รู้ลึกเรื่องรถ
บีเอมดับเบิลยู ไอ 3
แม้ว่าเราอาจได้เห็นและสัมผัสรถไฟฟ้าพันธุ์แท้ ไม่ใช่รถลูกผสม ไฮบริด กันมาบ้าง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่น้อยรายนักที่จะสร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์ที่น่าทึ่ง จนต้องนำมาเขียนถึงได้เหมือนกับ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3
บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้มอบรถ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 ให้ทีมงานของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทดลองขับ วิจัย พร้อมเก็บข้อมูล เพื่อให้เข้าใจถึงการทำงานของเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้เขียนในฐานะที่เป็นอาจารย์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลยได้ทดลองสัมผัสรถที่เป็นต้นแบบของการพัฒนารถไฟฟ้าในอนาคตคันนี้ไปด้วย
ไฮไลท์แรกของ ไอ 3 คือ โครงรถผลิตด้วยพลาสติคเสริมคาร์บอนไฟเบอร์ (CARBON REINFORCED PLASTIC) แบบจำนวนมาก ภายใต้กระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำที่สุด เป็นที่รู้กันว่าในกระบวนการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์นั้น ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก ในการเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเพื่อใช้อบขึ้นรูปชิ้นงานในเตาออโทคเลฟ (AUTOCLAVE) ดังนั้น บีเอมดับเบิลยู จึงเลือกใช้เส้นไยคาร์บอนที่ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น แต่ส่งไปผลิตตัวถังกับโรงงานที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะที่เมืองโมเซส เลค มลรัฐวอชิงทัน อันเป็นเมืองที่ตั้งของโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ซึ่งไม่ปล่อยมลภาวะ อีกทั้งค่ากระแสไฟยังต่ำกว่าที่เยอรมนีถึง 1 ใน 7 หลังจากนั้น ชิ้นส่วนที่ได้จะถูกส่งกลับไปยังเยอรมนีเพื่อทำการประกอบอีกครั้ง
แนวความคิดเรื่องการอนุรักษ์และลดมลภาวะยังนำมาซึ่งการเลือกชนิดของวัสดุภายในห้องโดยสารอีกด้วย โดยเลือกใช้ไม้เนื้ออ่อนที่ได้มาจากสวน ซึ่งก็คือ ไม้ยูคาลิพทัส ส่วนวัสดุหุ้มเบาะ เลือกใช้ผ้าใยขนสัตว์ ส่วนที่เป็นหนังก็ใช้เฉพาะหนังที่ผ่านการฟอกด้วยสารเคมีที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม คือ น้ำมันมะกอก
ระบบไฟฟ้า ถือเป็นไฮไลท์ที่ 2 ของรถคันนี้ ด้วยความจุไฟฟ้าในแผงแบทเตอรีแบบลิเธียม-ไอออน วางอยู่ใต้พื้นห้องโดยสาร เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วง โดยมีจำนวนมากเพียงพอที่จะเดินทางได้ระยะทาง 130 กม. แบบไร้ไอเสีย (ZERO EMISSION) และรถคันที่นำมาให้ทดลองนั้นเป็นรุ่นที่พ่วงเอาเครื่องปั่นไฟขนาดเล็กที่เรียกว่า เรนจ์ เอกซ์เทนเดอร์ หรือ ตัวยืดระยะทาง เข้าไปด้วย ทำให้ใช้งานได้อุ่นใจยิ่งขึ้น
