รอบรู้เรื่องรถ
ซื้อรถดีเซลเพื่อประหยัดค่าเชื้อเพลิง
คนที่มีอาชีพอย่างผม ย่อมถือว่า "ความคุ้ม" เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับรถยนต์ ก็คือประโยชน์ที่ได้ เมื่อเทียบกับราคาของรถ หรือถ้าเป็นเรื่องค่าเชื้อเพลิงย่อมหมายถึง ราคาเชื้อเพลิงที่เสียไปต่อระยะทางที่เราใช้รถ จำนวนเงินที่ต้องจ่ายต่อระยะทางเท่านั้นครับ ที่มีความหมายและสำคัญสำหรับผู้ใช้รถ ไม่ใช่ปริมาตรเชื้อเพลิงที่ใช้ ต่อระยะทางที่เราขับ ค่านี้เป็นเรื่องของผู้สร้างรถครับ หรือไม่ก็หน่วยงานที่ควบคุมดูแลด้านสิ่งแวดล้อม
แต่การให้ความสำคัญต่อสิ่งนี้อย่างเดียว ยังไม่เพียงพอครับ เพราะค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้รถเป็นพาหนะนั้น ยังประกอบด้วยรายจ่ายอื่นๆ อีก ตั้งแต่ราคารถที่เราซื้อ ค่าเสื่อมสภาพ (มูลค่าของรถที่ลดลงไปตามระยะทางที่ใช้และโดยเฉพาะตามกาลเวลา หรืออายุของรถ) ค่าบำรุงรักษา ทั้งอะไหล่และค่าแรงในการซ่อม หากอยากใช้รถอย่างถูกต้องและคุ้มค่า ต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ให้ครบถ้วน และอย่าลืมสิ่งที่ประเมินเป็นมูลค่าได้ลำบาก และหากประเมิน อาจจะมีมูลค่ามากกว่าอะไหล่ราคาสูงเสียอีกครับ นั่นก็คือการให้บริการ ซึ่งหัวข้อเหล่านี้ ผมเคยนำมาชี้แจงไปหมดแล้ว
สำหรับครั้งนี้จึงขอเน้นเฉพาะเรื่องความคุ้มค่าของรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้นครับ
ผมพบรถที่ญี่ปุ่นในงานมอเตอร์ เอกซ์โป หลายรุ่นใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งผมมีความเห็นมานานแล้วว่าควรนำมาให้ลูกค้ามีโอกาสเลือกใช้ เพราะมีจุดเด่นอยู่ที่ความประหยัดเชื้อเพลิง และน้ำมันดีเซลก็ยังถูกกว่าเบนซินอยู่พอสมควร แต่ผมก็ดีใจอยู่ได้เพียงชั่วครู่ เพราะเมื่อเห็นราคาของรถเหล่านี้แล้ว ไม่ต้องเอาเครื่องคิดเลขมาคำนวณหรอกครับ แค่ลองคำนวณอย่างหยาบๆ ในใจก็ได้คำตอบว่า หาความคุ้มแทบไม่ได้เลย ต้นทุนของรถดีเซลนั้น สูงกว่ารถเบนซิน แต่ไม่ใช่ระดับที่ผมได้พบครับ จึงอยากแนะนำผู้อ่านว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อเพราะความได้เปรียบด้านความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ต้องตรวจสอบความคุ้มค่าก่อนครับ เพราะนอกเหนือจากคุณสมบัติด้านนี้แล้ว หาจุดที่ได้เปรียบรถเครื่องเบนซินได้ยาก อย่าให้ใครเอาข้ออ้างแบบไร้สาระ เบี่ยงประเด็น มาเป็นจุดเด่นในการชวนให้ซื้อนะครับ ประเภท "ลุยน้ำลึกหน้าฝนได้สบาย ไม่ต้องกลัวเครื่องดับ" เพราะไม่ต้องอาศัยไฟฟ้าที่เขี้ยวหัวเทียน ถ้าน้ำลึกเกิน ถึงเครื่องยนต์จะไม่ดับ อีกหลายอย่างที่แช่น้ำ หรือสัมผัสน้ำไม่ได้ ก็พังพินาศไปแล้ว
