รถกับลูกน้อย

หลายสิบปีที่ผ่านมา เมื่อผมยังเรียนชั้นประถมศึกษา นับกระทั่งถึงวันนี้ ยังรู้สึกเศร้าสลดใจ ตอนน้องชายอายุราว 8 เดือน กำลังอ้วนจ้ำม่ำ น่ารัก น่าชัง เกิดป่วยไข้ ถึงมือหมอในตัวจังหวัดก็จริง แต่น้องไม่รอดชีวิต ตอนนั้นเสมือนถูกฟ้าฟาด ไม่เชื่อว่าน้องสิ้นลมไปแล้ว ผมยังจำฝังใจ ไม่มีวันลืม เมื่อเทียบกับผู้ที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ถอยรถ ขับรถภายในบริเวณบ้าน แล้วรถเหยียบลูกหลานตัวน้อยๆ ของตน จนตายคาที่ เชื่อเหลือเกินว่า ต้องรู้สึก "หลอน" ไปตลอดชีวิต คงไม่ให้อภัยแก่ตนเองได้เลย ผมหยิบประเด็นนี้ขึ้นมา เพื่อสะกิดสาธุชนที่เคารพ ได้ตระหนักถึงอันตรายใหญ่หลวง เมื่อมีลูกหลานตัวเล็กๆ ซึ่งเดินเหินไปที่นั่น ที่นี่ ภายในรั้วบ้านหรือบริเวณบ้านได้ตามประสาเด็ก แล้วเราไม่ใช้ความระมัดระวัง "ขั้นสูงสุด" ทุกครั้งที่ขยับขับเคลื่อนรถยนต์ โอกาสเด็กจะชะตาขาด โดนบดด้วยล้อรถนั้นสูงยิ่ง และเสียใจตราบจนวันตายก็แล้วกัน คดีความตบท้ายงวดนี้ เกี่ยวกับการคดโกงเอารถยนต์ไป เกิดขึ้น และเจ้าทุกข์เดือดร้อน มีข่าวเป็นประจำ มาดูสิว่ามันใช้ลูกไม้ตื้นลึกอย่างไร งานนี้ "นายเข้มงวด" อดีตเจ้าอาวาส โดนเข้าให้ กะว่าเสร็จคดีต้องไปเปลี่ยนชื่อใหม่ เพราะเสียเหลี่ยมให้โจร คือ "นายดูหล่อ" หนุ่มใหญ่ ท่าทางซื่อๆ พูดจาธรรมะ ธรรมโม แต่ไม่หล่อเหมือนชื่อ เมื่อไอ้หมอนี่ มาขอเช่าซื้อรถยนต์ที่ นายเข้มงวด ใช้อยู่เป็นประจำ ลงทุนวางดาวน์ต่ำสุด เท่าที่ นายเข้มงวด ยอมรับ คือ 15,000 บาท ที่เหลือตกลงผ่อนกันไปเท่านั้นเท่านี้ คล้ายๆ ผ่อนไฟแนนศ์ นายเข็มงวด ดันตกลงด้วย นายดูหล่อ จึงได้รถไปตามต้องการ ส่วน นายเข้มงวด ก็ดูรถใหม่ตามร้าน เพื่อถอยออกมาใช้ พอครบจ่ายค่างวด นายดูหล่อ หายหัวไปเลย แดงเดียวไม่ได้ ไล่เลียงแล้วนายเข้มงวด ถึงรู้ว่า คนที่เอารถของตนไป ทำสัญญาเช่าซื้อโดยใช้ชื่อปลอม ที่จริงชื่อ "นายแน่มาก" ซึ่ง นายเข้มงวด ได้ยินแล้วรู้สึกพิกล แต่ไม่ยักขอดูบัตรประชาชน ดีหน่อยที่ตำรวจขยันขันแข็ง ติดตามล่าตัว นายแน่มาก มาได้ สอบและสวนแล้ว นายแน่มาก ยอมรับว่า ใช้ชื่อปลอม หลอกต้ม นายเข้มงวด ไม่อยากใช้ชื่อ แน่มาก ซึ่งเป็นชื่อจริง กลัวเหยื่อขยาด ได้รถปุ๊บ เอาข้ามไปขายที่ลาว ตามระเบียบโจร อัยการด่านที่ 2 หิ้วตัว นายแน่มาก ไปฟ้องที่ศาล เพื่อเอาเข้าคุก ฐานฉ้อโกง