โค้งอันตราย
ยังไม่เงยหน้า
สองเดือนแรกของปี ยอดการขายรถยนต์ยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ ขายกันได้รวมเพียง 106,030 คัน เท่านั้น ตกลงไปถึง 12.0 % จากปีก่อน คงไม่ต้องบอกว่ามาจากสาเหตุอะไร เพราะเหตุมันเยอะไปหมด ไม่ว่าจะเรื่องความล่าช้าของโครงการภาครัฐ ที่ดูจะยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หรือเริ่มลงมือกันได้เสียที หรือจะว่าด้วยราคาพืชผลการเกษตร ที่นอกจากจะตกต่ำแล้ว ยังเจอภัยแล้งซ้ำซากเข้าไปอีก
มาดูการประเมินทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศ ที่หลายๆ ค่ายก็ประเมินได้ตรงกันว่า น่าจะขายกันได้ไม่มากไปกว่ายอดการขายปีก่อน เพราะมีการเร่งซื้อรถยนต์บางกลุ่มไปก่อนหน้าแล้ว
ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 เพื่อเลี่ยงผลจากการปรับขึ้นราคารถยนต์ตามหลังการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559
แต่เสียงจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า จากสถานการณ์ตลาดที่มีแรงกดดันสูงอย่างต่อเนื่องมาจากปี 2558 ส่งผลให้คาดว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2559 จะมีโอกาสหดตัวลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งปิดปีด้วยยอดขาย 799,592 คัน หรือหดตัวกว่า 9 % จากปี 2557 โดยมองว่าในปีนี้มีโอกาสที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงหดตัว 5-10 % หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 720,000 ถึง 760,000 คัน
ทั้งนี้การปรับอัตราภาษีสรรพสามิต ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 มีผลบวกต่อยอดขายรถในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 ค่อนข้างมาก ทำให้หดตัวลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมาตลอดตั้งแต่ต้นปี ที่หดตัวในระดับตัวเลข 2 หลักมาโดยตลอด โดยเฉพาะในรถบางกลุ่มที่ขายได้ดีมากในช่วงปลายปี เช่น กลุ่มรถกระบะดัดแปลง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การเร่งซื้อรถยนต์ก่อนที่ราคาจะปรับขึ้นนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ช่วงต้นปี 2559 ทำให้มีแนวโน้มจะเผชิญภาวะหดตัวสูงได้ โดยสถานการณ์ต่างๆ น่าจะเริ่มทยอยดีขึ้น หลังการประกาศราคารถยนต์ของค่ายต่างๆ มีความชัดเจนขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์ในปี 2559 ยังอยู่ท่ามกลางปัจจัยลบสำคัญหลายประการ เช่น ภัยแล้งที่น่าจะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคายาง ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ระดับสูง ความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อที่ยังคงดำเนินต่อ ภาคการส่งออกที่ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมไปถึงการทยอยปรับขึ้นราคารถยนต์ในปีนี้ เพื่อรับกับภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ในระดับราคาตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสนบาท ซึ่งอาจกระทบต่อยอดขายรถยนต์ในช่วงไตรมาสแรกค่อนข้างมาก
หลังจากเสร็จสิ้นช่วงส่งมอบรถยนต์ที่ได้รับการจองในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยราคาที่ปรับขึ้นในช่วงที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแรง ย่อมกระทบต่อยอดขายรถยนต์ไม่มากก็น้อยขึ้นกับระดับราคาที่ปรับขึ้น ความสามารถในการซื้อและความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ค่ายรถยนต์จำเป็นต้องพยายามรักษาผลการดำเนินธุรกิจโดยอาศัยกลยุทธ์หลายด้านประกอบกัน ซึ่งนอกจากการมุ่งผลักดันยอดส่งออกแล้ว ค่ายรถยนต์คงจะเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง หรือฐานลูกค้าที่ยังพอได้รับอานิสงส์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในกลุ่มประเภทรถยนต์ที่ยังคงมีศักยภาพ พร้อมทั้งเน้นความคุ้มค่าด้านราคา และสมรรถนะ ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
นอกจากนี้ การที่ภาษีรถคันแรกเริ่มปลดลอคในปีนี้เป็นปีแรก (สำหรับผู้ที่ซื้อในปี 2554) ก็อาจจะเป็นโอกาสสำหรับค่ายรถ และลีซิงต่างๆ ที่จะนำเสนอแคมเปญส่งเสริมการตลาดเพื่อกระตุ้นกลุ่มลูกค้าศักยภาพที่ต้องการเปลี่ยนรถใหม่ในปีนี้ หรือพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือ แคมเปญการขายรถยนต์ในปีนี้ ไม่น่าจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
มองกันไปอีกมุมหนึ่ง ประเมินว่ารถยนต์ในกลุ่ม เอสยูวี ขนาดเล็ก (B-SUV) อีโคคาร์ และพิคอัพ อาจทำตลาดได้ดีกว่ารถยนต์ประเภทอื่น โดยคาดว่ายอดขายรถ B-SUV ในปี 2559 อาจมีโอกาสทรงตัวจากปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ราว 33,000 คัน ขณะที่อีโคคาร์ และพิคอัพ 1 ตัน มีโอกาสหดตัวไม่เกิน 7 % หรือคิดเป็นยอดขายอีโคคาร์ไม่น้อยกว่า 82,000 คัน และยอดขายพิคอัพ 1 ตัน ไม่น้อยกว่า 300,000 คัน
ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า อัตราการขยายตัวของยอดขายอีโคคาร์ และรถพิคอัพ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยรวมแล้วมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะที่รถ B-SUV ขยายตัวสูงมาตลอดปี และมีการหดตัวลงใกล้เคียงกับอีโคคาร์ และพิคอัพ ในเดือนมกราคม 2559 ซึ่งเป็นการหดตัวน้อยเมื่อเทียบกับรถประเภทอื่น
สำหรับอีโคคาร์นั้น ได้แรงหนุนจากปัจจัยเรื่องราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลง และบางรุ่นในกลุ่มอีโคคาร์ เฟส 2 ยังมีการปรับลดราคาลงด้วย
ขณะที่อีโคคาร์ และพิคอัพ 1 ตัน มีโอกาสหดตัวไม่เกิน 7 % ซึ่งคาดว่าจะเป็นการหดตัวที่น้อยกว่ายอดขายรถประเภทอื่นๆ และเมื่อคิดเป็นจำนวนยอดขายรถยนต์ อีโคคาร์น่าจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 82,000 คัน และรถพิคอัพ 1 ตัน จำนวนไม่น้อยกว่า 300,000 คัน
นั่นคือ มุมมองจากศูนย์วิจัย ที่ทำอะไรเป็นหลักการ มีตัวเลข มีการคำนวณประกอบการพิจารณา และหลังจากดูความต้องการของตลาดแล้ว ก็น่าเชื่อได้ว่า มีความเป็นไปได้สูง
แล้วคุณล่ะ ตั้งรับอะไรกับสภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ระดับทรงตัวเช่นนี้กันบ้างหรือเปล่า
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/120544