สำหรับผู้ใช้รถเป็นระยะทางไม่มาก จะต่อวันต่อเดือนหรือปีก็ตาม เช่น วันละไม่ถึง 40 กม. ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือคำนวณให้เหนื่อยครับ ซื้อรุ่นเครื่องยนต์เบนซินไปเลย ประหยัดเงินกว่ามาก ส่วนผู้ที่ขับเป็นระยะทางค่อนข้างมาก เช่น วันละ 100 กม. ขึ้นไป หรือเฉลี่ยปีละเกิน 30,000 กม. ยังไม่ได้หมายความว่าใช้รถดีเซลแล้วคุ้มค่ากว่านะครับ ต้องลองคำนวณดูก่อน เริ่มจากประเมินความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยให้ใกล้เคียงกับการใช้งานจริงๆ ของเรา เช่น ในกทม. ว่ามีค่ากี่ กม. ต่อเชื้อเพลิง 1 ลิตร ของทั้งรถเบนซินและดีเซล เอาราคาต่อลิตรคูณก็จะได้ค่าเป็นระยะทางต่อราคาเชื้อเพลิง แล้วเอาราคาตั้งหารด้วยระยะทาง ก็จะได้ค่าเชื้อเพลิง ต่อ 1 กม. เอามาคูณกับระยะทางเฉลี่ยต่อปีที่ประเมินการใช้รถของเราไว้ ก็จะเป็นค่าเชื้อเพลิงต่อปี แน่นอนว่าค่าของรถเครื่องดีเซลรุ่นที่เราสนใจ ย่อมถูกกว่ารุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เอาส่วนต่างของราคารถทั้งสองรุ่น ซึ่งก็คือส่วนที่รุ่นดีเซลแพงกว่านี่แหละครับ เป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยมูลค่าเชื้อเพลิงที่ใช้น้อยกว่ารุ่นเบนซิน ต่อปี ก็จะเป็นระยะเวลาที่เราใช้งานมัน จนกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน
สมมติว่าได้ค่าออกมา 5.2 ปี หรือราวๆ 5 ปีเศษ แล้วเราตั้งใจไว้ว่าจะใช้รถรุ่นนี้ไม่เกิน 5 ปี หรือ 5 ปีครึ่ง ก็จบครับ ไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยอีกต่อไป เลือกซื้อรุ่นเครื่องยนต์เบนซินไปดีกว่า เพราะหากไม่มีความคุ้มค่าด้านประหยัดเชื้อเพลิงแล้ว คงหาด้านอื่นมาสู้รุ่นเบนซินได้ยาก เพราะเครื่องเบนซินทำงานได้ละเอียด นุ่มนวลกว่า และเงียบกว่าด้วย ค่าบำรุงรักษาก็ไม่แตกต่างกัน และหากหมดระยะประกันคุณภาพไปแล้ว โอกาสเสียค่าอะไหล่ ราคาสูง โดยรุ่นดีเซล ก็น่ากลัวพอสมควรครับ เช่น ปั๊มแรงดันสูงมากของระบบคอมมอนเรล ซึ่งราคาก็สูงโหดระดับเดียวกับความดันน้ำมัน
สมมติว่าคำนวณคร่าวๆ ออกมาแล้ว รถดีเซลได้เปรียบนิดหน่อย ก็อย่าเพิ่งเลือกนะครับ เพราะน้ำมันเป็นผลบั้นปลายเมื่อเลิกใช้รถ ต้องคำนวณผลประโยชน์จากส่วนต่าง ตั้งต้นที่ราคารถเบนซินถูกกว่าด้วย ว่าเอาไปออกดอกออกผลได้เพียงใด แล้วยังต้องคำนึงถึงราคาขายเมื่อเลิกใช้ด้วย เพราะราคาที่สูงกว่าของรุ่นดีเซลตอนเราซื้อมาใหม่ มันไม่ได้คงอยู่สูงกว่ารุ่นเบนซินไปตลอดนะครับ
ช่วยขี้เกียจเหยียบเบรค ตอนติดไฟแดง
ตั้งแต่มีสื่อสังคมครอบคลุมไปทั่วโลก ในรูปแบบที่เรียกว่า "โลกไร้พรมแดน" ได้จริงๆ เราจะเห็นการจัดอันดับต่างๆ ของคน ของสถานที่ (ทางภูมิศาสตร์) ของประเทศ (ทางการเมือง) ยังโชคดีอยู่ตรงที่ เป็นการจัดอันดับด้านดี หรือด้านบวกครับ เพราะขืนจัดด้านลบ เป็นการตำหนิคนหมู่มาก หรือทั้งประเทศ ผู้จัดอันดับอาจเดือดร้อน หรือมีอันเป็นไปได้ง่ายๆ ผมจึงรู้สึกโล่งใจทุกครั้ง ที่ลองจินตนาการดูว่า หากมีใครกล้าจัดอันดับประชากรของชาติในเอเชีย ในด้านความขี้เกียจ แค่ลองสำรวจดูในใจ มองกวาดไปทุกประเทศแถบนี้ ก็รู้สึกหวิวขึ้นมาทันที เกรงว่าประเทศเราจะได้ถ้วยรางวัลที่ 1 มาครับ
