ระเบียงรถใหม่
MERCEDES-AMG GT/GT S
การตั้งชื่อรุ่นของรถยนต์แต่ละยี่ห้อนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ และส่งผลเป็นอย่างมากต่อการรับรู้ของผู้ใช้รถ ระบบการตั้งชื่อรุ่นที่ใช้ได้ดีในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนไปเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป มีตัวอย่างของผู้ผลิตรถยนต์หลายราย ที่ตัดสินใจเลิกใช้ระบบการตั้งชื่อรถที่ใช้มานมนานและคิดวิธีใหม่มาแทนที่ รายล่าสุด คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDES-BENZ) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ ซึ่งไม่ถึงกับล้มเลิกระบบเดิมทั้งหมด แต่เป็นการปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับสินค้ารถยนต์ที่ผลิตขายในขณะนี้และที่จะมีเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างหลากหลาย ผิดจากในอดีตที่เคยมีรถยนต์ติดตรา "ดาวสามแฉก" ให้เลือกใช้เพียงไม่กี่รุ่น ไม่กี่แบบ
ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์เพิ่งประกาศการเปลี่ยนแปลงเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนของปีม้าพยศ โดยให้อรรถาธิบายว่า เป็นการปรับปรุงระบบการตั้งชื่อรุ่นเพื่อเน้นในความสำคัญของรถ 5 อนุกรมหลัก คือ A-CLASS B-CLASS C-CLASS E-CLASS S-CLASS รวมทั้งเพื่อบ่งบอกความเกี่ยวเนื่องของรถรุ่นอื่นๆ กับรถ 5 อนุกรมหลักนี้ ระบบที่นำมาใช้ใหม่นี้ รถอนุกรมหลักที่กล่าวข้างต้น ยังคงใช้ชื่อเดิม รถคูเป CLA-CLASS ซึ่งพัฒนาจากรถ A-CLASS และรถคูเป CLS-CLASS ที่พัฒนาจากรถ S-CLASS ยังคงใช้ชื่อเดิม รถสปอร์ท SL-CLASS ก็ยังคงใช้ชื่อเดิม แต่รถสปอร์ทรุ่นจิ๋ว คือ SLK-CLASS จะเปลี่ยนชื่อ SLC-CLASS ส่วนรถกิจกรรมกลางแจ้งซึ่งมีอยู่รวม 5 อนุกรมนั้น G-CLASS กับ GLA-CLASS ยังคงใช้ชื่อเดิม แต่รถ GLK-CLASS ML-CLASS GL-CLASS จะเปลี่ยนชื่อเป็น GLC-CLASS GLE-CLASS GLS-CLASS ตามลำดับ
นอกจากนั้นยังมีการกำหนดรหัสอักษรห้อยท้ายเพื่อบ่งบอกชนิดของเครื่องยนต์ขึ้นใหม่ด้วย นั่นคือ รถติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้แกสธรรมชาติ (COMPRESSED NATURAL GAS) เป็นเชื้อเพลิงจะใช้รหัส C ห้อยท้าย ตัวอย่าง คือ รถ MERCEDES-BENZ B 200 C รถติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเดิมเคยใช้รหัส CDI หรือ BLUETEC เปลี่ยนเป็นใช้รหัส D รถติดตั้งระบบขับไฮบริด ซึ่งเดิมใช้ชื่อ HYBRID หรือ BLUETEC HYBRID เปลี่ยนเป็นใช้รหัส H รถไฟฟ้า หรือรถติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟใช้รหัส E และรถขับเคลื่อนด้วยพลังของเซลล์เชื้อเพลิง (FUEL CELL) ใช้รหัส F การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทั้งปวงที่ว่านี้ ใหม่ๆ ทั้งผู้ขายรถและผู้ใช้รถอาจหัวหมุนเพราะยังไม่ชิน แต่นานเข้าก็คงเริ่มคุ้น
ที่นำเรื่องราวของค่าย "ดาวสามแฉก" มาเล่าสู่กันฟังอย่างยืดยาว ก็เนื่องจากเดือนนี้เป็นอีกเดือนหนึ่งที่ "ระเบียงรถใหม่" มีแต่รถสปอร์ท และรถสมรรถนะสูงเหมือนรถสปอร์ทล้วนๆ แถมมีอยู่ถึง 4 รุ่น ที่เป็นผลงานของยอดผู้ผลิตรถหรูรายนี้ เริ่มกันที่รถ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที (MERCEDES-AMG GT) และ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที เอส (MERCEDES-AMG GT S) ซึ่งเพิ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนในลักษณะ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานเปิดตัวซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษในเยอรมนี เมื่อวันอังคารที่ 9 กันยายนของปีม้าพยศ
เป็นรถสปอร์ท "ซูเพอร์คาร์" ที่ยอดผู้ผลิตรถหรูเมืองเบียร์บรรจุเข้าสู่สายการผลิตที่เมืองซินเดลฟิงเกน (SINDELFINGEN) ในเยอรมนี แทนที่ซูเพอร์คาร์รุ่นเดิมซึ่งเป็นรถประตูปีกนกติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอมจี คูเป (MERCEDES-BENZ SLS AMG COUPE) และนับเป็นผลงานชิ้นที่ 2 ที่สำนัก เอเอมจี (AMG) ออกแบบ/พัฒนาขึ้นเองตั้งแต่จนจบ ไม่ใช่ดัดแปลงจากรถที่มีอยู่ก่อนแล้วในสายการผลิต
การปรากฏตัวของรถรุ่นใหม่นี้ สร้างความประหลาดใจ และเรียกเสียงวิจารณ์จากบรรดานักออกความคิดเห็นได้อย่างอึงคะนึง เนื่องจากมีคุณสมบัตินานาประการที่เห็นได้ชัดว่าเป็นรองรถรุ่นเดิม กล่าวคือ ตัวถังมีขนาดเล็กกว่ารถรุ่นเดิม หน้าตาและรูปทรงองค์เอวตัวถังไม่อาจทำให้ผู้พบผู้เห็นต้องสูดลมหายใจเหมือนรถรุ่นเดิม เครื่องยนต์ให้แรงม้าและแรงบิดน้อยกว่าเดิม และค่าตัวก็ย่อมเยากว่าเดิม คำถามที่ตามติดมาก็คือ ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์เริ่มถอดใจแล้วหรือกับการทำรถระดับซูเพอร์คาร์ ?
