รู้ไว้ใช่ว่า
"รัดเข็มขัดประหยัดชีวิต"
ผมเป็นหนี้บุญคุณ "เข็มขัดนิรภัย" หากไม่ใช้มัน ผมคงจากโลกนี้ไปเมื่อกว่า 20 ปีโน่นแล้ว เมื่อรถ 6 ล้อจอดตาย คร่อมเส้นแบ่งถนน 2 เลน เขาเอาใบไม้วาง ห่างท้ายรถไม่ถึงยี่สิบเมตร (นิสัยถาวรของพวกเรา) ขณะนั้นพลบค่ำ มีรถสวน ไฟแยงตา พอเจอกองใบไม้ จำได้...ผมรู้สึกเย็นวาบ เหมือนเห็นผี เหยียบเบรคทันที จากร้อยนิดๆ คงลดลงพอสมควร แต่ไม่เพียงพอ รถทิ่มท้าย 6 ล้อจังๆ หน้ารถยุบ เครื่องพัง รีบเผ่นออกประตูอีกด้านที่ยังเปิดได้ กลัวไฟลุกไหม้ ผมไม่ตายไม่บาดเจ็บ เข็มขัดนิรภัยช่วยไว้เต็มๆ ส่วนรถต้องเปลี่ยนหัวเปลี่ยนเครื่อง คิดดูว่าชนแรงไม่แรง
ทุกวันนี้นั่งรถปุ๊บ รัดเข็มขัดปั๊บ มันช่วยได้จริงๆ เอาง่ายๆ แค่เบรคกะทันหัน ก็บาดเจ็บได้ หากไม่มีเข็มขัดรั้งไว้ นี่คือเรื่องจริง ที่คนใช้รถมองข้ามกันเยอะ
ผมหยิบยกเรื่องนี้มาแจง สืบเนื่องจากหญิงสาวรายหนึ่ง ขึ้นมึงกูหยาบคายใส่เจ้าหน้าที่ เมื่อโดนตำรวจจุดนั้นเอาเรื่อง ฐานไม่คาดเข็มขัดนิรภัย โวยแหลกว่า จุดอื่นเขาไม่เห็นจับ ประมาณว่าตำรวจนั่นเลวมากๆ ลงท้ายจะโทรฟ้อง "พ่อง"
สมาร์ทโฟนยุคนี้ให้คุณประโยชน์ มีคนถ่ายวีดีโอเอาลงยูทูบประจาน เจ้าหล่อนโดนจวกเละ ป่านนี้คงจำบ้านเลขที่ไม่ได้กระมัง ความคิดที่ว่า
"ข้าเคยทำผิด หรือคนอื่นก็ทำผิด แล้วไม่โดนจับ จะมาเล่นงานข้าไม่ได้หรอก"
ไปเถียงได้ทุกที่ทุกแห่งบนโลกนี้ ในเมื่อคนทำผิดกรณีต่างๆ รอดพ้นคุกตะรางไม่โดนลงโทษ เป็นเรื่องธรรมดา มันคือโชคช่วย หรือมีตำรวจไม่เพียงพอ ที่จะไปยืนประกบชาวบ้านทุกคน หรือเจ้าหน้าที่ละเลย ไอ้ที่ทำผิด ยังไงก็ผิดวันยังค่ำ เมื่อใดเจ้าหน้าที่เอาเรื่อง ไปโก่งคอเถียง อย่างกรณีหญิงสาวในคลิพวีดีโอ จากชาตินี้ยันชาติหน้า ก็ไม่พ้นผิดไปได้ เผลอๆ เจอข้อหาอื่นพ่วงเข้าไปอีก เป็นการใช้ตรรกะที่ไม่เข้าเรื่อง
ส่วนที่เป็นคุณของสาววีน ก็มีบ้าง เป็นการว๊ากตำรวจให้เคร่งครัดในการใช้กฎหมาย จะเล่นงานคนไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ต้องทำให้เสมอหน้า อย่าละเว้น เจอเธอฝ่าฝืนที่ไหน จัดการที่นั่น รวมทั้งคนอื่นๆ ซึ่งแท้ที่จริงเป็นการทำคุณ ให้คนใช้รถเกิดความปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่ตายโหง ตำรวจไม่ได้ทำเลว ยิ่งไม่รีดไถ แต่ปรับตามกฎหมาย ยิ่งต้องสาธุ
ตามมาติดๆ ด้วยคดีความที่น่าสนเช่นเคย เป็นกรณีของผู้ที่บาดเจ็บจนพิการ กลายเป็นบุคคลไร้ความ สามารถ มีคนประสบชะตากรรมอันน่าอนาถ เพราะรถและความประมาทของเขาของเรา นับไม่ถ้วนก็แล้วกัน ครอบครัวใครจะโดนเท่านั้น
