รอบรู้เรื่องรถ
น้ำท่วม อย่าโทษฝน
ผมรู้สึกว่า หน้าฝนเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานทำไมมันกลับมาเร็วอย่างนี้ก็ไม่ทราบ น่าจะเกิดจากความรู้สึกที่เราไม่ชอบมันมากขึ้นทุกที ทั้งๆ ที่สมัยยังเป็นเด็ก ฤดูโปรดของผม เมื่อมองหาสาเหตุดู ก็พบว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นชาวเมืองหลวง และต้องใช้รถเป็นประจำของผม พูดให้แคบเข้าไปอีกก็คือ ความเดือดร้อนของชาวกทม. มันมาพร้อมกับหน้าฝน และที่ทำให้เราหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก ก็คือมันเป็นความเดือนร้อนเทียมครับ ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย แต่เกิดจากความชุ่ย ไร้ระเบียบวินัย รวมทั้งความขี้เกียจของผู้รับผิดชอบ ประชาชนก็ทิ้งขยะกันไม่เลือกที่ คนกวาดถนนก็กวาดมันลงช่องระบายน้ำไป ถ้าไม่มีใครเห็น เพราะง่ายดี พวกที่มีหน้าที่ลอกท่อระบายน้ำเตรียมไว้รับมือกับน้ำฝน ก็ไม่ทำ พวกเรากำลังถูกคนพวกนี้พยายามล้างสมอง ให้เชื่อว่าน้ำจะต้องท่วมถนนระดับที่รถผ่านแทบไม่ได้ การจราจรติดขัดไปครึ่งเมือง เมื่อใดก็ตามที่ฝนตกหนักแค่ไม่กี่สิบนาที เท่านี้ยังไม่พอ คนที่รับผิดชอบโดยตรงในตำแหน่งสูงสุด ยังออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "ไม่มีใครห้ามฝนไม่ให้ตกได้โว้ยจำไว้"
ระวังปั๊มเติมลมยางมหาภัยในปั๊มน้ำมัน
แต่ความเดือดร้อนจากน้ำท่วมถนนในหน้าฝน ก็ยังเทียบไม่ได้กับอันตรายถึงชีวิตจากการถูกไฟดูดครับ เท่าที่เห็นดูเหมือนปั๊มเติมลมในปั๊มน้ำมันจะเป็นอุปกรณ์ที่มีไว้ให้บริการแก่ลูกค้า โดยให้ลูกค้าเติมกันเอง เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานโดยอาศัยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะต้องมีสายดินต่อไว้ให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายผู้ใช้ กรณีที่มีกระแสไฟฟ้ารั่วออกมาถึงชิ้นส่วนภายนอกที่ลูกค้าสัมผัส ผมไม่แน่ใจว่า มีการต่อสายดินกันอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมีผู้ใช้รถถูกไฟดูดตายไปหลายรายแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเติมลมในหน้าฝน ขณะพื้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ที่จริงอุปกรณ์เหล่านี้ที่ติดตั้งอย่างบกพร่อง มันมีไฟรั่วอยู่ตลอดเวลาทุกฤดูแหละครับ แต่ถ้าเป็นพื้นแห้ง และผู้ที่ไปสัมผัสมันใส่รองเท้าที่แห้ง ร่างกายส่วนใหญ่เป็นฉนวนไฟฟ้า ก็จะถูกดูดไม่รุนแรง
เราคงจะหวังได้ยากครับ ว่าจะมีหน่วยงานไหนมาตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์เหล่านี้ สิ่งที่เราทำได้ คือ ต่างคนต่างก็ระวังภัยกันเอาเอง คำแนะนำของผมก็คือ ไม่ว่าพื้นจะแห้งอยู่หรือไม่ อย่าไปเติมเองครับ วานพนักงานเติมให้ แสดงทีท่าตอนออกปากให้ชัดว่าพร้อมที่จะจ่าย "ค่าเหนื่อย" ให้ ถ้าจำเป็นต้องเติมเอง ต้องใส่รองเท้าแห้งเสมอ ถ้าพื้นเปียกเลิกคิดที่จะเติมลมเลยครับ ลมยางอ่อนไปไม่ตายครับ แต่ถ้าไปเติมเอง ไม่แน่ อย่าว่าแต่จะไปจับมันเลยครับ เดินผ่านแล้วไปโดนมันเข้า ก็มีโอกาสตายได้ โชคดีที่ประชาชนในประเทศเรา มีโทรศัพท์มือถือกันเกือบหมด ทำให้หมดความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะ เพราะตู้โทรศัพท์เหล่านี้ ก็อยู่ในข่ายอุปกรณ์ที่ฆ่าคนมาไม่รู้เท่าไรแล้ว ถึงไม่ต้องใช้ ก็อย่าไปจับส่วนไหนของตู้นะครับ มองมันด้วยความระแวงไว้ก่อนครับ โดยเฉพาะในหน้าฝน แล้วเราจะอยู่รอดปลอดภัย