หลายปีมาแล้ว เมื่อครั้งที่ราคารถยนต์ทั้งใหม่และใช้แล้ว เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าการเพิ่มของรายได้ประชากรและค่าครองชีพ ผมเดาไว้ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง เมื่อจำนวนรถเพิ่มขึ้นอย่างมาก และผู้ใช้รถยังกดแตรกันพร่ำเพรื่อเหมือนช่วงเวลานั้น พวกเราจะอยู่กันอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลานั้น ซึ่งก็คือช่วงเวลานี้ เสียงแตรซึ่งผมกังวลว่าจะดังสนั่นจนหูอื้อ ต่างคนต่างกดแบบประเทศเพื่อนบ้านและห่างเกินเพื่อนบ้านในทวีปของเรา จะกลายเป็นสิ่งคู่ชีวิตประจำวันบนท้องถนนของพวกเรา กลับลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงระดับเดียวกับชาติพัฒนาแล้วทั้งหลาย
ผมงุนงงอยู่ช่วงหนึ่ง และเริ่มหาสาเหตุเพื่อให้ได้คำตอบแก่ตนเอง แล้วก็พบว่า มันเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ไม่ได้ตั้งใจของพวกเราชาวไทย ซึ่งก็คือ ความขี้เกียจ เอกลักษณ์ประจำชาติอย่างหนึ่งนี่แหละครับ เพราะปุ่ม หรือแป้นแตร ไม่ได้รออยู่ใต้นิ้วโป้ง หรือนิ้วใดของพวกเรา ขณะจับ หรือหมุนพวงมาลัยต้องใช้ความพยายามในระดับหนึ่ง จึงจะกดโดนความขี้เกียจ ให้ผลดีบางอย่างได้เหมือนกันครับ สาธุ
ผมเชื่อว่าผู้อ่านเกือบทุกคน ต้องเคยไปหยุดรถต่อท้ายรถบางรุ่นขณะรอไฟเขียว โดยเฉพาะรถสัญชาติเยอรมันบางบแรนด์ ที่จะต้องใช้ไฟเบรคที่สว่างเกินควร ทั้งๆ ที่ในระดับปกติเหมือนรถอื่นส่วนใหญ่ ก็ปลอดภัยเพียงพอแล้ว ถ้าเป็นกลางวัน ซึ่งมีแสงสว่างรอบข้างมากอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาครับ เพราะม่านตาเราจะหุบเพื่อลดแสงที่จะไปกระทบจอตา แต่ถ้าเป็นกลางคืน ม่านตาของเราเปิดกว้าง และต้องรับแสงจากไฟเบรคพวกนี้ (เกือบลืมไปครับ บรรดาไฟเบรคราคาถูก ประเภทของปลอม ก็ส่งแสงสว่างเกินเหมือนกัน ) เราจะปวดตามากครับ เป็นเกร็ดเล็กน้อยที่ผมนำมาเล่าเพื่อหาเพื่อนร่วมทุกข์ เพราะปรากฏการณ์บางอย่าง ถ้าเราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะความผิดหรือความเลวร้าย เราก็อาจจะไม่รู้สึกว่าถูกรบกวนหรือล่วงละเมิด แต่รู้และเข้าใจสาเหตุที่ไปที่มา ก็ย่อมดีกว่าเสมอครับ เพราะถ้ามันให้โทษต่อสุขภาพ เราก็ยังมีโอกาสระวังหรือปกป้องตนเองได้
