รู้ไว้ใช่ว่า
"ดูหมิ่นตำรวจ"
"คลิพวีดีโอ" ช่วยให้เราๆ ท่านๆ อยู่ในสภาพเหมือน "ไทยมุง" ยังไงยังงั้น ได้เห็นทั้งภาพ ได้ยินทั้งเสียง
ต่อกรณีตำรวจยศ "แค่พันโท" ตามถ้อยคำของอาจารย์มหาวิทยาลัย แกนำมาเปรียบเทียบกับตำแหน่งหน้าที่ของตนว่าเป็นถึง "ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่" เจ้าตัวยังยืนยันหนักแน่นว่า ไม่ต้องโชว์บัตรข้าราชการ ไม่ต้องลงจากรถ ให้ตรวจแอลกอฮอล เพราะตำรวจแค่ยศพันโทกับพวก ต้องรู้สิว่าไผเป็นไผ เมื่อเห็นทะเบียนรถ ซึ่งจดแจ้งในประเทศไทยนะเฟ้ย อีกอย่าง อาจารย์อยู่ในจังหวัดนั้นมานานกว่า 30 ปีแล้วนะ ไปงานเลี้ยงมานะ ขืนเป่าหลอดตามที่ตำรวจต้องการ ก็เจอทุกคนสิ แล้วสำทับอีกว่า เป็นกรรมการ กตร. จังหวัดซะด้วย ตั้ง 2 สมัย ตำรวจต้องรู้จัก เป็นลูกศิษย์ทั้งนั้น จึงมีสิทธิ์ขับรถหลบไปดื้อๆ ยังไงก็ไม่เป่า น้องๆตำรวจจะเอารถมาปาดหน้า บังคับให้หยุดได้ไง ทำยังงี้ได้ไง ขอบอก
นายตำรวจค่อนข้างหนุ่ม อายุแค่ 30 ปีเศษๆ แกเอาจริง เข้ายุค "ใหญ่แค่ไหนก็จับ "เถียงยันป้าย" ไม่อะลุ่มอล่วย ไม่รับฟังข้ออ้างใดที่อาจารย์ยกมาข้างต้น โดนอาจารย์ใช้มือสัมผัสตัวทีหนึ่ง ยังขึ้นเสียง ผลักผมทำไมๆ และออกปากว่า ผู้ใหญ่ยังงี้ผมไม่นับถือ เล่นเอาผู้ชมทางบ้านได้ลุ้น จะมีรายการออกเหงื่อไหมนี่ เรื่องลงเอยเมื่อท่านผู้กำกับ ซึ่งอาจารย์โทรศัพท์ไปหา เผอิญรับสายพอดี สั่งให้ลูกน้องเปิดทาง ปล่อยอาจารย์ไปก่อน ไม่เอาถึงขั้นจนตรอก หรือเกิดเรื่องรุนแรง ผลต่อมา คือ วันรุ่งขึ้น อาจารย์ยอมขอโทษตำรวจ ขอโทษประชาชน ยอมให้ปรับข้อหาขัดขืนเจ้าพนักงาน วันถัดมาสาบานว่าจะไม่กินเหล้าตลอดชีวิต ถือว่าอาจารย์แก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง หลังจาก "หมดสภาพ" หรือ "เละตุ้มเปะ" ในคืนนั้น ไม่แข็งขืน หรือออกอาวุธอย่างอื่น หรือศอกกลับ แจ้งข้อหาตำรวจ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามที่นักเลงคีย์บอร์ดบางรายแนะไว้ สาเหตุหลักคงอยู่ที่ "คลิพวีดีโอ" ความยาว 5-6 นาที ซึ่งน่าจะเป็นลูกน้องของนายตำรวจ ถ่ายลงยูทูบ เป็นตัวบังคับ หลังจากเป็นข่าวกระฉ่อน คนรู้จักทั้งประเทศ ไม่แต่เฉพาะในจังหวัดที่อยู่มา 30 กว่าปี หนอย ไอ้น้องตำรวจยศพันโท บอกว่าไม่รู้จัก ช่างทำกับฉันได้
สำหรับผม ถือเป็นคลิพวีดีโอเบาสมอง ประจำปี 2557 คลิพหนึ่งละครับ ไม่คิดอะไรเยอะ เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องขำๆ ข้างต้น จึงนำคดีทำนองนี้ที่เกิดขึ้นจริง สู้คดีตั้ง 3 ศาลมาโชว์ซะเลย
"นายอึดจัง" ซึ่งเป็นคนไทยเรานี่แหละ โดนอัยการนำตัวไปฟ้องเอาผิด ข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน บังอาจพูดใส่หน้าตำรวจในเครื่องแบบ ขณะโดนเล่นงานคดีจราจรว่า "ตำรวจแม่ง...ใช้ไม่ได้"
นายอึดจัง ไม่ใช่ย่อย แม้โทษไม่หนักหนา แค่ปรับ ก็ยังสู้คดี รับว่าพูดยังงั้นจริง แต่ไม่เข้าข่ายดูหมิ่น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นนั่งหน้าเครียดบนบัลลังก์ ดามสไตล์ของคนอาชีพนี้ เพื่อให้เห็นความขลัง พิจารณาแล้วตัดสินลงโทษ นายอึดจัง ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ปรับ 1,000บาท
