โค้งอันตราย
ฟื้นแล้ว
อันที่จริงก็ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นจริงหรือเปล่า แต่ดูจากทิศทางที่ยอดการขายรถยนต์ร่วงหล่นไปตั้งแต่ต้นปี และเพิ่งกลับมาฟื้นตัว ดีขึ้นเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา พอถึงเดือนสิงหาคม ยอดขายกลับขึ้นมาเป็นบวก 2.4 % ขายกันได้ 61,577 คัน ช่วยทำให้ยอดรวมทั้ง 8 เดือน เจริญเติบโตตั้ง 0.3 % ขายได้ 479,230 คัน ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ว่าตัวเลขประมาณการขายรถทั้งปี จะไม่มีการปรับเป้าแน่นอน ทั้งเป้าการขาย หรือเป้าการผลิต
นั่นเป็นความจริงที่ปรากฏ วันนี้ขอเล่าความจริงอีกเรื่องหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ยานยนต์ ที่ใช้เชื้อเพลิงทุกประเภทที่มีจำหน่ายในบ้านเรา โดยเป็นคำยืนยันจากกรมธุรกิจพลังงาน ยืนยันว่า เป้าหมายของการจำหน่ายน้ำมันตามแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง หรือออยล์พแลนนั้น จะกำหนดประเภทของน้ำมันให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อลดต้นทุนบริหารจัดการโดยรวม ซึ่งไบโอดีเซลมีเป้าหมายจะประกาศเป็น บี 10 ในอนาคต จากปัจจุบันที่ใช้อยู่ที่ บี 7 แต่พอถึงการผลิตจริง ก็ยังคงเป็น บี 5 อยู่ดี
แต่กรมธุรกิจพลังงานก็ได้หารือกับโรงกลั่นน้ำมัน ถึงการผสมเอธานอลในน้ำมันเบนซินชนิดต่างๆ ซึ่งโรงกลั่นจะต้องมีการลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท/โรง เพื่อลดน้ำมันพื้นฐาน จาก 91 เหลือ 95 เพียงอย่างเดียว ซึ่งหากคำนวณผลคืนทุน 20 ปี ต้นทุนจะเพิ่ม 2 สตางค์/ลิตร ถือว่าน้อยมาก ไม่ควรจะนำไปเพิ่มต้นทุนแก่ผู้ใช้ ดังนั้น กรมฯ พร้อมที่จะยกเลิกการจำหน่ายแกสโซฮอล 91 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป ซึ่งโรงกลั่นมีความเป็นห่วงเรื่องความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำมันพื้นฐาน โดยทางกรมฯ พร้อมรับฟังและหาทางช่วยเหลือ เช่น การลดภาษีนำเข้า
ซึ่งจะทำให้ชนิดน้ำมันที่จำหน่ายในไทยปรับลดลง และทำให้มีหัวจ่ายน้ำมันว่างและปรับเปลี่ยนไปเป็นหัวจ่ายน้ำมันแกสโซฮอล อี 20 หรือ อี 85 แทน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความต้องการใช้เอธานอลในประเทศได้เพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อโรงงานผู้ผลิตเอธานอลที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 21 ราย รวมกำลังการผลิต 4.44 ล้านลิตร/วัน และที่กำลังก่อสร้างอีก 2 ราย รวมกำลังการผลิต 1.22 ล้านลิตร/วัน โดยหากมีการยกเลิกแกสโซฮอล 91 ตามแผนที่ได้วางไว้ ก็น่าจะทำให้มีผู้ใช้รถยนต์บางส่วนหันไปเติมแกสโซฮอล 95 รวมถึง อี 20 และ อี 85 เพิ่มขึ้น ตามความสะดวกในการหาสถานีบริการน้ำมัน
ปัจจุบันจำนวนรถจดทะเบียนสะสมที่ใช้น้ำมันเบนซิน ซึ่งแม้ว่าจะจดทะเบียนใช้น้ำมันเบนซิน แต่ก็สามารถเลือกเติมน้ำมันได้ 2 ประเภท ทั้งในกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแกสโซฮออล มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเฉลี่ย 4-5 แสนคัน/ปี โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2559 มียอดจดทะเบียนสะสมอยู่ที่ 25.36 ล้านคัน ดังนั้น จากอัตราการเพิ่มขึ้นของปริมาณรถยนต์สะสม ก็เป็นปัจจัยที่บ่งชี้ได้ว่า ปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั้งในส่วนของเบนซินและแกสโซฮอล น่าจะมีทิศทางที่ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
