวานต้องอาศัยประสบการณ์การขับรถผ่านร่องถนนตามรอยล้อที่พื้นพอจะแน่นอยู่ ค่อยๆ ลัดเลาะกันออกมา แม้ทางเรียบก็เจอกับหลุมและพื้นที่ยุบ ทรุดตัวอยู่ตลอด เราพยายามประคองรถเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ระบบรองรับของ มาซดา ซีเอกซ์-3 นั้นนุ่มและหนึบจริง แม้เจอกับถนนบัมพ์กระแทกตลอดเส้นทาง ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม พร้อมคอยล์สปริงและชอคอับ เพิ่มความมั่นใจด้วยระบบเบรค ด้านหน้าแบบจาน พร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังแบบจาน พร้อมระบบเอบีเอส ทั้ง 4 ล้อ และระบบกระจายแรงเบรค อีบีดี จากร้านอาหารกลางวัน เราข้ามเส้นแบ่งเวลาอีกครั้ง ก่อนเข้ามากลายเป็นบวกเพิ่มอีก 2 ชั่วโมง รวมเป็น 4 ชั่วโมง เหมือนกับที่มอสโกว์ ช่วงค่ำๆ ขับเข้าเมือง การจราจรติดขัด ผู้คนในเมืองคาซาน ที่ใช้รถใช้ถนนอยู่ หันมายิ้มทักทายให้กับเรา พร้อมกับชี้นิ้วมาที่รถคันนี้ และยกนิ้วโป้ง กด LIKE เหมือนชื่นชมในความสวยงามของการออกแบบ จากแนวคิด โคโดะดีไซจ์น ที่แสดงออกถึงจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว ดูมีพละกำลัง สง่างาม และปราดเปรียว คาซาน เป็นเมืองที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 3 ของรัสเซีย รองลงมาจากมอสโกว์ และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 1,015 ปี และเป็นเมืองที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาทางน้ำ ในปี 2015 และเจ้าภาพฟุตบอลโลก ปี 2018 เรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งการแข่งขันกีฬาอีกเมืองหนึ่งของโลก มีที่เที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง เช่น ป้อมปราการมรดกโลก คาซาน คเรมลิน ถนนการค้าและร้านอาหารเบาแมนสตรีท วัดของทุกศาสนา และพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตโซเวียต เป็นเมืองที่ชาวมุสลิมอาศัยอยู่มาก มีมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ในเมืองนี้ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ชื่อดัง และยังเป็นศูนย์รวมของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงวันที่ 6 คาซาน-โนฟโกรอด ระยะทาง 390 กม
วันนี้ล้อหมุนออกจากคาซาน ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ตรงกับเวลาในเมืองไทย บ่ายโมงพอดี ขบวนคาราวานแวะเที่ยวชมความสวยงามของคเรมลินแห่งคาซาน พระราชวังเก่าแก่ สมัยกษัตริย์ที่ 4 ปัจจุบันใช้เป็นโบสถ์ มัสยิด และสถานที่ราชการ จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพราะมีการออกแบบที่สวยงาม และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มัสยิดในเมืองคาซาน รวมทั้งหอคอย และปราสาทเก่าแก่ ที่มักจะเรียกกันว่า คเลมลินแห่งคาซาน มีแม่น้ำสายหลักไหลผ่าน เรียกว่าแม่น้ำโวกา ประมาณ 11.30 น. คาราวานวิ่งออกจากเมืองคาซาน สู่เมืองโนฟโกรอดระยะทางประมาณ 410 กม. วันนี้อุณหภูมิค่อนข้างอบอุ่นขึ้น ประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส สลับกับมีฝนตกเล็กน้อยในช่วงค่ำ การเดินทางค่อนข้างสบายเพราะวิ่งเข้าใกล้มอสโกว์มากแล้ว เราจะเห็นความเจริญของสภาพบ้านเรือนสองข้างทางมากขึ้น