รู้ลึกเรื่องรถ
อนาคตของการเดินทาง
จนถึงวันนี้คนจำนวนมากก็ยังคงสับสนในจิตใจว่ารถพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เพียงแบทเตอรี และมอเตอร์ไฟฟ้า จะเข้ามาแทนที่เครื่องยนต์ได้อย่างไร ?เครื่องยนต์สันดาปภายในนั้น นับเป็นนวัตกรรมอันงดงามด้านการออกแบบ เปรียบได้กับกลไกของนาฬิกาไขลานที่ฟันเฟือง และสปริง มากมายร่วมทำงานสอดประสานเป็นจังหวะกันอย่างงดงาม ควบคุม เชื้อเพลิง อากาศ และไฟ ให้ทำงานร่วมกันอย่างแม่นยำ ซึ่งเกิดการจุดระเบิดส่งเสียงคำรามออกมาอย่างกึกก้อง และเสียงคำรามนี้ก็ได้สร้างความหลงใหลให้แก่ผู้ชื่นชอบเครื่องยนต์กลไกมาช้านานกว่า 150 ปี ส่วนรถไฟฟ้า เราอาจจะเทียบได้กับการทำงานของนาฬิกาดิจิทอลที่แม่นยำถึงในระดับเสี้ยววินาที ไม่มีเสียงการทำงานใดๆ ทุกอย่างขับเคลื่อนไปด้วยพลังของกระแสไฟฟ้า แน่นอนว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เครื่องยนต์ หรือกลไกของนาฬิกาไขลานชนะขาดในเรื่องของความน่าทึ่งทางวิศวกรรมที่แสนซับซ้อน และโรแมนทิค ขณะที่การทำงานของโลกดิจิทอลดูมีประสิทธิภาพเงียบเชียบ แต่ไร้อารมณ์ แต่หากมองในมุมกลับกันแล้ว กลไกและการทำงานที่งดงามของเครื่องยนต์นั้น จะว่าไปก็คือข้อจำกัดของตัวมันเอง เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า พลังงานที่ได้จากเชื้อเพลิงนั้นนำกลับมาเป็นพลังขับเคลื่อนได้ไม่เกิน 30 % เท่านั้น ส่วนพลังงานที่เหลือจะสูญเสียไปกับการเอาชนะความเสียดทานภายในเครื่องยนต์ และสูญเสียไปกับการเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และเสียง ในขั้นตอนการเผาไหม้ไปอย่างน่าเสียดาย มันเป็นความโรแมนทิค แต่ประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งหากมองมันเป็นนาฬิกาไขลาน เราก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า แม้จะมีกลไกที่ประณีตงดงาม น่าหลงใหลปลาบปลื้มเพียงใดแต่หากพูดเรื่องความแม่นยำแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นรองนาฬิกาดิจิทอลวันยังค่ำ (โดยเฉพาะดิจิทอลที่ปรับตั้งตัวเองได้ด้วยการวัดจากคลื่นวิทยุ หรือดาวเทียม เรียกได้ว่าแม่นยำหายห่วง) เพราะการทำงานของกลไกนั้นหลีกเลี่ยงความสูญเสียไม่ได้นั่นเอง ทั้งหมดนี้ชี้กลับมาที่แนวคิดที่แตกต่างของรถยนต์พลังไฟฟ้า โดยแนวคิดของ เทสลา แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้ผลิตรถไฟฟ้าชื่อดังนั้นจะบุกเบิกไม่เฉพาะเรื่องการสร้างรถยนต์ แต่ยังรวมไปถึงเครือข่ายของการใช้งานกระแสไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั้งการเดินทาง และการใช้งานในครัวเรือน ด้วยการเป็นผู้จัดจำหน่ายแผงโซลาร์เซลล์ และแบทเตอรีสำหรับจ่ายไฟในบ้านเรือนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่ชำนาญด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลัง ก็ว่าได้ โดยรถยนต์รุ่น โมเดล เอส อันเป็นรถยนต์ซีดานหรู และเป็นรถยนต์ลำดับที่ 2 ที่ออกจำหน่ายนั้น จะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากที่เราคุ้นเคยนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ออกตัว พละกำลังอันมหาศาลของ เทสลา โมเดล เอส โดยเฉพาะในรุ่นทอพ พี 90 ดี ที่ใช้มอเตอร์ 2 ชุด ขับล้อหน้าและหลังพร้อมกันนั้น สามารถสร้างอัตราเร่งที่รุนแรงราวกับโดนรถวิ่งชนท้ายด้วยอัตราเร่ง 1.1 จี (1.1 เท่าของแรงดึงดูดโลก หรือรู้สึกพอๆ กับตกตึก) นับตั้งแต่ออกตัวทันที และสามารถทำอัตราเร่งชนิดซูเพอร์คาร์ยังหนาว ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.4 วินาที จากการที่พวกเขาใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับแบบอินเวอร์เตอร์ 3 เฟส ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ แน่นอนว่า ความรู้สึกของการถ่ายทอดพละกำลังที่ได้นั้น ต่างไปจากเครื่องยนต์ที่เราคุ้นเคยกันอย่างสิ้นเชิง เพราะในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานที่รอบเดินเบา แรงบิดที่สร้างโดยการทำงานของกลไกการจุดระเบิด แทบจะเรียกได้ว่า เพียงพอแค่การเอาชนะความเสียดทานภายในเครื่องยนต์เท่านั้น (หากแรงบิดที่ผลิตขึ้นไม่สามารถเอาชนะความฝืดภายใน รวมถึงแรงหน่วงของระบบ เครื่องยนต์ก็จะดับนั่นเอง) เราต้องเร่งรอบไปจนถึงระดับหนึ่ง ถึงจะเรียกแรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์ออกมาได้ และเมื่อหมุนไปจนถึงความเร็วรอบหนึ่งๆ ก็จะเจอกับข้อจำกัดของกลไกเอง อาทิ สปริงวาล์วไม่สามารถดีดกลับได้ทัน วาล์วก็จะชนกับหัวลูกสูบ เป็นต้น จึงต้องเปลี่ยนเกียร์ หรืออัตราทดให้รอบเครื่องยนต์ทำงานต่ำลง พร้อมกับส่งให้รถยนต์สามารถทำความเร็วสูงขึ้นด้วยในเวลาเดียวกัน แต่สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าแล้ว เรื่องราวเหล่านั้นมันไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย เพราะแรงบิดสูงสุดเกิดขึ้นนับตั้งแต่รอบหมุนที่หนึ่งแล้วนั่นเอง (แต่กลับกันตรงที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะสูญเสียประสิทธิภาพไปเมื่อหมุนในรอบหมุนที่สูงมากๆ เพราะเกิดความร้อนสะสมมากขึ้น) และด้วยรูปแบบของมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีแรงบิดมากมายนับตั้งแต่รอบหมุนที่ 1 จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ชุดเกียร์แต่อย่างใด ความเร็วของรถนั้นสัมพันธ์กับรอบหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรง ไม่มีอะไรอ้อมค้อม (หากต้องการถอยหลัง ก็เพียงส่งคำสั่งให้วงจรสลับขั้วไฟฟ้า มอเตอร์ก็จะทำงานกลับหลัง เรียบง่ายมาก) การที่ไม่มีห้องเกียร์ และมอเตอร์ให้แรงบิดคงที่ในช่วงการทำงานที่กว้างขวางมาก จึงไม่มีความจำเป็นต้อง ชิฟท์ดาวน์ขณะเร่งแซงแต่ประการใด ส่งผลดีอย่างชัดเจนในด้านความนุ่มนวลของการขับเคลื่อนที่ไม่มีการกระตุก เป็นข้อเด่นที่เหนือกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์อย่างเห็นได้ชัด หลายคนอาจจะไม่กังขาถึงสมรรถนะของมัน แต่กังวลว่า เทสลา เป็นรถไฟฟ้าล้วนหากวิ่งไปไกลๆ แบทเตอรีจะหมดกลางทางหรือไม่ (รถของพวกเขาส่วนใหญ่จะวิ่งได้ระหว่าง 300-400 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม) จริงๆ แล้ว เทสลา สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟที่ใดก็ได้ ซึ่งตรงกับวิถีการดำรงชีวิตของคนในปัจจุบันที่มีชีวิตวนเวียนไม่ห่างปลั้กไฟนัก ยิ่งกว่านั้น เทสลา ยังมอบความอุ่นใจให้แก่ผู้ใช้รถของพวกเขา ด้วยการลงทุนสร้างระบบซูเพอร์ชาร์เจอร์ สเตชัน หรือเป็นสถานีเติมไฟแบบเร่งด่วน สามารถเติมไฟได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต่างไปกับเวลาที่ใช้ในการเติม ซีเอนจี มากนัก โดยสถานีซูเพอร์ชาร์เจอร์เปิดกระจายตัวไปตามทางหลวงระหว่างเมือง