แต่ด้วยทิศทางราคาน้ำมันที่น่าจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งประมาณการไว้ว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบทั้งปี 2559 น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 41 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ในขณะที่ปี 2560 นั้น ราคาน่าจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 48 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ในประเด็นนี้น่าจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาเติมน้ำมันที่มีราคาต่ำกว่า ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มแกสโซฮอลที่มีส่วนผสมของเอธานอลในสัดส่วนที่สูง อาทิ อี 20 หรือ อี 85 เป็นต้น ดังนั้น จึงคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันในกลุ่มแกสโซฮอลน่าจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น ปริมาณการใช้เอธานอลในปี 2559 น่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไต่ไปอยู่ที่ระดับ 3.7 ล้านลิตร/วัน และมีโอกาสขยับเพิ่มขึ้นเป็น 3.9-4.0 ล้านลิตร/วัน ในปี 2560 ตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การแข่งขันการพัฒนาเทคโนโลยีในตลาดรถยนต์ เพราะอาจมีผลกระทบต่อความต้องการใช้เอธานอลในอนาคต จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและแกสโซฮอลเริ่มมีคู่แข่งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล รถยนต์ไฮบริด รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่คาดว่าจะเข้ามามีบทบาทตลาดรถยนต์ในอนาคต ซึ่งเป็นทเรนด์ทั่วโลก แต่กลุ่มนี้ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการในปัจจุบัน อาทิ ราคารถยนต์ สถานีบริการ ระยะเวลาในการชาร์จไฟฟ้า รวมถึงค่าบำรุงรักษา ซึ่งประเมินว่าจะไม่ใช่คู่แข่งที่เข้ามาตีตลาดหลักอย่างชัดเจน และส่งผลต่อความต้องการใช้เอธานอลในระยะสั้น แต่หากมีการพัฒนาเทคโนโลยีจนลดข้อจำกัดต่างๆ ได้ จนทำให้เกิดความนิยมในรถยนต์ประเภทดังกล่าวมากขึ้นเป็นลำดับ ประกอบกับนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่จูงใจให้เกิดการใช้รถยนต์ในกลุ่มนี้มากขึ้น อาทิ มาตรการทางภาษี เป็นต้น ในที่สุดแล้วก็อาจจะกระทบต่อความต้องการใช้เอธานอลในระยะถัดๆ ไป
นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่เสนอต่อผู้บริหารเพื่อหารือว่า น่าจะมีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเกรดพรีเมียมของแกสโซฮอล 95 และดีเซลพรีเมียมให้เก็บภาษีเต็มเพดานที่ 10 บาท/ลิตร หรือราคาสูงกว่าปัจจุบันประมาณ 4 บาท ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะดีอยู่แล้ว หากต้องการใช้เกรดนี้ต่อก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากผู้ใช้จะลดการใช้ประเภทนี้ ทางปั๊มน้ำมันก็คงจะตัดสินใจเองว่าจะยกเลิกการจำหน่ายเกรดพรีเมียมหรือไม่
เครื่องยนต์เบนซินในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ปัจจุบัน สามารถใช้เชื้อเพลิง อี 85 ได้แล้ว ทีนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า ผู้บริโภคจะตัดสินใจใช้น้ำมันประเภทใดกับรถของตัวเอง เพราะมีราคาให้เปรียบเทียบได้ก่อนเข้าปั๊มอยู่แล้ว ยินดีจะควักเงินเพิ่มเพื่อส่วนต่างที่มากกว่าเกือบลิตรละ 4 บาท ก็เชิญตามสบาย
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2559
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/141416