เรนจ์ เอกซ์เทนเดอร์ เป็นเครื่องยนต์เบนซินแบบ 2 สูบ ความจุ 647 ซีซี ที่ยกมาจากจักรยานยนต์ ซี 650 จีที ของ บีเอมดับเบิลยู ที่มาพร้อมกับถังเชื้อเพลิงขนาด 9.0 ลิตร ทำหน้าที่เป็นเครื่องปั่นไฟเก็บเข้าในแบทเตอรี (ไม่ได้ส่งกำลังลงที่เพลาขับโดยตรง) จะช่วยยืดระยะการเดินทาง สามารถทำระยะทางได้ถึง 300 กม. (แต่สมรรถนะในขณะที่เครื่องปั่นไฟทำงานนั้น จะด้อยกว่าใช้แบทเตอรีล้วนๆ เพราะออกแบบมาเพื่อการใช้งานฉุกเฉินเท่านั้น)
แม้จะมีรูปร่างที่บางคนค่อนแคะว่าเหมือน อึ่งอ่าง (ผู้เขียนก็เห็นด้วยว่าเหมือนอึ่งอ่าง แต่เป็นอึ่งอ่างที่ดูเก๋ไก๋ ล้ำยุค ได้ใจคนรุ่นใหม่ไม่น้อย) แต่มอเตอร์ของ ไอ 3 นั้น แรงไม่ใช่เล่น เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าที่ส่งกำลังไปยังล้อหลังนั้น ให้กำลังมากถึง 170 แรงม้า และแรงบิดก็มากเท่าๆ กับ มาซดา 2 ดีเซลเทอร์โบ คือ 25.5 กก.-ม. เลยทีเดียว และเมื่อนำมารวมเข้ากับตัวถังน้ำหนักเบาที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ และเกียร์เดินหน้า จังหวะเดียว ที่ไร้รอยต่อของการเปลี่ยนเกียร์ เพราะมีแค่เกียร์เดียว ทำให้อัตราเร่งแซงของ ไอ 3 นั้นน่าทึ่งราวกับรถเครื่องใหญ่ขนาด 3.0 ลิตร เลยก็ว่าได้ นับว่าเป็นอึ่งอ่างที่ร้อนแรงไม่เบา
สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ ไอ 3 มีอัตราเร่งที่รวดเร็ว คือ ยางหน้าแคบ มีแรงต้านทานการหมุนต่ำ (LOW ROLLING RESISTANCE) หน้ากว้างเพียง 155 มม. แต่กลับมีเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อใหญ่ถึง 19 นิ้ว สัดส่วนของยางและล้อแบบใหม่นี้ จะกลายมาเป็นทเรนด์การออกแบบใหม่ในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะแม้ว่าจะมี
ความสามารถในการเกาะถนนไม่มากนัก แต่ประหยัด และเร่งได้รวดเร็ว เพราะแรงต้านจากแรงเสียดทานของพื้นถนนและแรงต้านอากาศมีต่ำ เหมาะกับรถยนต์ที่ใช้ในเมืองเป็นอย่างยิ่งนั่นเอง
การออกแบบระบบขับเคลื่อนของ ไอ 3 นั้นนับว่าแปลก นับตั้งแต่การบิดคันเกียร์ ที่แตกต่างไปจากรถยนต์ที่เราคุ้นเคยกันอย่างสิ้นเชิง จินตนาการถึงรูปแบบการเรียงเกียร์ของรถยนต์เกียร์อัตโนมัติที่เราใช้กันในปัจจุบัน เราจะเรียงจาก P R N D แต่สำหรับ ไอ 3 แล้ว ตำแหน่ง P หรือเกียร์จอด จะแยกเป็นปุ่มกดแบบเอกเทศ และตำแหน่งเกียร์แบบ บิด ทางด้านขวาของพวงมาลัย คล้ายกับลูกบิดก้านไฟเลี้ยว นั้นเรียงในแบบ D N R นั่นก็คือ เกียร์จะเริ่มที่ N หรือเกียร์ว่างทุกครั้ง ถ้าจะเดินหน้าจะบิดไปทางด้านหน้า คือ D และถ้าถอยหลัง ก็จะบิดถอยหลังมาเป็น R เป็นแนวคิดที่ ตรงไปตรงมา เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่หัดขับรถ จะเรียนรู้ได้ง่าย แต่สำหรับหน้าเก่าขับมานานก็ต้องเรียนรู้ตำแหน่งใหม่กันอีกครั้ง อาจสับสนบ้างเล็กน้อย
สิ่งที่ต้องเรียนรู้ต่อไป คือ มันเป็นรถไฟฟ้า ถึงจะใส่เกียร์ในตำแหน่ง D แต่ถ้าไม่กดคันเร่ง รถก็จะไม่เดินหน้า เหมือนรถบังคับวิทยุนั่นเอง และเมื่อกดคันเร่งแล้วเดินหน้าไปแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่า เงียบสนิท ไม่มีเสียงการทำงานแต่อย่างใด และตามปกติหากจะชะลอความเร็วแบบ ปล่อยไหล ในรถปกติ เราจะยกคันเร่งแล้วปล่อยให้รถมันไหลไปเรื่อยๆ แต่สำหรับ ไอ 3 แล้ว ต้องเรียนรู้เทคนิคการขับใหม่เลยทีเดียว เพราะทุกครั้งที่เราถอนคันเร่ง ไอ 3 จะเข้าสู่การหน่วงความเร็วลง ด้วยการนำพลังงานจลน์ของรถมาใช้ในการปั่นไฟกลับเข้าสู่ระบบ การหน่วงนี้มากพอที่จะทำให้รู้สึกราวกับกดเบรคนั่นเอง (ถอนคันเร่งเร็วๆ หัวแทบทิ่ม) โดยทุกครั้งที่ถอนคันเร่ง ไฟเบรคจะติดด้วยเช่นกัน จึงไม่ต้องกังวลว่ารถคันหลังจะวิ่งมาชนท้าย