พร้อมร้านอาหาร ห้องน้ำให้บริการไม่ต่างไปจากปั๊มน้ำมัน และที่พิเศษสุดๆ คือ ให้บริการฟรี อีกแนวคิดที่ชาญฉลาด แต่ยังให้บริการในขอบเขตจำกัดเพียงในบางพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ สถานีเปลี่ยนแบทเตอรีแบบฉับไว เนื่องจากรถของ เทสลา นั้นออกแบบให้สามารถถอดเปลี่ยนแบทเตอรีได้ง่ายดาย โดยเอาออกจากด้านล่างของรถได้ภายในเวลาราวๆ 90 วินาทีเท่านั้น จึงได้มีการนำร่องโครงการสถานีเปลี่ยนแบทเตอรีฉับไวขึ้น สำหรับผู้ที่จำเป็นจะต้องเดินทางไกลเร่งด่วน อย่างไรก็ตามพฤติกรรมผู้บริโภคดูจะไม่ได้สอดคล้องกับแนวคิดนี้เท่าใดนัก ดังจะเห็นได้จากที่ในอดีตเราใช้โทรศัพท์มือถือที่ถอดเปลี่ยนแบทเตอรีได้ แต่ปัจจุบันสมาร์ทโฟนหลายรุ่นไม่สามารถเปลี่ยนแบทเตอรีได้ เราเลยจำยอมที่จะพกเพาเวอร์แบงค์ หรือแบทเตอรีสำรองติดตัว เพื่อใช้ชาร์จในยามฉุกเฉิน ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายกับซูเพอร์ชาร์เจอร์ สเตชัน นั่นเอง ข้อดีของการออกแบบให้สามารถถอดแบทเตอรีออกได้ง่าย อีกประการก็คือ ดูแลรักษาได้สะดวก แบทเตอรีของ เทสลา นั้นผลิตขึ้นโดยบริษัท พานาโซนิค เป็นเซลล์แบทเตอรีหน้าตาเหมือนถ่านไฟฉายที่เราคุ้นเคยกันเป็น ลิเธียม-ไอออน 18650 ชนิดที่สามารถพบได้ในคอมพิวเตอร์แลบทอพนั่นเอง โดยนำมาเรียงกันเป็นตับอัดแน่นใต้ท้องรถ มีน้ำหนักมหาศาล แต่ก็ส่งผลดีในด้านจุดศูนย์ถ่วงของรถที่ต่ำติดดิน ทำให้การควบคุมบังคับราวกับรถสปอร์ท รวมถึงได้รับการป้องกันจากแผ่นเกราะอลูมิเนียมหนาถึง 6 มม. เพื่อป้องกันอุบัติเหตุอันอาจเกิดขึ้นได้ ส่วนราคาของแบทเตอรีเมื่อถึงวาระต้องเปลี่ยน เชื่อว่าในอนาคต ด้วยขนาดและจำนวนของความแพร่หลายในการผลิต ราคาของมันน่าจะต่ำลงไม่น้อย จากที่ตอนนี้ราคาในสหรัฐอเมริกา สำหรับรุ่น 85KWH อยู่ที่ราว 17,000 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ หรือ ราว 6 แสนบาท นอกจากเรื่องราวพื้นฐานแล้ว ยังมีอีกหนึ่งระบบที่ทำให้ เทสลา มีความน่าสนใจ แต่จะมีใครนำไปใช้จริงแค่ไหนยังไม่แน่ นั่นคือ การติดตั้งระบบควบคุมแบบไร้คนขับ หรือ ออโท ไพลอท 7.0 ผู้เขียนได้ลองของจริงมาแล้วบนทางหลวงในสหรัฐอเมริกา ร่วมกับรถอื่นๆ บนการจราจรปกติ พบว่าการขับโดยมือไม่ต้องจับพวงมาลัย เท้าไม่ต้องเหยียบคันเร่งนั้นทำได้จริง รถสามารถวิ่งและเลี้ยวไปตามเส้นทางได้ด้วยตัวเอง จากการทำงานร่วมกันของกล้องคู่เหนือกระจกหน้ารถ เรดาร์บริเวณกระจังหน้า และเซนเซอร์โซนาร์รอบคัน ที่จะอ่านสภาพการจราจร เส้นผิวการจราจร และควบคุมรถแทนเรา โดยหากต้องการจะเปลี่ยนเลนก็เพียงเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว รถจะค่อยๆ กำหนดจังหวะที่จะเปลี่ยนเลนโดยอัตโนมัติ ซึ่งทำงานได้ผลดีในการทดสอบ ส่วนจะทำได้ดีในบ้านเราแค่ไหน ยังต้องรอพิสูจน์กันต่อไป เพราะเพื่อนร่วมทางของบ้านเรานั้นดูจะไว้ใจได้ยาก เสียงคำรามของเครื่องยนต์ยังคงความคลาสสิคกว่าความเงียบของพลังไฟฟ้า เหมือนเอาเสียงดนตรีอีเลคทรอนิคส์ ไปเทียบกับเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงโดยวงซิมโฟนี ออร์เคสตรา แต่คงต้องยอมรับว่า นี่คือวิถีแห่งอนาคต และโลกยานยนต์ของคนรุ่นต่อไป
เรื่องโดย : ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2559
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/114649