คุณขับรถด้วยท่า "วิน ดีเซล" หรือเปล่า
คงไม่มีใครที่อ่านนิตยสารของเรา ไม่รู้จักนักแสดงคนนี้นะครับ โดยเฉพาะท่าขับรถทางตรงอันเป็นเอกลักษณ์ ในภาพยนตร์เกี่ยวกับรถทุกตอน ซึ่งก็คือท่าขับพวงมาลัยมือเดียวตรงส่วนบนสุดของวงพวงมาลัย เรียกตามตำแหน่งบนหน้าปัดนาฬิกาก็คือเลข 12 ด้วยการเอนพนักพิงจนแขนเหยียดตึงพอดี ซึ่งเป็นท่าที่แย่ที่สุดแล้วในการจับพวงมาลัยแบบต่อเนื่อง อย่างแรกเลยคือเป็นการใช้มือเดียวแขนเดียว ซึ่งหากต้องออกแรงหมุนอย่างรวดเร็ว อาจไม่เร็วพอ เพราะไม่มีแรงพอเนื่องจากใช้ได้เพียงกล้ามเนื้อหัวไหล่ ส่งแรงมาแบบใช้แรงปิด เพื่อโยกแขนพร้อมมือไปในแนวนอน ประการที่สองเป็นท่าที่เมื่อยมากครับ เพราะต้องเหยียดแขนตรง และยังต้องใช้กล้ามเนื้อหัวไหล่รักษาทิศทางของรถ ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมจากการเลียนแบบ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบรถ ชอบขับรถเพราะคิดว่าเป็นท่าที่ดี ทั้งๆ ที่บางคนแขนลีบจนน่าเป็นห่วงว่าจะหมุนพวงมาลัยทันหรือไม่ หากต้องหลบหลีกกะทันหัน สำหรับ วิน ดีเซล เอง แม้จะเป็นท่าจับพวงมาลัยที่ไม่ดี แต่เขาไม่มีปัญหาครับ ด้วยกล้ามแขน และหัวไหล่ที่ใหญ่บึ้กขนาดนั้น ผมไม่มีเวลาไปค้นดูประวัติ วิน ดีเซล ว่านอกจอเป็นคนชอบรถ ชอบขับรถหรือเปล่า ถ้าใช่รับรองว่าไม่ขับด้วยท่านี้แน่นอน ถึงไม่ใช่ก็ไม่ขับด้วยท่านี้อยู่ดี ท่าที่เราเห็น และนำมาเลียนแบบใช้กัน ซึ่งเป็นท่าที่ผู้กำกับ ฯ เลือกให้ "ดูดีกว่า" มีความ "พิเศษ" เฉพาะในภาพยนตร์ ใครที่ใช้ในชีวิตจริงอยู่ เลิกเถอะครับ อันตราย และเมื่อยเปล่าๆ ครับ แถมคนในรถข้างๆ เห็นก็อาจจะหัวเราะเยาะเอาด้วย
ขับหรือนั่งไม่สบาย อย่าซื้อ
การเป็นบรรณาธิการเทคนิคที่นี่ มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง (ในหลายๆ อย่าง) ก็คือ มีโอกาสได้ลองขับรถที่ถูกส่งมาให้ทดสอบ หรือทดลอง ผมไม่ได้ลองทุกคันหรอกครับ ลองเฉพาะคันที่ผมอยากลอง และรถนั้น "ว่าง" อยู่พอดี ถ้ารถคันไหนน่าลองเป็นพิเศษ และไม่พร้อมในเวลากลางวัน ก็อาจถึงขั้นต้องเดินทางมาที่สำนักงานเป็นพิเศษในเวลากลางคืน ในด้านคุณสมบัติรถก็ไม่ต่างไปจากคน คือ มีข้อดี และข้อเสียอยู่ในตัวเสมอ ส่วนการจะตัดสินว่ารุ่นนั้นๆ ดีหรือไม่ เป็นเรื่องยากครับ เพราะนอกจากจะกำหนดหัวข้อแล้วให้คะแนน ยังมีความคาดหวังของเราผู้ใช้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ในความเห็นส่วนตัวของผม ถือว่ารถที่ดีต้องมีข้อดีในคุณสมบัติที่รถประเภทนั้นควรจะมีเป็นสำคัญ เช่น ถ้ารถเก๋งระดับบน จะต้องมีช่วงล่างที่นุ่มไม่ส่งเสียงรบกวนเข้ามาในห้องโดยสาร ต้องมีรูปทรงภายนอกสวยหรู ไม่ใช่แบบมองแล้วตลกหน้าสมเพช วัสดุในห้องโดยสารต้องคุณภาพสูง ขับสบาย ห้องโดยสารกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี ข้อเสียที่ไม่สำคัญของรถประเภทนี้ หากจะมีอยู่บ้างก็ไม่เป็นไร เช่น ราคาสูงไปหน่อย ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงไป ค่าบำรุงรักษาสูงเกินไป แบบนี้พอรับได้ครับ หรือหากเป็นรถเล็กอย่าง "อีโคคาร์" ก็ต้องมีราคาขายสมเหตุสมผล ประหยัดเชื้อเพลิง ราคาอะไหล่ และค่าบำรุงรักษาไม่สูง แข็งแรงทนทาน ใช้งานได้นาน ข้อเสียที่ไม่สำคัญสำหรับรถประเภทนี้ เช่น ช่วงล่างกระด้างไปหน่อย วัสดุในห้องโดยสารบางจุดไม่ดีเท่าที่ควร แบบนี้พอรับได้ครับ