เทคนิคนี้ทาง บีเอมดับเบิลยู เรียกว่า สัมผัสแบบแป้นเดียว หรือ ONE PEDAL FEEL นั่นคือ ราวกับว่าคันเร่งและเบรคอยู่ในแป้นเดียวกัน น่าจะคล้ายกับความรู้สึกเหมือนจักรยานฟิกซ์เกียร์ นั่นก็คือ บันไดปั่นนั้นหากรอบขาชะลอลงก็คือการลดความเร็วลง เพราะต่อตรงกับล้อหลังโดยตรง ไม่สามารถฟรีขาได้เหมือนจักรยานทั่วๆไปนั่นเอง (รถจักรยานฟิกซ์เกียร์ ไม่จำเป็นต้องติดเบรคก็ยังได้ เพราะสามารถใช้เท้าควบคุมรอบหมุนได้อิสระ) ผู้ขับต้องฝึกฝนทักษะการเลี้ยงคันเร่งกันพักใหญ่ และด้วยเหตุนี้คาดเดาได้ว่า แป้นเบรคของ ไอ 3 น่าจะใช้งานน้อย อายุของผ้าเบรค และจานเบรคน่าจะยาวนานใช้กันลืม
โหมดการควบคุมสมรรถนะ ไอ 3 นั้น แตกต่างไปจากรถรุ่นอื่นๆ เพราะไม่มีโหมดสปอร์ท แต่เริ่มต้นที่ โหมดคอมฟอร์ท ซึ่งเป็นโหมดที่ให้เรี่ยวแรงการตอบสนองดี แต่สิ้นเปลืองสูงสุด สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กม./ชม. ต่อด้วยโหมด อีโค พโร และตามด้วย อีโค พโร พลัส ซึ่งในโหมด อีโค พโร พลัส จะสามารถยืดระยะออกไปได้ถึง 24 % แต่จะจำกัดความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. และเครื่องปรับอากาศจะทำงานเบา ในเมืองร้อนอย่างบ้านเราคงไม่มีใครทนใช้ได้แน่นอน ดังนั้นรูปแบบของโหมดคอมฟอร์ท ที่มอบแอร์เย็นสบายดูจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ในเขตร้อน แต่ก็ต้องแลกด้วยระยะทางที่ทำได้น้อยลงไม่ถึง 300 กม. นั่นเอง
สุดท้าย คือ การชาร์จไฟ ไอ 3 ได้มอบชุดชาร์จไฟมาให้ซึ่งมีขนาดเล็กกะทัดรัดสามารถใส่ในฝากระโปรงหน้าได้ โดยสามารถนำมาเสียบกับไฟบ้านได้ทันที เรียกว่ากล่อง I WALLBOX PURE กล่องชุดนี้สามารถชาร์จได้เร็ว โดยเติมไฟจาก 0-80 % ได้ภายในเวลาราว 3 ชม. และถ้าใช้งานกับระบบชาร์จไฟสาธารณะ (มีติดตั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา) จะใช้เวลาเพียง 30 นาที ในการชาร์จเท่านั้น แถมตอนชาร์จไฟ ขอบช่องเติมไฟ จะมีแสงสีฟ้าเรืองวาบๆ เป็นจังหวะ ดูช่างฉอเลาะน่ารักดีไม่น้อย
แน่นอนว่า แม้จะประทับใจในสมรรถนะการขับในเมืองของ ไอ 3 แต่อาจจะยังไม่มั่นใจว่าระยะการขับของ ไอ 3 จะพาไปเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ ได้ เรื่องนี้ในต่างประเทศ บีเอมดับเบิลยู ได้เตรียมรถยนต์แบบปกติเอาไว้รองรับลูกค้าของ ไอ 3 ในกรณีที่จะเดินทางท่องเที่ยวทางไกลให้พร้อมเป็นบริการหลังการขายอีกด้วย เรียกว่ารอบคอบดีมาก
ด้วยสนนราคาในต่างประเทศราวๆ 1.5 ล้านบาท และสมรรถนะที่ดี (เกิน) พอสำหรับการใช้งานปกติ ไอ 3 น่าจะถือได้ว่าเป็นการแง้มประตูสู่ยุคสมัยของยานยนต์พลังงานไฟฟ้าไร้มลพิษ ตัวจริง
เรื่องโดย : ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/11940