รายงาน(formula)
4 เคล็ดลับ ก่อนลุยฝน
พฤษภาคม เป็นเดือนแรกของ "ฤดูฝน" แม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะพยากรณ์ว่า ปีนี้ฝนจะน้อยกว่าทุกปี แต่เราก็ประมาทไม่ได้เรื่องน้ำท่วมน้ำขัง โดยเฉพาะถ้าอยู่ในกรุงเทพ ฯ หรืออย่างน้อยก็ต้องเจอปัญหาถนนลื่นจากน้ำฝน ที่ "ฟอร์มูลา" แนะนำ 4 เคล็ดลับวิชาก่อนออกลุยฝน ให้คุณรู้รอบ รู้ลึก ก่อนภัยจากฝนตกจะมาเยือน1. ยางรถยนต์ ต้องดี หลายคนเข้าใจว่าร่องดอกยางมีไว้กันลื่น แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะมันมีหน้าที่เดียว คือ ช่วย "รีดน้ำ" ให้ออกไปจากหน้ายาง การที่ล้อของรถเราสามารถส่งแรงขับเคลื่อน และแรงเบรคลงสู่ผิวถนนได้ ต้องอาศัยแรงเสียดทานจากการกดสัมผัสกันระหว่าง 2 ตัวแปรนี้ ฉะนั้นเมื่อใดที่มีน้ำมาคั่นกลางระหว่างพื้นผิวทั้ง 2 รถของเราก็จะไถลไปบนผิวน้ำ เรียกว่าการ "เหินน้ำ" หรือ ไฮดรอพแลนิง (HYDROPLANING) ส่วนร่องดอกยางปัจจุบันนี้ลึกอย่างน้อย แค่ 1-2 มม. ไม่พอแล้ว ทางที่ดีควรมีร่องยางลึกอย่างน้อย 3-4 มม. จึงเหมาะสม จะได้รีดน้ำได้ทันท่วงที ตอนนี้มีคำแนะนำที่ระบาดไปทั่ว คือ "ไม่ควรใช้ยางเกิน 2 ปี" สรุปอย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะที่จริงยางไม่มีอายุตายตัวหรอก แต่สิ่งที่จะกำหนดว่าควร หรือไม่ควรใช้ยางเส้นนั้นต่อไปมีอยู่ 3 หัวข้อ คือ ความลึกของดอกยาง การชำรุดที่ส่งผลถึงโครงสร้างยาง และอายุที่ไม่ควรเกิน 6 ปี ตั้งแต่ผลิตมา เพราะเนื้อยางจะแข็ง เกาะถนนเปียกได้ไม่ดีเท่าที่ควร ถ้ายางของคุณไม่เข้าข่าย 3 หัวข้อนี้ ก็ไม่ต้องรีบเปลี่ยนใหม่ให้เสียเงินโดยใช่เหตุ การตรวจสอบลมยาง คือ สิ่งที่ควรทำเป็นประจำ แม้ไม่ใช่ฤดูฝน การวัดระดับ และเติมลมยางตามที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์กำหนด ก็ควรทำอย่างสม่ำเสมอ และทำขณะที่ยางเย็น หรือจอดรถไว้นานแล้ว เนื่องจากจะวัดค่าได้ถูกต้องแม่นยำ แต่ถ้าจำเป็นต้องเติมขณะยางร้อนเนื่องจากเพิ่งขับรถมาจอด (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น) ให้เติมเผื่อราว 2 ปอนด์/ตรน. จากค่าที่กำหนด หรือจะใช้วิธีเติม มากกว่านั้นเล็กน้อย แล้วค่อยมาวัด และปล่อยลมออกให้พอดีตอนที่ยางเย็นแล้ว และหากเลี่ยงการขับรถเร็วตอนฝนตกไม่ได้จริงๆ อาจต้องเติมลมเพิ่มอีก 2-4 ปอนด์ เพื่อให้ความดันลมยาง ช่วยเพิ่มแรงกดของหน้ายาง สามารถรีดน้ำได้ดีขึ้น รถเหินน้ำ ได้อย่างไร ? การ "เหินน้ำ" หรือ ไฮดรอพแลนิง คือ การที่มีน้ำมาคั่นกลางระหว่างพื้นผิวสัมผัสของยางกับถนน จากการรีดน้ำไม่ทันของร่องยาง ซึ่งอาจตื้นเกินไป ปริมาณน้ำมากไป หรือขับเร็วเกินไป จนไถล หรือวิ่งอยู่บนผิวน้ำ ผู้ขับที่ช่างสังเกตจะรู้สึกได้จากอาการพวงมาลัยที่ส่งถึงมือ สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้รถหลายคันแฉลบ เนื่องจากผู้ขับไม่ระวัง จนไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้ เวลาใดถนนลื่นที่สุด ? ขับรถบนพื้นผิวเปียกน้ำถนนที่ไหนๆ ก็ลื่นหมด แต่ช่วงเวลาที่ลื่นที่สุด จะเป็นช่วง 10-15 นาทีแรกหลังฝนตก เนื่องจากฝุ่นที่ติดอยู่บนพื้นถนนจะกลายสภาพเป็นโคลนเลนบางๆ เคลือบผิวถนน จนกว่าฝนจะตกหนักยิ่งขึ้น และชะล้างออกจนหมดนั่นแหละ ความลื่นถึงจะลดลง อีกช่วงเวลาหนึ่งคือ ตอนที่ฝนตกเป็นระยะเวลานาน จนถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำ มีความเสี่ยงต่อการเหินน้ำ ฉะนั้น เมื่อฝนตกจึงต้องลดความเร็วลง และตั้งใจขับอย่างระมัดระวัง 2. ระบบปัดน้ำฝน ต้องพร้อม เนื่องจากบ้านเราสภาพอากาศร้อน และแดดแรง การจอดรถตากแดดนานๆ ซึ่งหลายคนมักเลี่ยงไม่ค่อยได้ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เนื้อยางของใบปัดน้ำฝนแข็ง จนขาดความยืดหยุ่น ไม่สอดรับกับความโค้งของกระจก เจออย่างนี้ควรเปลี่ยนใหม่ทันที แต่การตรวจสภาพยางใบปัดน้ำฝนไม่ใช่ดูที่เนื้อยางว่ายังไม่แข็งกรอบ หรือฉีกขาดเพียงอย่างเดียว ต้องดูที่ความสามารถในการกวาดน้ำที่ผิวกระจกด้วยว่าเกลี้ยงหรือไม่ ถ้าลองเอายางใบปัดน้ำฝนมาส่องดูด้วยแว่นขยาย จะเห็นว่า "คม" ของมันมีลักษณะเป็นมุมฉาก แต่ละมุมจะทำหน้าที่กวาดน้ำทางหนึ่งโดยเฉพาะ ถ้ารูปทรงนี้ผิดเพี้ยนไป จะไม่สามารถกวาดน้ำได้เกลี้ยง สมควรเปลี่ยนใหม่เช่นกัน อย่าปัด ตอนกระจกแห้ง ! บางคนใช้ใบปัดน้ำฝนตอนกระจกแห้ง เพื่อปัดฝุ่น หรือไล่เด็กเช็ดกระจก ทำอย่างนี้ไม่กี่ครั้ง คมของมันก็สึกหรอมหาศาล ถ้าจะปัดฝุ่นออกจากกระจกต้องฉีดน้ำใส่กระจกก่อน โดยทั่วไปรถทุกคันจะมีปั๊มฉีดน้ำ ซึ่งเมื่อฉีดน้ำแล้ว ใบปัดน้ำฝนจะทำงานเองอย่างเหมาะสมโดยอัตโนมัติ ต้องผสมสารทำความสะอาดในน้ำฉีดกระจกไหม ? ไม่ต้องก็ได้ แต่เติมก็ดี การไม่เติมสารทำความสะอาดผสมเข้าไป ก็สามารถใช้งานได้ปกติ และไม่มีต้นทุน แต่ถ้าเติมสารเหล่านี้ จะช่วยชะล้างคราบไขมันจากแมลง ยางมะตอย และสิ่งสกปรกต่างๆ ได้ดีกว่า แถมยังช่วยหล่อลื่น ถนอมยางของใบปัดน้ำฝนไม่ให้สึกหรออย่างรวดเร็วเกินควร แต่สารทำความสะอาดต้องมีคุณภาพดีพอ ใครจะซื้อใช้อาจติดปัญหาที่แพงไปหน่อยเท่านั้นเอง ใช้แวกซ์เคลือบกระจก ปัจจุบันมีผู้นำเข้าแวกซ์เคลือบกระจกรถยนต์มากมาย ซึ่งราคาจำหน่ายก็ถูกลงจากแต่ก่อน เพียงแค่หลักร้อยเท่านั้น แวกซ์เคลือบกระจกจะช่วยให้น้ำที่มากระทบกระจกจับตัวเป็นเม็ดน้ำขนาดใหญ่ และไหลลงจากกระจกโดยที่ไม่ทิ้งคราบต่างๆ ไว้บนกระจก ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยการมองได้ดีขึ้นขณะฝนตก 3. ไฟส่องสว่าง ต้องใช้ได้ ไฟส่องสว่างสำคัญมาก โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตกหนักจนมองเห็นสิ่งรอบตัวไม่ชัดเจน ไฟส่องสว่าง นอกจากจะเป็นจุดสังเกต ยังเป็นไฟสัญญาณบ่งบอกว่าคุณจะเปลี่ยนทิศไปทางไหนอีกด้วย