สารคดี(formula)
ไต่เขาฝ่าโค้ง เยือนเมืองสามหมอก กับ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ ใหม่
นักเดินทางที่รักธรรมชาติ และอยากหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ มักจะเลือก "เมืองสามหมอก" หรือจังหวัด "แม่ฮ่องสอน" เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางเสมอ เพราะที่นั่นอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูง อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ ปกคลุมด้วยหมอกตลอด 3 ฤดู มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย รวมถึงวิถีชีวิตเงียบสงบ เรียบง่าย และวัฒนธรรมที่แปลกตาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย "ฟอร์มูลา" เชิญชวนผู้อ่านที่มีใจรักธรรมชาติ ร่วมเดินทางท่องเที่ยวพร้อมกับเรา ในดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งนี้
เข้าโค้งมั่นใจ สไตล์ ซูบารุ
ผมโชคดีที่ได้ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ เป็นพาหนะคู่ใจในการเดินทาง เพราะเส้นทางต่อจากนี้ ต้องฟันฝ่าทางคดเคี้ยวเกือบ 2,000 โค้ง สมรรถนะรถต้องมีช่วงล่างที่ดี และไว้ใจได้ ซึ่ง ฟอเรสเตอร์ สามารถตอบโจทย์ผมได้หมด รถคันนี้ใช้เครื่องยนต์แบบสูบนอน (BOXER) ขนาด 2.0 ลิตร 150 แรงม้า ทำให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ เมื่อเข้าโค้งความเร็วสูง รถจะมีอาการ "โคลงตัว" น้อยมาก บวกกับติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (AWD) แบบสมมาตรด้วยแล้ว จะมีอะไรสนุกไปกว่านี้ล่ะครับ ถ้าดูจากแผนที่ระยะทางเกือบ 900 กม. จากกรุงเทพฯ ถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ดูเหมือนไม่ไกลนัก แต่ถ้านึกถึงเส้นทาง "แม้ว" หรือทางไต่เขาที่คดเคี้ยวแล้วละก็ ถือว่าโหดพอสมควร เราใช้ทางหลวงหมายเลข 32 ผ่าน จ. นครสวรรค์, กำแพงเพชร และตาก เมื่อถึง อ. เถิน เลี้ยวซ้ายไปทาง อ. ลี้ เพื่อลัดตัดขึ้นดอยอินทนนท์ เส้นทางนี้จะย่นระยะทางได้เกือบ 100 กม. โดยผ่าน อ. แม่แจ่ม อ. ขุนยวม และ อ. เมืองแม่ฮ่องสอน แต่ทางช่วงนี้เป็นทางแคบที่ลาดชันและคดเคี้ยว ต้องใช้ความระมัดระวังสูงขึ้นพระธาตุดอยกองมู ชมบรรยากาศยามค่ำคืน
เดินทางกว่า 15 ชม. ก็ถึงเมืองแม่ฮ่องสอนตอนพลบค่ำ เราแวะสักการะ วัดปลายดอย หรือ วัดพระธาตุดอยกองมู เป็นที่แรก เนื่องจากเป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญ ตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของเมือง เมื่อไปถึงจะพบพระธาตุเจดีย์สำคัญ 2 องค์ เจดีย์องค์ใหญ่สร้างโดย "จองต่องสู่" เมื่อปี 2403 เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ ที่นำมาจากเมียนมาร์ ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อปี 2417 โดย "พญาสิงหนาทราชา" ซึ่งเป็นเจ้าเมืองคนแรกของแม่ฮ่องสอน จากวัดพระธาตุนี้ เราสามารถมองเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้ทั้งเมือง รวมถึงสนามบิน และภูมิประเทศต่างๆ ได้โดยรอบปางอุ๋ง งามจนเกือบหยุดหายใจ
สถานที่ดึงดูดให้คนเดินทางสู่แม่ฮ่องสอนกันมาก ก็คือ "ปางอุ๋ง" เนื่องจากมีบรรยากาศชวนโรแมนทิคแทบทุกพื้นที่ ทิวสนสูงใหญ่สีเขียว ตัดกับผื่นน้ำโดยมีต้นสนเป็นแบคกราวน์ด ทำให้ปางอุ๋งได้รับขนานนามว่าเป็น "สวิทเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทย" ในยามเช้าจะมีไอหมอกจางๆ ลอยเหนือผื่นน้ำ มีหงษ์สีดำขาวมากมายที่ทางโครงการฯ เลี้ยงไว้ ต่างแหวกว่ายชูคออย่างมีความสุข คำว่า "ปาง" หมายถึง ที่พักคนงานในป่า ส่วน "อุ๋ง" เป็นภาษาเหนือ หมายถึง ที่ลุ่มต่ำ รวมกันเป็น "ที่พักริมอ่างเก็บน้ำ" พื้นที่ของปางอุ๋ง เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง บริเวณรอบๆ อ่างเก็บน้ำเป็นทิวสนที่ปลูกเรียงกันอย่างสวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถนั่งแพชมทัศนียภาพรอบปางอุ๋งได้ คุณจะพบกับความรู้สึกใหม่ ที่ยากจะลืมเลยทีเดียว ความจริงแล้ว "ปางอุ๋ง" หรือ "โครงการพระราชดำริปางตอง 2" เป็นโครงการในพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ให้ห่างไกลจากสิ่งเสพติด เนื่องจากพื้นที่แถบนี้อยู่ติดกับชายแดนเมียนมาร์ มีกองกำลังต่างๆ ขนส่ง ปลูกพืชเสพติด รวมถึงบุกรุกทำลายป่า ราษฎรจึงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจนถึงปัจจุบันบ้านรักไทย หมู่บ้านสุดโรแมนทิค
