โค้งอันตราย
รอดครึ่งปีแล้ว
จบการขายในรอบครึ่งปี ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ตัวเลขเดือนสุดท้าย น่าจะเป็นพระเอกทำให้ยอดปิดครึ่งปี รอดพ้นจากตัวเลขติดลบอย่างเฉียดฉิว โดยเดือนมิถุนายนเดือนเดียว ขายกัน 63,915 คัน ปิดด้วยขายมากกว่าปีก่อนอยู่ 9.9 % ช่วยให้ยอดครึ่งปี โดดขึ้นมามากกว่าปีที่แล้ว 0.2 % ขาย 359,018 คัน
จากยอดดังกล่าว ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรม จะยังไม่ปรับลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้ ที่ประเมินไว้ว่าจะอยู่ในระดับ 1.95-2 ล้านคัน โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วโดยเฉลี่ย 2-4 % แบ่งเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศ 7.5-7.8 แสนคัน และส่งออกที่ 1.22-1.25 ล้านคัน หลังจากที่ยอดขายภายในและส่งออก 6 เดือนแรกปีนี้ มีทิศทางที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่สถาบันวิจัยหลายแห่ง หรือวงการไฟแนนศ์ ก็มองเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่ว่า ยอดการขายในประเทศปีนี้ จะอยู่ที่เกือบ 800,000 คัน ได้ไม่ยาก ด้วยตัวเลขที่น่าจะมาจากโครงการรถคันแรกที่จะหมดอายุในปีนี้ ครบ 5 ปี ตามเงื่อนไขห้ามเปลี่ยนมือภายใน 5 ปี แต่ก็น่าจะขยับไปสักเล็กน้อย
ทั้งนี้เพราะนโยบายรถคันแรก เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 ใกล้จะครบกำหนดเงื่อนไข 5 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่ส่งผลโดยตรงกับตลาดรถยนต์มากนัก เนื่องจากช่วงเริ่มนโยบายรถคันแรก ไทยประสบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคกลาง ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนยานยนต์ในการประกอบรถยนต์
โรงงานส่วนใหญ่ต้องชะลอการผลิต ประกอบกับน้ำท่วมใหญ่เป็นเวลานาน ทำให้ผู้ประสบภัยชะลอการซื้อรถใหม่ ที่ยังขายได้จะเป็นภาคอื่นๆ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ไม่ประสบปัญหาน้ำท่วม
ซึ่งหากมีการเปลี่ยนมือจริง ก็น่าจะไม่นานมากไปกว่านี้ เพราะปัจจุบัน รถยนต์ขนาดเล็ก ที่ราคาค่อนข้างใกล้เคียงกับอีโคคาร์ มีให้เลือกค่อนข้างมาก
น่าจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้อีโคคาร์มาแล้ว ตัดสินใจเปลี่ยนขนาดของรถให้ใหญ่ขึ้นได้ง่าย โดยรวมแล้วก็น่าจะช่วยให้ตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลังกระเตื้องขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย
โครงการรถคันแรก มีผลดีตรงที่ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ยอดการผลิตปี 2556 ขยับขึ้นเป็นปีละกว่า 2 ล้านคัน สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก แต่หลังจากหมดโครงการ ความต้องการก็ลดลงตามไปด้วย สำหรับผลเสียนั้นก่อให้เกิดหนี้ครอบครัว จากการเช่าซื้อรถยนต์ถึง 80 % ของ จีดีพี
มีการเช่าซื้อรถยนต์สูงเกินล้านล้านบาทเป็นครั้งแรก ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงทุกประเภทสินค้า นอกจากนี้ โครงการรถคันแรกยังเป็นการบิดเบือนตลาด จากปกติยอดขายในประเทศอยู่ที่ปีละ 8-9 แสนคัน ก็พุ่งเป็นปีละ 1.4 ล้านคัน โรงงานประกอบต้องเร่งการผลิตเป็น 2-3 กะ พร้อม โอที แต่ในเมื่อโครงการจบลงได้ ก็น่าจะทำให้ความต้องการใช้รถของผู้บริโภค ปรับตัวเข้ากับความเป็นจริง
ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้ค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงของตลาด
ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สศอ. เปิดเผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม MPI ไตรมาส 2 ของปี 2559 ขยายตัว 1.5 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากดัชนีเดือนมิถุนายน 2559 ขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่อง ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.82 % โดยอุตสาหกรรมที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอีเลคทรอนิคส์ เคมีภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน และรถจักรยานยนต์ การขยายตัวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม ที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนมิถุนายน 2559 เป็นบวก ได้แก่ รถยนต์ มีการผลิตเพิ่มขึ้น 13.27 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสินค้าประเภทรถพิคอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถยนต์นั่งขนาดใหญ่, เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน มีการผลิตเพิ่มขึ้น 150.12 % จากสินค้าประเภทคอนเดนซิงยูนิท และแฟนคอยล์ยูนิท เนื่องจากอากาศที่ร้อนมากขึ้น ทำให้มีความต้องการเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น รวมทั้งชิ้นส่วนอีเลคทรอนิคส์ ผลิตเพิ่มขึ้น 4.50 % เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก และรถจักรยานยนต์ ผลิตเพิ่มขึ้น 18.49 % เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
ส่วนอุตสาหกรรมสำคัญที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ ในไตรมาส 2/2559 มีการผลิตรถยนต์ประมาณ 486,000 คัน เพิ่มขึ้น 18.45 % เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 187,000 คัน เพิ่มขึ้น 9.19 % เป็นการผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 287,000 คัน
คาดว่าตลาดในประเทศจะฟื้นตัวต่อเนื่อง จากอานิสงส์เม็ดเงินลงทุนจากโครงการพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของภาครัฐ ที่จะส่งผลให้การผลิตเหล็กเส้นในประเทศเพิ่มมากขึ้น
ก็ได้แต่หวังว่า การลงทุนของภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะเป็นตัวช่วยให้ตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลัง ฟื้นคืนกลับสู่ภาวะปกติ อันจะทำให้ยอดการขายของปีนี้ ขึ้นไปเฉียดระดับ 800,000 คันได้ไม่ยาก
มาช่วยกันภาวนาดีกว่า
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2559
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/133058