หน้าฝนนี้ จึงควรตรวจสอบไฟหรี่ ไฟหน้า ทั้งสูงและต่ำ ไฟเลี้ยว ไฟท้าย ไฟถอยหลัง และไฟส่องป้ายทะเบียน ทิศทางลำแสงของไฟหน้าก็เป็นสิ่งสำคัญ หลายคันแม้เป็นไฟต่ำก็ยังแยงตาเหมือนไฟสูง เดือดร้อนรถที่วิ่งสวนทาง บางคนเห็นว่าฝนตกหนักมาก กลัวว่าเปิดไฟต่ำแล้วรถคันอื่นจะมองเห็นรถของตนไม่ชัดเจน จึงเปิดไฟสูง ไม่ต้องหรอกนะครับ เพราะเมื่อวิ่งเข้าใกล้ แสงจะไปเข้าตาคนขับรถคันที่สวนมาจนพร่า ลำพังฝนตกหนักก็มองไม่ชัดอยู่แล้ว ฉะนั้นเปิดแค่ไฟต่ำก็เพียงพอ เลิกเปิดไฟฉุกเฉินได้แล้ว ! ใครที่ยังคิดว่าฝนตกหนักต้องเปิดไฟฉุกเฉิน เลิกเสียที ถ้าไม่อยากตกยุค เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเปิดกันแล้ว เพราะผู้ขับส่วนใหญ่เข้าใจดีว่า มีโทษมากกว่าประโยชน์ นอกจากจะทำให้ผู้อื่นนัยน์ตาลายแล้ว ยังทำให้ผู้ที่ขับตามมาแยกไม่ออกว่า จอดเสีย หรือวิ่งอยู่ บางคันก็เปลี่ยนเลนไปมาทั้งที่เปิดสัญญาณไฟ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายมาก เปิดไฟตัดหมอก เมื่อฝนหนัก อาจไม่ตรงชื่อทีเดียว เพราะบ้านเราไม่ค่อยมีหมอกให้ไฟมาตัดกันสักเท่าไร แต่จะได้ประโยชน์ก็เมื่อฝนตกหนักมากจนแทบมองไม่เห็นทาง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เดี๋ยวนี้รถยุโรป และรถยุคใหม่มักจะติดตั้งไฟตัดหมอกทั้งหน้า และหลังมาให้จากโรงงาน ถ้าเป็นอย่างกรณีที่ว่าก็สมควรเปิดใช้เพื่อให้รถคันอื่นมองเห็นเราได้ชัดเจนขึ้น แต่มีข้อแม้ว่าต้องมีค่าความสว่าง และทิศทางที่ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนไปจากโรงงานผลิต และผู้ใช้ต้องตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้แสงไปเข้านัยน์ตาผู้ขับรถคันอื่น 4. ระบบห้ามล้อ ต้องสมบูรณ์ ระบบนี้ประสิทธิภาพมักลดลงทุกครั้งเมื่อเจอน้ำ ฉะนั้นจึงควรตรวจสอบโดยดูระดับน้ำมันเบรค ถ้าเก่าหรือใช้งานมาเกิน 1 ปี ก็สมควรเปลี่ยน ที่สำคัญอย่าลืมดูสายอ่อนเบรค ที่หลายคนมักมองข้าม เพราะอาการห้ามล้อแล้วดึงซ้ายหรือขวา ไม่ได้มาจากการรั่วซึม หรือฉีกขาดเพียงอย่างเดียว ถ้าสายอ่อนบวม ก็ทำให้เกิดอาการได้เช่นกัน เนื่องจากแรงดันน้ำมันเบรคในระบบลงไปสู่ลูกสูบเบรค แต่ละล้อไม่เท่ากัน โดยอาการดึงจะเกิดขึ้นจากล้อฝั่งที่เบรคจับเร็วกว่า เมื่อถนนเปียกลื่น การห้ามล้อจะใช้ระยะทางมากกว่าบนพื้นผิวที่แห้ง รวมทั้งเสี่ยงต่อการเสียหลัก ลื่นไถล แม้จะมีสารพัดระบบช่วย เช่น เอบีเอส อีบีดี หรืออีเอสพี ก็ตาม การขับรถตอนฝนตกจึงควรทิ้งระยะจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ และลดความเร็วลง เพื่อให้มีระยะในการหยุดรถได้อย่างปลอดภัย
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการบทความและสารคดี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : รายงาน(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/120354