จากปางอุ๋งมุ่งขึ้นเหนือไปอีก 6 กม. จะพบกับหมู่บ้านรักไทย ซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายก่อนสุดชายแดน (ไทย-เมียนมาร์) บ้านรักไทยเป็นหมู่บ้านชาวจีนที่อพยพหนีภัยมาช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งยังคงสืบทอดประเพณีทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน ลักษณะบ้านที่แปลกตา ทำจากดินเหนียวผสมฟางข้าว บริเวณหมู่บ้านมีทะเลสาบที่สวยงาม ถือเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ รายล้อมด้วยที่พักหลากสไตล์ ในบรรยากาศสุดแสนโรแมนทิค มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ด้านหน้าหมู่บ้านยังมีร้านอาหารยูนานรสชาติดีให้เลือกชิมมากมาย ใครชอบทานชาสามารถชิมชาเลิศรสจากชาพันธุ์ดี ซึ่งมีจำหน่ายในหมู่บ้าน ใครไปแล้ว จะหลงรักหมู่บ้านนี้แบบไม่รู้ตัวสะพานซูตองเป้ สร้างจากแรงศรัทธา
บริเวณถนนสาย 1095 บริเวณทางเข้าไปปางอุ๋ง ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ นั่นคือ "สะพานซูตองเป้" ซูตองเป้ เป็นภาษาไทยใหญ่ แปลว่า อธิษฐานสำเร็จ หรือ ความสำเร็จ เป็นสะพานที่สานจากไม้ไผ่จากแรงศรัทธาของชาวบ้านกุงไม้สัก โดยมีความยาวถึง 500 เมตร เพื่อให้ภิกษุสงฆ์ และชาวบ้านที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำสะงาได้ใช้สัญจรไปมา เสาไม้แต่ละต้นได้มาจากเสาบ้านเก่าของชาวบ้านที่บริจาค จึงทำให้บางจุดสูงบ้าง เตี้ยบ้าง แต่ด้วยพลังแห่งศรัทธา ทำให้สะพานซูตองเป้ใช้เวลาสร้างแล้วเสร็จเพียง 2 เดือนเท่านั้น นอกจากใช้สัญจรไป/มาแล้ว ยังมีทัศนียภาพของทุ่งนา งานไม้ไผ่ที่สวยงาม ท่ามกลางอากาศที่สดชื่น ทำให้ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งของจ. แม่ฮ่องสอนสะพานปาย สะพานแห่งความทรงจำ
ขากลับเราผ่านอำเภอปาย สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของไทย ด้วยเวลาที่จำกัด เลยแวะได้ไม่กี่ที่ หนึ่งในนั้น คือ "สะพานประวัติศาสตร์ปาย" เป็นสะพานที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 2485 ขณะที่ญี่ปุ่นเรืองอำนาจอยู่ในประเทศไทย ทหารญี่ปุ่นใช้อำเภอปายเป็นเส้นทางขนส่ง จากเชียงใหม่ไปยังเมียนมาร์ สะพานแห่งนี้เป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพล และอาวุธสู่เมียนมาร์เช่นเดียวกับสะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่จ. กาญจนบุรี ปัจจุบันก็มีการสร้างสะพานคอนกรีทมาตรฐานแทนที่ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวจุดสำคัญของปายไปแล้ว สามารถเดินถ่ายรูป ชมบรรยากาศลำน้ำแม่ปายได้ ในช่วงเย็น ผมแวะชมถนนคนเดินปายเล็กน้อย มีชาวต่างชาติมากมาย ดูเผินๆ มากกว่าคนไทยเสียอีก เดินและขี่มอเตอร์ไซค์กันขวักไขว่ ปาย ณ ปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปมากขนาดไหนแล้ว ไว้คราวหน้าผมจะมาพิสูจน์ให้แบบจริงจังเลยครับขอขอบคุณ
บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ ในการเดินทางเรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม/พงศ์พล วานิชสมบัติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2559
คอลัมน์ Online : สารคดี(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/141053