"นายงดงาม" ยังเรียนหนังสือ ชีวิตน่าจะงดงามดังชื่อ แต่เคราะห์หนัก โดนรถ 6 ล้อเฉี่ยวชนมอเตอร์ไซค์ที่หนุ่มน้อยขับขี่ ไม่ตาย แต่บาดเจ็บทุพพลภาพ พิการตลอดชีวิต ความรู้สึกตัวและความจำไม่ปกติ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ผู้เป็นพ่อ คือ "นายใสแจ๋ว" หน้างี้ดำ แบกรับภาระต่างๆ รวมทั้งกัดฟันจ้างทนายฟ้อง "นายเบี่ยงศักดิ์" คนขับรถ 6 ล้อ กับพวกรวม 3 คน ซึ่งเดิมที นายใสแจ๋ว คิดว่าเป็นเจ้าของรถ ให้รับผิดจ่ายค่าเสียหาย 4 ล้านกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย และยังต้องขึ้นศาลเยาวชนและครอบครัว ฯ ร้องขอให้ศาลสั่งเป็นผู้อนุบาลลูกชายตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อทำอะไรต่อมิอะไรแทนลูกที่หมดสภาพ ศาลไต่สวนแล้วไม่ขัดข้อง
เจอเรียก 4 ล้านกว่าบาท จำเลยรีบหาทนายสู้คดี อ้างนั่นนี่ขอให้ยกฟ้อง ต่อมา นายใสแจ๋ว รู้ว่าจำเลยที่ 3 ไม่เกี่ยว จึงขอถอนฟ้องไปเสีย เล่นงานเฉพาะ นายเบี่ยงศักดิ์ กับจำเลยที่ 2
ระหว่างสืบพยานโจทก์ นายใสแจ๋ว ในฐานะโจทก์ มารู้ว่า "หจก. ค้าขายมีกำไร" เป็นเจ้าของรถ 6 ล้อ และเป็นนายจ้างของ นายเบี่ยงศักดิ์ จึงยื่นคำร้อง ขอให้ศาลกวาดต้อนมาเป็นจำเลยร่วมรับผิด หจก. ค้าขายมีกำไร ตั้งชื่อแบบซื่อๆ สู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นนั่งพิจารณา ฟังพยาน 2 ข้าง เมื่อยพอประมาณ แล้วตัดสินให้ นายเบี่ยงศักดิ์ คนขับรถ 6 ล้อ จ่ายค่าเสียหายเกือบ 1 ล้าน 5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย แต่ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ หจก. ค้าขายมีกำไร
ทนายของ นายใสแจ๋ว ส่ายหน้าแบบหนังแขก บอกว่าต้องอุทธรณ์ ไม่งั้น นายเบี่ยงศักดิ์ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย อีกอย่างได้น้อยอีกต่างหาก คดีจึงขึ้นไปศาลอุทธรณ์ นายเบี่ยงศักดิ์ ก็อุทธรณ์ เพราะไม่มีเงินจ่าย
ศาลอุทธรณ์อ่านสำนวน แล้วเอาตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ พิพากษายืน
ยังดีที่ นายใสแจ๋ว เล่นเกมยาวได้ เพราะศาลอนุญาต คดีจึงขึ้นสู่ศาลฎีกา นายเบี่ยงศักดิ์ ก็มีลุ้น ฎีกาได้เช่น กัน
ศาลฎีกากางสำนวนคดีนี้เหล่ดูด้วยความชำนาญ แล้วชี้ขาดว่า งานนี้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ นายใสแจ๋ว เป็นผู้อนุบาลของ นายงดงาม ลูกชาย ตามคำสั่งศาล ฯ วันเวลาเกิดเหตุ นายเบี่ยงศักดิ์ ลูกจ้างของ หจก. ค้าขายมีกำไร จำเลยร่วม ขับรถบรรทุก 6 ล้อของ หจก. ถอยหลังเข้าโรงงานเสาเข็มโดยประมาท เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ นายงดงาม ขับขี่ เป็นเหตุให้ นายงดงาม เจ็บสาหัส กะโหลกศีรษะร้าว กระดูกคอหัก ทุพพลภาพและพิการตลอดชีวิต
