คูลคอนเนคท์
BLUETOOTH SMART
BLUETOOTH SMART พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบรับกระแสบริโภคนิยม ที่เน้นความสะดวกสบายในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ และใช้งานได้ยาวนานขึ้น เน้นการเชื่อมต่อที่ใช้พลังงานต่ำ ULP (ULTRA LOW POWER) เพื่อให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลานานมากขึ้นบรรดาสมาร์ทอีเลคทรอนิค ที่เน้นการทำงานอย่างต่อเนื่อง ระบบเชื่อมต่อนับเป็นส่วนสำคัญ ต้องใช้งานง่าย, รวดเร็ว และประหยัดพลังงาน BLUETOOTH SMART คือ ระบบเชื่อมต่อ ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก BLUETOOTH เวอร์ชัน 4.0 ตอบรับกระแสความนิยมในตลาดสมาร์ทอีเลคทรอนิคที่เติบโตแบบทวีคูณ อาทิ ลำโพงบลูทูธ, สมาร์ทวอทช์, อุปกรณ์ติดตามกิจกรรม รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสมาร์ทโฮม ทั้งนี้ นักพัฒนาได้ตระหนักถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อได้ง่าย รวดเร็ว ที่สำคัญต้องประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยม บทเริ่มต้น อีริคสัน โมบายล์ คอมมูนิเคชัน ประเทศเดนมาร์ค ได้บุกเบิกค้นคว้าวิจัย นำคลื่นความถี่วิทยุเข้ามาใช้ในโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ต่างๆ เริ่มแนวคิดระบบเชื่อมต่อ และให้ชื่อว่า "BLUETOOTH" ตั้งแต่ปี 1994 หลายคนคงสงสัยว่า BLUETOOTH หรือ "ฟันสีฟ้า" มีความเป็นมาอย่างไร ? ที่จริง เป็นการรำลึกถึงพระนามของกษัตริย์ "HARALD BLUETOOTH" ผู้ปกครองประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ส่วนโลโกสัญลักษณ์ มาจากภาษาไวกิง เป็นตัวย่อจากพระนาม คือ ตัว "H" และ "B" นั่นเอง การทำงาน BLUETOOTH คือ ระบบสื่อสารระหว่างอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์แบบ 2 ทาง ผ่านคลื่นวิทยุระยะสั้น (SHOT RANGE RADIO LINKS) โดยไม่ใช้สายเคเบิล การทำงานไม่ต้องอยู่ในระนาบเดียวกัน หรือมองเห็นกันแบบรีโมท หรืออินฟราเรด จึงสะดวกสบาย แม้จะเปลี่ยนตำแหน่งไป/มา แต่ก็มีระยะห่างที่กำหนด เพียงอยู่ในรัศมีก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานผ่านคลื่นค่าความถี่ 2.4 GHZ ซึ่งเป็นข้อกำหนดร่วมกันระหว่างประเทศ อย่างในแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ใช้ช่วงค่าความถี่ 2.4000-2.4835 GHZ แบ่งได้ 79 ช่องสัญญาณ และส่งผ่านข้อมูลได้ 1,600 ครั้ง/วินาที ส่วนญี่ปุ่นใช้ช่วงค่าความถี่ 2.402-2.480 GHZ แบ่งได้ 23 ช่องสัญญาณส่งผ่านข้อมูลได้น้อยกว่า ทำงานในระยะ 5-10 เมตร แต่เน้นความปลอดภัยด้วยระหัสป้องกันก่อนการเชื่อมต่อ ระบบจะสลับช่องสัญญาณเองโดยอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้ขาดการเชื่อมต่อ และป้องกันการลักลอบเข้าใช้สัญญาณ ปัจจุบันมีการตกลงร่วมกัน เปิดคลื่นสัญญาณวิทยุค่าความถี่ 5.0 GHZ เพิ่มเติม เพื่อรองรับการเชื่อมต่อที่มีมากขึ้นแบบทวีคูณ อย่างที่กล่าวมาแต่แรก BLUETOOTH เน้นการทำงานระหว่างอุปกรณ์ขนาดเล็ก สามารถส่งผ่านข้อมูลได้ ทั้งไฟล์ภาพ, เพลง และแอพพลิเคชันต่างๆ ที่สำคัญใช้พลังงานต่ำเพียง 0.1 วัตต์ โดยทั่วไปจะส่งผ่านข้อมูลได้ 1 MBPS ซึ่งทำงานได้ทันที สำหรับสมาร์ทโฟนทั่วไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบสื่อสารด้วย เช่น 4G ส่งข้อมูลได้มาก และรวดเร็วกว่า 3G หากแต่เป็นข้อมูลขนาดใหญ่ คงสู้ WI-FI หรือระบบ WIRELESS LAN ไม่ได้ BLUETOOTH กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็มีความสำคัญไม่น้อย เนื่องจากอุปกรณ์หลายอย่างที่เชื่อมต่อต้องใช้สายเคเบิล ซึ่งมีจำนวนมาก และยุ่งยาก ใช้งานได้ไม่สะดวก อาทิ เมาส์, คีย์บอร์ด และลำโพง อุปกรณ์เหล่านี้ พัฒนาโดยนำระบบ BLUETOOTH เชื่อมต่อผ่าน USB RECEIVER ง่ายเพียงแค่เสียบ จับคู่ และใช้งานได้ทันที อีกทั้งยังเชื่อมต่อได้พร้อมๆ กันหลายอุปกรณ์ ส่วนในรถยนต์ และสมาร์ทโฮม ก็นำระบบนี้ ไปใช้เพิ่มความสะดวกสบายด้านความปลอดภัย, การสื่อสาร และความบันเทิง โดยอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้น เน้นการทำงานร่วมกันในระยะใกล้ ส่วนที่เกินขีดความสามารถ จะนำระบบ WI-FI เข้ามาใช้เชื่อมต่อแทน คลาสส์/เวอร์ชันต่างๆ BLUETOOTH แบ่งออกเป็น 3 คลาสส์ ด้วยกัน ประกอบด้วย คลาสส์ 1 มีกำลังส่ง 100 มิลลิวัตต์ ทำงานในระยะห่าง 100 เมตร, คลาสส์ 2 มีกำลังส่ง 2.5 มิลลิวัตต์ ทำงานในระยะห่าง 10 เมตร และ คลาสส์ 3 มีกำลังส่ง 1 มิลลิวัตต์ ทำงานในระยะห่าง 1 เมตร แบ่งเป็นเวอร์ชันต่างตามลำดับ คือ เวอร์ชัน 1.0, 1.1 และ 1.2 Z (ส่งผ่านข้อมูลได้ 721 KBPS), เวอร์ชัน 2.0 (ส่งผ่านข้อมูลได้ 2.1 MBPS), เวอร์ชัน 2.0 EDR และ 2.1 EDR (ส่งผ่านข้อมูลได้ 3.0 MBPS) เวอร์ชัน 3.0, 4.0 และ 4.0 SMART (ส่งผ่านข้อมูลได้ 24 MBPS) โดย EDR (ENHANCED DATE RATE) คือ การเพิ่มความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลสูงสุด 3 MBPS สำหรับ SMART พัฒนาโดย BLUETOOTH SIG ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่รองรับเวอร์ชัน 4.0 ได้ คือ ANDROID เวอร์ชัน 4.3, IOS เวอร์ชัน 7.0 และ WINDOWS 8.1 ขึ้นไป เน้นการเชื่อมต่อที่ใช้พลังงานต่ำ UPL (ULTRA LOW POWER) เพียง 0.01-0.50 วัตต์ น้อยกว่า 15 มิลลิแอมพ์ เพื่อให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลานานมากขึ้น อาทิ อุปกรณ์ติดตามกิจกรรม ที่ใช้งานได้หลายเดือน โดยไม่ต้องเปลี่ยนแบทเตอรี การจับคู่เชื่อมต่อ การใช้งาน BLUETOOTH อาศัยการจับคู่เป็นสำคัญ แต่เดิมฟังค์ชันนี้มีให้เห็นในโทรศัพท์ปลายๆ ยุค 2G แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม ส่วนอุปกรณ์ BLUETOOTH สำหรับการสื่อสารกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนจึงเคยจับคู่กันมากตั้งแต่ยุคก่อนสมาร์ทโฟน ส่วนการจับคู่ในปัจจุบัน เน้นให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งทำงานร่วมกันได้หลายอุปกรณ์ เพียงแค่คุณมีสมาร์ทโฟน หรือแทบเลท และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีฟังค์ชัน BLUETOOTH อาทิ ลำโพง, สมาร์ทวอทช์ หรืออุปกรณ์ติดตามกิจกรรม เป็นต้น โดยเริ่มจากเปิดเพาเวอร์ของอุปกรณ์ เข้าไปในฟังค์ชัน BLUETOOTH ของสมาร์ทโฟน ค้นหาอุปกรณ์ เมื่อเจอก็จับคู่เชื่อมต่อได้ทันที บางอุปกรณ์อาจทำงานผ่านแอพพลิเคชัน ซึ่งแต่ละค่ายจะออกแบบมาให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น อาทิ NOTIFICATION สำหรับติดตามกิจกรรมต่างๆ เพื่อคนรักสุขภาพ นอกจากนั้น BLUETOOTH SMART เริ่มมีคู่แข่งที่สำคัญอย่าง NFC (NEAR FIELD COMMUNICATION) ระบบเชื่อมต่อที่ไม่ต้องจับคู่ เพียงแค่นำอุปกรณ์ทั้ง 2 มาแตะกัน ก็ทำงานได้เลย ทำงานผ่านคลื่นความถี่วิทยุ 13.56 MHZ หรือร่วมกับ BLUETOOTH เวอร์ชัน 2.0 ขึ้นไป สรุป BLUETOOTH SMART เริ่มมีบทบาทสำคัญกับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น โดยเฉพาะอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ ของเล่นไฮเทคต่างๆ ทั้งหมดคิดขึ้นมา เพื่อความสะดวกสบาย ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส สำหรับชีวิตอินทเรนด์ ว่าแล้วก็ "จับคู่เชื่อมต่อกัน" ระบบเชื่อมต่อ สมาร์ทอีเลคทรอนิค 1. BLUETOOTH SMART "จับคู่" ข้อมูลจำกัด ระยะใกล้ ทำงานผ่านคลื่นความถี่วิทยุ 2.4/5.0 GHZ ร่วมกับระบบ IOS 7.0 และ ANDROID 4.3 ขึ้นไป เชื่อมต่อโดยการจับคู่อุปกรณ์ ใช้ได้หลายอุปกรณ์พร้อมกัน ส่งผ่านข้อมูลได้ในระดับหนึ่ง ประหยัดพลังงาน มีระยะห่างการทำงานจำกัด 2. NFC "แตะ" ข้อมูลจำกัด ระยะใกล้ ทำงานผ่านคลื่นความถี่วิทยุ 13.56 MHZ ร่วมกับระบบ IOS 8.0 และ ANDROID 4.0 ICS ขึ้นไป เชื่อมต่อโดยการแตะ (จับคู่อุปกรณ์อัตโนมัติ) ใช้ได้หลายอุปกรณ์พร้อมกัน ส่งผ่านข้อมูลได้ในระดับหนึ่ง มีระยะห่างการทำงานจำกัด 3. WI-FI "ใช้รหัส" ข้อมูลไม่จำกัดระยะไกล ทำงานผ่านระบบการสื่อสาร 3G/4G ร่วมกับสมาร์ทโฟน, แทบเลท และคอมพิวเตอร์ทั่วไป เชื่อมต่อได้หลายจุดโดยการป้อนรหัสผ่าน แต่เลือกใช้งานได้เฉพาะจุด ส่งผ่านข้อมูลได้จำนวนมาก ทำงานได้ในระยะไกล
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ดำคำเพราะ
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : คูลคอนเนคท์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/111928