ขับมาไม่นานเราก็ถึงเส้นแบ่งเขต ที่สร้างขึ้นระหว่างทาง เป็นสัญลักษณ์กั้นระหว่างทวีปเอเชีย กับทวีปยุโรป ในรัสเซีย เราแวะถ่ายรูปที่ระลึกก่อนออกเดินทางต่อ สภาพปั๊มน้ำมันระหว่างทาง เป็นครั้งแรกตลอดทริพที่เราเจอปั๊มที่มีห้องสุขาได้มาตรฐาน ก่อนหน้านี้แทบไม่เห็น หากท้องเสียจะยิ่งลำบาก ส่วนใหญ่จะอาศัยยิงกระต่าย หรือเด็ดดอกไม้ ตามข้างทางหรืออาศัยพื้นที่โล่งหลังปั๊ม กรณีถ่ายเบาเท่านั้น จะว่าไปแล้วเรื่องระบบสุขาภิบาลในประเทศนี้ยังล้าหลังมาก เทียบกับตัวเมืองขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบางเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่ถึง 1 ล้านคน ส่วนสภาพเส้นทางยังเป็นแบบถนน 4 เลนแยก และแบบ 2 เลนสวน โนฟโกรอด เมืองหลวงของชาวรัสเซียในศตวรรษที่ 9 ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าเก่าแก่ ระหว่างเอเชียกลางกับยุโรปเหนือ มีแม่น้ำขนาดใหญ่ชื่อ โอคา ไหลผ่าน จัดเป็นเมืองที่มีระบบขนส่งทางเรือที่ทันสมัย รอบๆ เมืองเป็นสถานที่ตั้งของโบสถ์และวิหารหลายแห่ง นอกจากนี้ โนฟโกรอด ยังเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณนิกายออร์โธดอกซ์ และสถาปัตยกรรมแบบรัสเซีย เป็นโบราณสถานยุคกลาง และยังมีจิตรกรรมฝาผนังปูนเปียกของนักบุญเธโอฟานีส แห่งกรีกอีกด้วยวันสุดท้าย โนฟโกรอด-ปลายทางมอสโกว์ 450 กม.
ล้อหมุนออกจากเมืองเวลา 8.30 น มุ่งหน้าสู่มอสโกว์ จุดหมายปลายทางของทริพนี้ ฝนตกลงมาต้อนรับเราตั้งแต่ขับออกจากโรงแรม ตลอดช่วงเช้า เราจึงต้องขับกันอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ยังดีที่เราขับเข้ามอสโกว์ ซึ่งเป็นเมืองหลวง เส้นทางแบบรถวิ่งสวนเลน มีไม่น่าจะเกิน 20 % ของระยะทางทั้งหมด ระหว่างเมืองเราเริ่มเห็นปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ แบบมีห้องน้ำทันสมัยไว้บริการ รวมถึงมีนีมาร์ท ร้านค้า ซึ่งต่างจากเมืองอื่นๆ ค่อนข้างมาก เราพักทานอาหารกลางวัน ก่อนล้อหมุนกันต่อ ช่วงนี้ฟ้าฝนเริ่มเป็นใจกับเราเพราะฝนที่ตกลงมาในช่วงเช้าหยุดสนิทแล้ว มีเพียงฟ้าที่ยังขมุกขมัว มืดครึ้ม สองข้างทางยังเป็นต้นไม้บีโรซา และสน มากมาย รวมถึงทุ่งโล่งกว้างในการทำการเกษตร เราต้องทำความเร็วมากขึ้นเพื่อมุ่งหน้าสู่มอสโกว์ ให้ทันเวลาถ่ายรูปที่ วิหารเซนต์บาซิล ในช่วงเย็น เพราะเข้าเมืองต้องเจอกับปัญหาการจราจรติดขัด แต่ผู้คนใช้รถใช้ถนนกันอย่างมีวินัย ไม่นานเราก็เดินทางถึงจัตุรัสแดง 17.30 น. ตามกำหนดการ ด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมกับถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางของเส้นทางประวัติศาสตร์ มองโกเลีย-รัสเซีย ของ มาซดา สกายแอคทีฟ ครอสส์โอเวอร์ มอสโกว์ เป็นเมืองหลวงของประเทศรัสเซีย เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 850 ปี ตั้งแต่สมัยรัสเซียเก่า นำโดย เจ้าชายซูซดัล ยูริ (YURI DOLGORUKIY) ปี 1147 อาณาจักรมัสโกวี แผ่ขยายในศตวรรษที่ 15-16 ปกครองโดย พระเจ้าอีวานที่ 3 และ 4 ต้นศตวรรษที่ 18 พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ได้ย้ายเมืองหลวงมายังเซนปีเตอร์สเบิร์ก ในปี 1918 แต่สุดท้ายกรุงมอสโกว์ ได้กลายเป็นเมืองหลวงของสหภาพโซเวียต อีกครั้งในปี 1993 เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย มอสโกว์ เป็นเมืองน่าเที่ยวมากเมืองหนึ่ง มีสถาปัตยกรรมสวยงามมากมาย เรามีเวลา 3 ชั่วโมงในช่วงเช้า เพื่อแวะเที่ยวชมของสวยงามของเมืองนี้ จุดแรกที่เราไป คือ วิหารเซนต์บาซิล สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย พระเจ้าอีวานที่ 4 (มหาราช) ในศตวรรษที่ 16 ตามประสงค์ของพระองค์ เพื่อฉลองชัยในการรบชนะพวกตาตาร์ ในอัสตราคาน และคาซาน หลังจากสร้างเสร็จก็จัดการควักลูกตาทั้ง 2 ข้าง ของนักออกแบบออก เพื่อไม่ให้ได้ออกแบบวิหารได้อีก และมีที่นี่แห่งเดียวที่สวยที่สุด ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสแดง มีหลังคายอดสูง และมีโดมทรงหัวหอมทั้งหมด 9 หัว สีสันสวยงามขนาดเล็ก/ใหญ่แตกต่างกันไป พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรัสเซีย ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสแดง เยื้องๆ กับสุสานเลนิน ภายในเป็นที่จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ สมัยโบราณยุคมัสโกวี เคียฟ ก่อสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ภายในมีงานแสดงมากกว่า 4.5 ล้านชิ้น มีหนังสือเอกสารเล่าความเป็นมามากกว่า 15 ล้านชิ้น เป็นที่เก็บเอกสารโบราณ อายุกว่า 5,000 ปี สุสานเลนิน ตั้งอยู่ระหว่างหอคอยนิโคลสกายา และเชนัตสกายา สร้างขึ้นในปี 1930 โดยชูเชฟ ภายในโรงแก้วบรรจุร่างอาบน้ำยาของเลนิน ไว้ให้ชาวรัสเซียและนักท่องเที่ยวได้เข้ามาชม นอกจากนี้ระหว่างหอคอยทั้งสองนี้ยังเป็นที่ฝังศพรัฐบุรุษ และผู้นำทางทหาร รวมทั้งบุคคลสำคัญต่างๆ ด้วยพระราชวังคเรมลิน
พระราชวังคเรมลิม สัญลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวในมอสโกว์ และรัสเซีย เป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์ และที่พำนักของประธานาธิบดีรัสเซีย ได้รับการขึ้นทะเบียน UNESCO เพื่อเป็นมรดกโลก และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนทั่วโลกนิยมมาเที่ยวชม พระราชวังคเรมลิม ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมๆ กับเมืองมอสโกว์ และเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมต่างๆ ของชาวรัสเซีย โดยพระเจ้าอีวานที่ 3 ซึ่งได้รับการขนานนามว่า มหาราช เป็นผู้วางรากฐานกฎระเบียบต่างๆ ให้กับรัสเซีย ภายในมีโบสถ์อัสสัมชัญ หอระฆังพระเจ้าอีวานที่ 3 ซึ่งเป็นหอระฆังที่สูงที่สุดในโลก การเดินทางของ มาซดา สกายแอคทีฟ ครอสส์โอเวอร์ ระยะทางรวมกว่า 6,500 กม. จากเมืองอูลันบาตาร์ ประเทศมองโกเลีย ถึงมอสโกว์ สหพันธรัฐรัสเซีย ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งและสมรรถนะรถยนต์ครอสส์โอเวอร์ มาซดา ซีเอกซ์-3 และซีเอกซ์-5 เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ว่าสามารถฝ่าเส้นทางสมบุกสมบันภายใต้อุณหภูมิติดลบ หนาวสุดขั้ว ได้อย่างสบาย ขอขอบคุณ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ทรานซ์เอเชียรูท จำกัด ผู้นำทางมืออาชีพตลอดทริพเรื่องโดย : ณัฐเวช ยอดแสง
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/142794