บังคับให้คืน หรือชดใช้ราคารถด้วย จำเลย คือ นายแน่มาก จ้างทนายสู้คดี ให้การปฏิเสธ ขอให้ยกฟ้องกระผมผู้บริสุทธิ์ด้วยเถิด ว่าไปนั่น ขณะที่ นายเข้มงวด ก็ลงทุนจ้างทนาย ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการ กะบี้ นายแน่มาก ให้อยู่หมัด ด้วยความเจ็บใจ ด่านแรก ศาลชั้นต้นฟังความสองข้างบนบัลลังก์ ด้วยลีลาเคร่งขรึมตามธรรมเนียม แล้วตัดสินลงโทษ นายแน่มาก จำคุก 2 ปี นายเข้มงวด โชคดี ได้รถยนต์คืนไปแล้ว จึงยกคำขอในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน ขึ้นยกสอง เพราะจำเลย คือ นายแน่มาก ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ ดูสำนวนแล้ว พิพากษายืน เอา นายแน่มาก เข้าตะรางอย่างที่ศาลแรกว่าไว้ เก่งเหมือนกัน ทนายหาช่องให้ นายแน่มาก เล่นเกมยาวจนได้ อ้างข้อกฎหมายว่า งานนี้เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง เกี่ยวกับการเช่าซื้อ อัยการจึงเล่นงานเป็นคดีอาญา เพื่อเอาเข้าคุกไม่ได้ดอก ขอให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาเมื่อยแค่ไหนก็ต้องกัดฟันคว้าสำนวนคดีนี้ที่มาถึงคิว ส่องดูด้วยความเชี่ยวชาญ แล้วชี้ขาดว่า ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า วันเกิดเหตุ นายแน่มาก ใช้อุบาย หลอกลวง นายเข้มงวด โดยมีเจตนาทุจริต เมื่อ นายเข้มงวด ไม่เข้มงวดเหมือนชื่อ ดันหลงเชื่อคารม ที่โดนหลอกว่าชื่อ นายดูหล่อ อยู่คนจังหวัดเดียวกัน ทั้งๆที่ชื่อ นายแน่มาก อยู่คนละจังหวัด แล้วยินยอมทำสัญญา ให้ นายแน่มากเช่าซื้อ และส่งมอบรถยนต์ แล้ว นายแน่มาก หายต๋อม ไม่ติดต่อ ไม่ใช้จ่ายเงินตามสัญญา แถมยังทะลึ่งนำรถยนต์ข้ามไป เวียงจันทน์ ประเทศลาว อีแบบนี้แสดงว่า นายแน่มาก ไม่ได้มีเจตนาผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อในทางแพ่ง ทำทีเช่าซื้อเพื่อเป็นแผนการ หรืออุบายหลอกลวง ให้ได้รถยนต์เท่านั้น จึงเป็นความผิดทางอาญา โจทก์เขามีอำนาจฟ้องอย่างเต็มๆ ว่าแล้วศาลฎีกาก็ไม่ลังเล พิพากษายืน เอา นายแน่มาก เข้าคุก 2 ปี ตามที่ศาลล่างว่าไว้ การให้เช่า หรือเช่าซื้อรถยนต์ ระยะนี้เสี่ยงไม่หยอก โจรทั้งหญิงชาย มันเชิดเอาไปขายเฉยเลย เสียหายกันแยะ น่าเห็นใจคนทำมาหากิน ต้องดูตาม้าตาเรือ หาวิธีป้องกันให้ดี ไม่งั้นซวย และเซ็ง จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2518