จำเลย คือ นายอึดจัง เสียเงินจ้างทนายเยอะกว่าค่าปรับอยู่แล้ว ยื่นอุทธรณ์ เถียงว่าตามรูปการณ์ที่เกิดขึ้น นายอึดจัง เกิดความอึดอัดจริงๆ กับการทำงานของตำรวจ จึงพูดออกไป ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์อ่านแต่สำนวนในห้องทำงาน สีหน้าจึงปกติ ไม่ต้องเก๊กบึ้ง พิจารณาแล้ว เห็นไปคนละทางกับศาลชั้นต้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
อัยการโจทก์มองว่า นายอึดจัง พูดแรงใส่ตำรวจ เข้าข่ายดูหมิ่นชัดๆ จึงยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษตามฟ้อง
ศาลฎีกาคว้าสำนวนคดีนี้ ซึ่งเป็นคดีบางๆ กล้วยๆ มาพิจารณาอย่างอารมณ์ดี แล้วชี้ขาดว่า การกระทำอันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการ "ดูหมิ่น" ซึ่งหมายถึง การด่า ดูถูกเหยียดหยามหรือสบประมาทให้อับอาย ต้องดูพฤติการณ์แวดล้อมว่า มุ่งหมายให้เข้าใจไปทางไหน งานนี้ นายอึดจัง พูดใส่ผู้หมวดยศร้อยโท หลังจากที่โดนเรียกรถที่เขาขับเพื่อขอตรวจ แล้วพบว่าขาดต่อภาษีประจำปี นายอึดจัง แจ้งให้ผู้หมวดกับพวกทราบว่า เคยถูกจับเสียค่าปรับข้อหาเดียวกัน เมื่อวานนี้เองที่แปดริ้ว เขาให้พ่อไปเสียภาษี แต่ยังไม่ได้เอกสารมาจากพ่อ หนอยผู้หมวดกับพวกยังออกใบสั่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้หมวดได้ชี้แจงทำความเข้าใจให้ นายอึดจัง ทราบถึงเหตุที่ต้องออกใบสั่งว่า เป็นเพราะไม่มีหลักฐานการเสียภาษีมาแสดงในขณะนั้น หรือไม่ก็เปิดโอกาสให้นำหลักฐานการเสียภาษีมาแสดง อีแบบนี้ศาลมองว่า นายอึดจัง ต้องอึดอัดใจ รู้สึกว่าตำรวจไม่ให้ความสำคัญ ไม่สนใจคำชี้แจงของชาวบ้านเท่าที่ควร รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและน้อยใจ จึงกล่าวเชิงตำหนิการทำหน้าที่ของตำรวจ ศาลถือว่าเป็นแค่คำพูดไม่สุภาพ ไม่สมควร ไม่ถึงขั้นด่าว่า หรือดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาท ให้ตำรวจอับอาย ยังไม่เป็นความผิด
ศาลฎีกาจึงยอมเมื่อย พิพากษายืน ยกฟ้องโจทก์เสีย ตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้นั่นแหละ
ท่านผู้อ่าน และชาวเนท หรือนักเลงคีย์บอร์ดโปรดทราบ ตามแนวทางที่ศาลท่านตัดสินไว้นั่นเถิด ใช่ว่าชาวบ้านพูดอะไรเป็นการดูหมิ่นเจ้าหน้าที่เสียหมด ต้องดูพฤติการณ์แวดล้อม กรณีคลิพวีดีโอก็มีบางรายมองว่า อาจารย์ดูหมิ่นตำรวจ ไม่เข้าข่ายหรอกครับกับการพูดว่า "ยศแค่พันตำรวจโท" หรือการพูดว่า หน้าตัวเมีย หน้าหมูหมา หน้านั่นนี่ บางกรณีอาจถือว่าดูหมิ่น ถ้าทำให้เขาอับอาย แต่ไม่ใช่ "หมิ่นประมาท" อย่างที่เข้าใจ เพราะศาลท่านฟันธงไว้ ผู้ฟังเขาไม่เชื่อหรอกว่า เป็นคนแท้ๆ จะกลายเป็นหน้าหมู หน้าหมา หน้าแบบนั้นแบบนี้ แล้วเกิดความเกลียดชัง ถ้าพูดว่าทำชั่วทำเลวยังงั้นยังงี้ ถ้าเขาไม่เลวจริง จึงจะเข้าข่ายหมิ่นประมาท นะครับ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8016/2556
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2558
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/13559