จุดตายที่ว่า คดีที่ฟ้อง หจก. ค้าขายมีกำไร ขาดอายุความไหม ถ้าขาดโจทก์ชวดฉลู ได้ความว่า นายงดงาม หมดสภาพ กลายเป็นคนไร้ความสามารถ ไม่สามารถฟ้องคดีด้วยตนเอง ต้องอยู่ในความอนุบาล ให้ผู้อนุบาลดำเนินคดีแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง สำหรับแง่นี้ ศาลแจงว่า จะฟังว่า นายใสแจ๋ว รู้หรือไม่รู้ว่า หจก. ค้าขายมีกำไร เป็นเจ้าของรถ 6 ล้อ เป็นนายจ้าง นายเบี่ยงศักดิ์ หรือไม่ก็ตาม นายใสแจ๋ว ก็ฟ้องแทนลูกชายไม่ได้ จนกว่าศาลจะตั้ง นายใสแจ๋ว เป็นผู้อนุบาลลูกชายเสียก่อน
เมื่อตั้งแล้วก็ต้องนับอายุความ ตามมาตรา 193/20 ที่ระบุว่า "อายุความสิทธิเรียกร้องของผู้เยาว์หรือของบุคคลวิกลจริต อันศาลจะสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือไม่ก็ตาม จะครบในขณะที่บุคคลดังกล่าวยังไม่ลุถึงความสามารถเต็มภูมิ หรือในระหว่าง 1 ปี นับแต่วันที่ยังไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล อายุความนั้นยังไม่ให้ครบ จนกว่าจะครบ 1 ปี นับแต่วันที่บุคคลนั้นลุถึงความสามารถเต็มภูมิ หรือมีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือมีผู้อนุบาล และถ้าอายุความสิทธิเรียกร้องนั้นมีระยะเวลาน้อยกว่า 1 ปี ก็ให้กำหนดระยะเวลาที่สั้นกว่านั้นมาใช้แทนกำหนดระยะเวลา 1 ปีดังกล่าว" เพราะฉะนั้น เมื่อนับนิ้วตั้งแต่ นายใสแจ๋ว เป็นผู้อนุบาลลูกชาย เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2544 ก็จะครบ 1 ปี ในวันที่ 21 สิงหาคม 2545 การที่ นายใสแจ๋ว ดึง หจก. ค้าขายมีกำไร มาเป็นจำเลย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2545 ยังไม่ครบ 1 ปี นับแต่ได้เป็นผู้อนุบาล คดีที่ฟ้อง หจก. ค้าขายมีกำไร ไม่ขาดอายุความ
ศาลฎีกาจึงไม่เหนียมอาย พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 1, 2 และจำเลยร่วม ร่วมกันจ่ายเงินเกือบ 1 ล้าน 5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ดอกเบี้ยเริ่มคิดตั้งแต่วันเกิดเหตุ คือ 1 ธันวาคม 2543 อ่านคำตัดสินศาลฎีกาปี 2556 (นับแล้วราวๆ 13 ปี นายใสแจ๋ว ได้ดอกเบี้ยโขอยู่ จำเลยก็จ่ายอักโขเช่นกัน แต่ต้องรอนาน ไม่รู้ว่า นายใสแจ๋ว ยังมีชีวิตอยู่ไหม)
ถ้ารักชีวิต เมื่ออยู่ในรถยนต์ มีเข็มขัดนิรภัย ใช้มันเถิดครับ ปลอดภัยไว้ก่อน ดีนักแล
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2159/2556
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/13057