จุดประสงค์หลักที่เขียนเรื่องนี้ ก็เพราะต้องการลดความลำบากของผู้อ่านครับ ด้วยการขอให้ลดความขยันในการเหยียบเบรค เมื่อหยุดตามแยกที่รอสัญญาณไฟเขียว เท่าที่ผมสังเกตโดยไม่ถึงขั้นบันทึกเป็นตัวเลข ผู้ที่ใส่เกียร์เดินหน้าไว้ (ของเกียร์อัตโนมัติ) แล้วเหยียบเบรครอสัญญาณไฟเขียวมีจำนวนเกินกว่าร้อยละ 80 สาเหตุก็คือ ถูกสอนหรือแนะนำมาอย่างไม่ถูกต้องครับ แน่นอนว่าคำแนะนำหรือคำสอน หรือคำอนุญาต หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ ของผู้ผลิตรถ เกียร์อัตโนมัติ อาจจะเป็นเช่นนี้ "คุณสามารถ (หรือควร) ใส่เกียร์เดินหน้าครั้งเดียวเมื่อติดเครื่องยนต์แล้วออกรถ และเหยียบเบรคไว้เมื่อต้องการหยุดรอ โดยไม่ต้องปลดเกียร์จากเดินหน้า มาเป็นเกียร์ว่าง จนกว่าจะถึงที่หมายและต้องการจอด"
เป็นคำแนะนำที่ค่อนข้างมีความหมายเน้นทางด้านเทคนิคด้วย หมายความว่า ไม่ว่าคุณจะเหยียบเบรครอในเกียร์เดินหน้า นานแค่ไหนหรือบ่อยเพียงใด ก็จะไม่มีโทษหรือความเสียหายต่อรถที่เขาสร้างมาทั้งสิ้นครับ
ไม่ได้หมายความว่า ห้ามผู้ขับปฏิบัติอย่างอื่นแตกต่างไปจากนี้ ผู้ผลิตเขาไม่ได้แจกแจงไว้ในคู่มือใช้รถ ว่ากรณี ที่ต้องหยุดรอนานจากการเลือกสัญญาณ ไฟของตำรวจจราจรบ้าบอของบางประเทศ ระดับ 3 นาทีขึ้นไป จนถึงเกือบ 10 นาที ที่ไม่มีอารยประเทศไหนก็ตาม เราสามารถเลือกใช้เกียร์ว่าง (N) ก็พอ ถ้าเป็นทางราบเช่นถนนส่วนใหญ่ของประเทศไทย โดยเฉพาะ กทม. ไม่จำเป็นต้องโยกผ่านเกียร์ถอยหลังไปยังเกียร์จอด (P) ให้เหนื่อย ส่วนจะขึ้นเบรคจอดหรือเบรคมือ (บางรุ่นใช้เท้าในการขึ้นเบรคจอดก็มี) แล้วแต่ความเหมาะสมครับ ผมไม่ใช่คนหลับหูหลับตาคลั่งทฤษฎี ที่คิดกันไปเองว่าต้องขึ้นเบรคจอดหรือเบรคมือไว้เสมอเมื่อหยุด (ไม่ใช่จอดนะครับ) ไม่จำเป็นเลยครับ ถ้าเป็นทางราบ และเรานั่งเตรียมพร้อมอยู่ เพื่อรอไฟเขียว ในเมื่อแม้แต่การขับรถทางตรง ถนนโล่ง เรายังต้องมีสมาธิ ระแวดระวังสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ แล้วการนั่งรอสัญญาณไฟ ซึ่งใช้สมาธิความระวังตั้งใจ เพียงแค่เศษเสี้ยวของขณะขับ ไม่เห็นจะต้องขึ้นและปลดเบรคจอดให้เหนื่อยครับ และเราก็พร้อมจะเหยียบเบรคได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว มีข้อยกเว้นเพียงบางข้อเท่านั้นครับที่ควรหรือต้องใส่เกียร์จอด (P) คือ
1. จอดบนทางลาด แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ซึ่งถ้าไม่นาน ชั่งน้ำหนักความคุ้มในใจแล้วจะเลือกเหยียบเบรคก็ได้ครับ
2. หากต้องละสายตา จากสภาพเตรียมพร้อมออกรถ เช่นค้นหาของ ต่อโทรศัพท์ (ต้องใช้หูฟังเสมอ หรือไม่ก็เปิดเสียงออกลำโพง เผื่อต้องออกรถเมื่อไฟเขียว)
3. มีเด็กซุกซน หรือผู้โดยสารนิสัยชุ่ย ที่อาจเอามือหรือส่วนใดของร่างกายมากระทบคันเกียร์
กรุณารักษาเอกลักษณ์ของชาติในเรื่องนี้กันหน่อยนะครับ ด้วยการเปลี่ยนเป็นขี้เกียจเหยียบเบรคตอนหยุดรอสัญญาณไฟ จะได้ไม่ต้องเมื่อยเท้าและขาของเรา และหากเป็นเวลากลางคืน อานิสงส์ก็จะตกแก่ผู้ขับที่หยุดรอต่อท้ายรถของเราด้วยครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2559
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/114621