ช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว ผมได้ลองขับรถเก๋งญี่ปุ่นยอดนิยม ขนาดกลาง-บน ด้านช่วงล่างผมไม่คาดหวังอะไรมากอยู่แล้วครับ โดยเฉพาะความนุ่มนวล แต่รุ่นที่ผมลองขับนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นรถที่เพิ่งออกจำหน่ายตอนนั้น มีช่วงล่างที่กระด้างเกินระดับที่รับได้จริงๆ ตอนแรกผมหวังว่าจะเป็นผลจากลมยางที่เติมเกิน แต่เมื่อวัดดูแล้วก็เป็นค่าที่ถูกต้อง ความกระด้างที่ว่านี้ เป็นเพราะช่วงล่างไม่สามารถดูดซับความสะเทือนจากคลื่นละเอียดที่ผิวถนนได้ แม้จะเป็นถนนเรียบ เช่น ทางด่วน การป้องกันการสะเทือนจากคลื่นละเอียดที่ผิวถนนนี้ เรียกเป็นทางการในภาษาอังกฤษว่า SE CONDARY RIDE เป็นสิ่งที่ยากพอสมควร เพราะถ้าทำให้นุ่มสบายแบบไม่มีฝีมือ มันจะทำให้การเกาะถนนทรงตัวที่ความเร็วสูงลดลง แล้วยังทำให้การตอบสนองของระบบบังคับเลี้ยวด้อยลงไปด้วย
ผู้ผลิตรถเยอรมันจะเชี่ยวชาญด้านนี้เป็นพิเศษครับ แต่ความรู้เรียนทันกันหมดครับ เรียนไม่ทันก็เลียนแบบได้อยู่แล้ว ผู้ผลิตรถญี่ปุ่นก็มีความรู้พอเพียงแต่ว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จรูปตายตัวสำหรับรถทุกรุ่น หากจะทำให้ดี จะเป็นงานหนักที่ต้องทุ่มเทและใช้เวลา แปลเป็นภาษาของนายทุนหิวกำไร ก็คือมันเปลืองเงินต้นทุน ต้องทดลองด้วยสปริงที่มีความแข็งต่างกันหลายสิบค่า แล้วยังต้องปรับแคมเพอร์ด้วยการเปลี่ยนขนาดรูที่น้ำมันไหลผ่านรวมทั้งความแข็งของสปริงที่ต้านการไหลของน้ำมันในแคมเพอร์ (ชอคอับ) อีกหลายขนาด แล้วลองขับดูในสภาพใช้งานต่างๆ ถ้าเรียกการเลือกใช้สปริงความแข็งค่าหนึ่งกับแคมเพอร์แบบหนึ่ง ว่าเป็น 1 ชุด ก็จะต้องลองชุด (COMBINATION) เหล่านี้เป็นร้อยครับ กว่าจะได้ชุดที่เหมาะจะเลือกผลิตให้รถรุ่นหนึ่งใช้
แล้วทำไมไม่ทำ ? ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็คือทำแล้วเปลืองเงิน เหนื่อยด้วย เพราะถึงไม่ทำก็ยังขายได้ ขายดีด้วย แล้วทำไมรถระบบกันสะเทือนห่วยถึงยังขายดี ก็เพราะผู้ซื้อไม่เกี่ยง ให้มายังไงก็ขับได้ นั่งได้ เพราะซื้อตามการโฆษณาชวนเชื่อ หรือไม่ก็ซื้อตาม "แรงยุ" ของคนใกล้ชิด เช่น ญาติ เพื่อน พี่ น้อง เพื่อนร่วมงาน
เลิกเลือกซื้อรถด้วยวิธีนี้กันเถอะครับ ก่อนซื้อรถรุ่นไหนก็ตาม ต้องลองขับแล้วเสมอ ถ้าลูกค้าเริ่มรู้จริง ว่ารถช่วงล่างดีเป็นอย่างไร รู้จักเปรียบเทียบและรู้ความแตกต่าง ระหว่างช่วงล่างดีกับช่วงล่างห่วย พวกที่ทำรถช่วงล่างห่วยมาขาย ก็อยู่ไม่ได้หากไม่ปรับปรุง รถที่ดี คือ รถที่เราลองขับแล้วรู้ว่าดีครับ ไม่ใช่ดีเพราะมีใครมาบอกว่าดี ต้องลองขับเองบนถนนหลายแบบ และนานพอด้วย พนักงานขายมีหน้าที่สนองความต้องการของเรา ถ้าบอกว่าไม่มีรถให้ลอง หรือให้วนแถวๆ ร้านขายก็พอ อย่าไปซื้อครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/12434