เช่นเดียวกับรถรุ่นเดิม ค่าย "ดาวสามแฉก" ทำรถซูเพอร์คาร์รุ่นใหม่นี้เป็น 2 โมเดล คือ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที (MERCEDES-AMG GT) กับ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที เอส (MERCEDES-AMG GT S) ทั้ง 2 โมเดลอยู่ในตัวถังเดียวกัน เป็นตัวถัง 2 ประตูคูเป ยาว 4.546 ม. กว้าง 1.939 ม. และสูง 1.288 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้เพียง 2 คน และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.36 รูปทรงองค์เอวของตัวถังมีลักษณะ "หน้ายาวท้ายสั้น" อย่างที่เห็นได้ชัดในภาพประกอบ สัมผัสตัวจริงแต่เสียงไม่จริงมาแล้วตอนที่ไปเหยียบบูธของค่ายนี้ในงานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุด ยืนยันได้เลยว่า มองด้านหน้าดูดีมาก แต่มองด้นหลังดูขัดตาพิกล
ความแตกต่างของรถ 2 โมเดลที่กล่าวข้างต้นเมื่อมองจากภายนอกมีอยู่เพียง 2-3 จุด คือ กันชนหน้า/หลัง ท่อไอเสีย และกระทะล้อ ความแตกต่างซึ่งเป็นสาระสำคัญมองไม่เห็นจากภายนอกเนื่องจากเป็นชิ้นส่วนที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหน้าคือเครื่องยนต์ กล่าวคือ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที ติดตั้งเครื่องยนต์ไบเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 3,982 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 340 กิโลวัตต์/462 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. และแรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร/61.2 กก.-ม. ที่ 1,600-5,000 รตน. ในขณะเดียวกัน เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที เอส ก็ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกันนี้ แต่ปรับแต่งพิเศษจนกำลังสูงสุดพุ่งขึ้นเป็น 375 กิโลวัตต์/510 แรงม้า ที่ 6,000-6,500 รตน. และแรงบิดสูงสุดพุ่งขึ้นเป็น 650 นิวตัน-เมตร/66.3 กก.-ม. ที่ 1,750-5,000 รตน. คือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 และร้อยละ 8.3 ตามลำดับ ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลัง ทั้ง 2 โมเดลติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT DCT7
สมรรถนะความเร็ว/อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง/และคุณสมบัติไอเสียตามตัวเลขของค่าย "ดาวสามแฉก" เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที ซึ่งในเยอรมนีติดป้ายค่าตัว 115,400 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 4.62 ล้านบาทไทย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 304 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 9.3 ลิตร/100 กม. หรือ 10.8 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 216 กรัม/กม. โดยเฉลี่ย ส่วน เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที เอส ซึ่งแพงกว่ากันนิดหน่อย คือ 134,400 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 5.38 ล้านบาทไทย ใช้เวลาเพียง 3.8 วินาที ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ส่วนความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นนิดหน่อย คือ เป็น 310 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นนิดหน่อยเป็น 9.4 ลิตร/100 กม. หรือ 10.6 กม./ลิตร และสุดท้าย คือ อัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์จากปลายท่อไอเสียก็มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็น 216 กรัม/กม.
MERCEDES-AMG GT
* มิติตัวถัง 4.546x1.939x1.288 ม.
* สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.36
* เครื่องยนต์ไบเทอร์โบเบนซินฉีดตรง 462 แรงม้า
* ความเร็วสูงสุด 304 กม./ชม.
* ค่าตัวรวมภาษีในเยอรมนี 115,400 ยูโร
MERCEDES-AMG GT S
* มิติตัวถัง 4.546x1.939x1.288 ม.
* สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.36
* เครื่องยนต์ไบเทอร์โบเบนซินฉีดตรง 510 แรงม้า
* ความเร็วสูงสุด 310 กม./ชม.
* ราคารวมภาษีในเยอรมนี 134,400 ยูโร
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2558
คอลัมน์ Online : ระเบียงรถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/13536