มาตรวัดตลาดรถ
ติดลบอยู่แค่ 2 %
[table]
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนพฤษภาคม 2016/2015
ตลาดโดยรวม, 16.0 % รถยนต์นั่ง,11.7 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV),29.6 % รถอเนกประสงค์ (MPV),- 50.4 % กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ,28.8 % กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ,-18.8 % อื่นๆ,-15.6 % [/table] [table]เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2016/2015
ตลาดโดยรวม,- 2.0 % รถยนต์นั่ง,- 14.5 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV),35.3 % รถอเนกประสงค์ (MPV),- 65.5 % กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ,2.3 % กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ,22.6 % อื่นๆ,-11.0 % [/table] วางเป้าหมายกันให้อุตสาหกรรมประเทศไทย ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทอล ให้เป็น MEW GROWTH ENGINE ให้ได้ในอนาคต แต่ยอดการขายรถยนต์ที่ผ่านมา เฉพาะในเดือนพฤษภาคม ก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะแม้ว่าจะสามารถทำตัวเลขได้ถึง 66,035 คัน เติบโต 16.0 % ก็ตาม แต่ยอดโดยรวมก็ยังคงติดลบอยู่ 2.0 % ขายกัน 308,787 คัน ยังไปไม่ถึงเป้าหมายปีนี้ด้วยซ้ำ แม้ว่าภาครัฐ พยายามที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรม ที่จะเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจไทย เติบโตได้ในอนาคต เพราะมีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการพัฒนาสูง พร้อมประกาศจะผลักดันให้ก้าวสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า แต่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับไฟฟ้าบ้านเรา ก็ยังมีประเด็นให้ชวนสงสัย ว่าจะก้าวไปถึงฝั่นฝันกันได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ อย่างที่ทราบกันดีอยู่ว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า มีส่วนที่เคลื่อนไหวในโครงสร้างพื้นฐานของตัวรถเพียง 18 รายการ ขณะที่ในยานยนต์เครื่องยนต์ปกติ มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวราว 2,000 รายการ แต่ในความเป็นจริง ชิ้นส่วนอะไหล่ทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า แค่ 18 รายการนี้ แทบว่าจะเป็นชิ้นส่วนย่อยที่นำเข้ามาประกอบในประเทศ ให้เป็นชิ้นส่วนใหญ่เพื่อใช้งาน ยังไม่มีการผลิตในประเทศมากเท่าใดนัก รวมทั้งไม่มีผู้สนใจลงทุนที่จะสร้างโรงงานผลิต นอกจากชิ้นส่วนแล้ว ก็ยังมีส่วนที่สำคัญที่สุด คือ แบทเตอรี ที่บ้านเรา มีการผลิตลิเธียม-ไอออน ซึ่งจะนำมาใช้ในยานยนต์ เป็นเพียงแบทเตอรีขนาดเล็ก ระดับ AA, AAA เท่านั้น ยังไม่เคยมีใครนำเอาลิเธียม-ไอออน มาทำเป็นแบทเตอรีขนาดใหญ่ เพื่อใช้ในรถยนต์เลย แม้จะไม่พูดถึงข้อจำกัดด้านราคาอย่างเดียวก็ตาม ตามมาด้วยการบริหารจัดการ แบทเตอรีใช้แล้ว ซึ่งถือเป็นของเสียที่เป็นวัสดุอันตราย ไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งว่า การกำจัดวัสดุอันตรายในอนาคต จะกระทำอย่างกันอย่างไร ที่ไหน มีใครบริหารจัดการ ไม่ให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม หรือผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง แค่เรื่องโรงไฟฟ้า ไม่ว่าจะใช้พลังงานชนิดใด เพียงประกาศออกมาว่าจะไปสร้างที่จังหวัดไหน เท่านั้นก็จะมีแบนเนอร์ขึ้นคัดค้านแทบจะไม่ทันข้ามวันด้วยซ้ำ ก่อนจะมี เอนจีโอ ออกมาร่วมกันคัดค้านอย่างขนานใหญ่ ดูได้แค่เรื่องการสร้างเขื่อนเพื่อนำพลังงานน้ำมาผลิตไฟฟ้า ป่านนี้แล้วก็ยังไม่สามารถสร้างได้สักแห่งหนึ่งเลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ อุปกรณ์เพื่อใช้ในการบริหารจัดการแบทเตอรี ที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิต ให้สามารถประจุ จ่ายไฟได้ด้วยความเหมาะสม และพอเพียง นี่ก็แทบว่าไม่มีใครเคยรู้จักกันเลย ขนาดในญี่ปุ่น เจ้าแห่งผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ยังต้องหาวิธีนำเอาแบทเตอรีใช้แล้วจากรถไฟฟ้า มาทำเป็นอุปกรณ์ประจำบ้าน เพื่อเก็บประจุไฟฟ้าในห้วงเวลาที่ราคาค่าไฟฟ้าถูก และจ่ายไฟฟ้าใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานไม่มากนัก ในห้วงเวลาที่ค่าไฟฟ้าแพง เพื่อแก้ปัญหาของแบทเตอรีใช้แล้ว เพราะเมื่อใดที่คุณภาพของการกักเก็บประจุไฟฟ้า เพื่อใช้ในยานยนต์ ลดลงถึงระดับหนึ่ง ราว 60 % เจ้าแบทเตอรีตัวนั้นก็แทบจะสิ้นสภาพของการใช้งานในยานยนต์แล้ว ต้องเปลี่ยนใช้แบทฯ ใหม่ ส่วนแบทฯ ลูกเก่าก็ต้องถอดออกมาทำลาย เคยขับรถกอล์ฟที่ใช้ไฟฟ้าในสนามกอล์ฟกันบ้างหรือเปล่า นั่นเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะตอนเริ่มหลุมแรก ไฟยังมีประจุเต็มหม้ออยู่ รถก็จะวิ่งฉิว แต่พอวิ่งไปหลุมท้ายๆ ยังไม่ทันเล่นจนจบเกม 18 หลุม เจ้ารถไฟฟ้านี้ก็จะค่อยอ่อนแรงลง วิ่งเกือบเหมือนเต่าคลาน นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ยกมาให้เห็น แถมอีกชิ้น อุปกรณ์ที่จะเปลี่ยนพลังงานจลน์ ที่เกิดจากการเบรค ให้กลายมาเป็นพลังงานไฟฟ้า ส่งกลับเข้าไปประจุในแบทเตอรีอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นเทคโนโลยีใหม่ รถยนต์ที่ออกจำหน่ายในบ้านเรา เพิ่งจะมีใช้มาเมื่อสัก 2 ปีที่ผ่านมานี้ แต่ก็มีเฉพาะในรุ่นรถราคาแพง ที่สั่งนำเข้าจากต่างประเทศ หรือรถที่เพิ่งจะเริ่มผลิตรุ่นใหม่ แต่ก็ยังไม่มีชิ้นส่วนอะไหล่ให้เลือกซื้ออยู่ดี ต้องสั่งนำเข้าชิ้นส่วนเล็กๆ จากต่างประเทศ เข้ามาประกอบเป็นชิ้นส่วนใหญ่ในบ้านเรา เรียกว่า วิศวกรในโรงงานแทบจะยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ แค่เพียงชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้ ยังหาคนมาลงทุนผลิตในประเทศยังไม่ได้ แม้ว่าภาครัฐจะเปิดโอกาส พร้อมที่จะสนับสนุนทั้งด้านค่าเครื่องจักร ลดภาษีลงทุน ลดภาษีรายได้ มากมาย พร้อมจะให้เป็น พโรดัคท์ แชมเพียน ตัวใหม่ของไทยทีเดียว แต่นักลงทุนก็ต้องมองไกลไปในอนาคต ว่าจะความต้องการรถไฟฟ้า และผู้บริโภคจะยอมรับกันสักเท่าใด ต้องผลิตกี่หน่วย/ปี ต่อเดือน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะให้มานั่งวางแผนกันบนก้อนเมฆ ในเมื่อยังไม่มีเป้าหมายในอนาคตให้มองกันเลย ก้าวให้ข้ามพ้น อุตสาหกรรม 3.0 นี่ไปให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยหยิบเอา 4.0 ขึ้นมาพูดก็ยังไม่สายจนเกินไปนะครับ ขอแสดงความนับถืออย่างสูงเรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/129574