รอบรู้เรื่องรถ
ขับแทกซีประเทศไทย มีมือกับเท้าก็พอแล้ว
พ้นโทษจากคุก แต่สันดารโจรยังอยู่ครบ มาขับแทกซี เป็นฆาตกรที่ยังไม่ถูกจับ ขับแทกซี เป็นโจรลักเล็กขโมยน้อยเมื่อมีโอกาส ขับแทกซี เป็นนักข่มขืนโดยสันดาน ขับแทกซีเป็นโรคจิต แต่ไม่ถึงขั้นบ้า ขับแทกซี ก้าวร้าว ชอบหาเรื่องวิวาท ใช้อาวุธ และกำลังกับคนที่อ่อนแอกว่า หรือเสียเปรียบ ขับแทกซี ติดยาเสพติด หรือแอลกอฮอล ขับแทกซี มารยาททราม วาจาหยาบคาย กักขฬะ ก็ขับแทกซีได้สบายในประเทศนี้ หรือไม่ได้เลวระดับในตัวอย่าง แต่ไม่รู้จักเส้นทางเลย ก็มีใบอนุญาตขับแทกซีได้ ให้ผู้โดรสารบอกทางให้ตลอด ยิ่งอ้อมยิ่งได้เงิน ยังมีอีกครับ ไม่ว่าจะจินตนาการระดับความเลวขั้นไหน ก็มีสิทธิ์ขับแทกซีได้ทั้งนั้น ยกเว้น หูหนวก ตาบอด หรือมือเท้าด้วนเท่านั้นอาชีพขับแทกซี เป็นงานให้บริการต่อประชาชนต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยวาจา มีความใกล้ชิด เนื่องจากอยู่ในห้องโดยสารของรถด้วยกัน ผู้ขับแทกซีต้องมีมารยาท กิริยา วาจา สุภาพ ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นสุภาพชน พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ใช่งานสำหรับ คนหยาบคาย สถุล กักขฬะ หรือ วิปริต ต้องมีทัศนคติที่ดีพอ นอกจากนี้ยังต้องมีสำนึกด้านความปลอดภัย เพราะเป็นผู้ควบคุมทิศทางของยานพาหนะที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วบนถนนที่มีผู้ร่วมใช้ทางมากมาย ต้องรู้เส้นทางที่ใกล้ที่สุด ระหว่างจุดเริ่มเดินทางของผู้โดยสารกับที่หมาย ไม่ใช่มาบอกผู้โดยสารว่า "หุบปากไว้ พาไปถึงที่หมายได้ก็แล้วกัน" เพราะเหตุใด จึงมีคนเลวระดับไหนก็ได้มาขับแทกซี สาเหตุเบื้องต้นอยู่ที่ความง่ายของการขับรถครับ จากการสำรวจทั้งอย่างเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ พบว่า คนที่ปัญญาต่ำ เรียกง่ายๆ ว่าโง่ หรือฉลาดน้อยเกินกว่าจะขับรถได้นั้น ต้องถือว่าไม่มีครับ ถ้ามีก็เฉพาะพวกที่มีปัญหาแต่กำเนิด หรือพิการทางสมองจากอุบัติเหตุ หรือจากการป่วยเท่านั้น ลองนึกดูก็ได้ครับ ว่าเคยรู้จักคนที่โง่ หัดขับรถไม่ได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าผิดจากพวกที่ว่านี้ ไม่มีครับ มีแต่ขี้เกียจกับไม่กล้าเท่านั้น แม้จะเป็นรถเกียร์ธรรมดาก็ไม่ยาก เพราะไม่ต้องเข้าใจหลักการทำงาน ขอให้รู้ว่าเหยียบคลัทช์ทุกครั้งที่เข้าเกียร์ หรือเปลี่ยนเกียร์ ถอนคลัทช์แล้วรถจะมีแรงขับเคลื่อน แล่นช้าใช้เกียร์ต่ำ ถ้าเร็วใช้เกียร์สูง ตามความเหมาะสม เพราะฉะนั้นในเมื่อ "ทุกคน" หรือ "ใครๆ" ก็ขับรถแทกซีได้ จึงจำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์อื่นๆ สำหรับการพิจารณาออกใบอนุญาตขับรถแทกซี หรือรถสาธารณะอื่นก็ตาม ง่ายมากครับ กรมการขนส่งทางบกสามารถนำหลักเกณฑ์ต่างๆ มาพิจารณาให้เหมาะสม เช่น ตรวจสอบประวัติอาชญากรรม จากลายนิ้วมือ และข้อมูลอื่นๆ เช่นเดียวกับกฎเกณฑ์ก่อนการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน ตรวจสอบความเหมาะสม เช่นเดียวกับการเข้ารับราชการ การรับเข้าทำงานของพนักงานบริษัทเอกชน ต้องมีการสัมภาษณ์ ตรวจสอบทัศนคติ ความมีมนุษยสัมพันธ์ และที่สำคัญเช่นเดียวกัน คือ ความรู้เรื่องเส้นทางในขอบเขตที่ให้บริการ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว หัวข้อนี้เป็น "ด่าน" ที่ยากที่สุด ในการสอบเพื่อรับใบอนุญาตขับแทกซีครับ ผู้ที่จะผ่านได้ ต้องตอบคำถามของครูได้ถูกต้อง ว่าการเดินทางจากที่หนึ่ง ซึ่งก็คือตำแหน่งที่ผู้โดยสารขึ้นรถไปยังจุดหมายปลายทาง ต้องใช้เส้นทางใดที่สั้นที่สุด หรือเหมาะสมที่สุด ผู้เข้าสอบต้องรู้จักชื่อถนนทั้งหมด ระดับหลับตาก็เห็นภาพพจน์ได้ ไม่ใช่แบบ "พี่บอกทางแล้วกันนะ" เพราะเพิ่งออกจากคุก จากคดีข่มขืนมาเมื่อวานซืนนี้เอง เลือกซื้อรถ อย่าใจร้อน ระยะนี้พวกเรามักจะได้ยินปัญหาของผู้ใช้รถ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ครับ ผมคิดว่าน่าจะมาจากสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ มีรถหลากหลายรุ่น และบแรนด์ออกมาจำหน่ายมาก และประสิทธิภาพของสื่อรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยให้พวกเราเผยแพร่ข้อมูลกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยอยากรับรู้ครับ ไม่ใช่ไม่เห็นใจผู้เดือดร้อนนะครับ แต่เพราะมันทำให้ผมอึดอัดใจ เพราะไม่สามารถช่วยเหลือได้ เพราะปัญหาทำนองนี้ แม้จะเป็นปัญหาด้านเทคนิคเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยความรู้ทางเทคนิคแต่เพียงอย่างเดียว พวกเราจำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายอย่างจริงจัง มีประสิทธิภาพครับ ต้องมีหน่วยงานทางกฎหมายของรัฐที่มีบุคลากรด้านเทคนิครถยนต์ โดยไม่ต้องพึ่งพาความเห็นช่าง ที่มีความเล่าลือกันในสังคมว่า "เก๋ง" หรือ "รู้เยอะ" และควรมีหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค ที่คุ้มครองผู้บริโภคได้จริง ไม่ใช่เป็นที่รู้กันของประชาชนค่อนประเทศ ว่าพึ่งพาอะไรไม่ได้จริง ระหว่างที่ผู้บริโภคอย่างพวกเรา ยังอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยว ลอยแพเช่นนี้ ผมขอแนะนำวิธีปฏิบัติอย่างง่ายๆ โดยไม่เรียงลำดับความสำคัญดังนี้ครับ 1. ถ้าบังเอิญชอบบแรนด์ที่เพิ่งมีจำหน่ายต้องระวังเป็นพิเศษครับ เช่น ที่ว่าเป็นบแรนด์ "ฝรั่ง" นั้น จริงหรือไม่ ? ผลิตที่ไหน ? มีศูนย์บริการกี่แห่ง ช่างซ่อมเป็น หรือว่ากำลังรอซ้อมมือด้วยรถของเราอยู่ จำนวนศูนย์บริการนี่ต้องตรวจสอบได้ว่ามีอยู่จริง อย่าไปเชื่อพนักงานขายครับ เพราะมีพวกศรีธนญชัย พวกแกล้งโง่ ไม่ได้โกหก แต่บอกไม่หมด อาจจะบอกจำนวนในอนาคต แต่ปัจจุบันมีอยู่แห่งเดียว 2. คนเราเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นครับ ถ้าค้าขายอย่างอื่นที่สินค้าไม่ค่อยมีปัญหา มันยังเอาเปรียบลูกค้าหน้าด้านๆ อย่าหวังว่าจะค้าขายรถด้วยความซื่อตรงครับ เขาถึงเรียกว่า เป็นสันดาน สืบพื้นเพ พฤติกรรมทั้งอดีต และปัจจุบันของเจ้าของบริษัทให้กระจ่างก่อนครับ สอบถามทางสื่อสังคมได้เลย ผู้ที่รู้ ย่อมยินดีตอบความจริง หรือเตือนภัยล่วงหน้าแน่นอน 3. หารายงานการทดสอบ ประสบการณ์ของผู้ใช้รถรุ่นที่เราชอบ ทั้งในและต่างประเทศ ความเห็นของผู้ใช้ในประเทศต่อคุณภาพของศูนย์บริการ และอย่าลืมไปเยี่ยมชมศูนย์ ฯ ด้วยตนเองด้วย ว่ามีจริงหรือไม่ น่าเชื่อถือระดับไหน ถ้าสถานที่ห่วย พนักงานขาย พนักงานต้อนรับก็ห่วย อย่าหวังว่าช่างซ่อมจะมีฝีมือครับ สิ่งเหล่านี้มักเป็นไปในแนวเดียวกันหมด ถ้าการซ่อมรถมีกำไร เหตุใดจึงไม่มีใครอยากเปิดศูนย์บริการให้เพียงพอ ? คำตอบอยู่ที่การลงทุนครับ เพราะบริษัทจะต้องซื้อที่ดินหรือเช่าระยะยาว แล้วจึงจะสร้างอาคาร ซึ่งล้วนต้องใช้เงินลงทุนสูง กินเวลานานกว่าจะคุ้มทุน ต่างจากการขายรถที่จ้างเขาประกอบ รับเงินสดหักต้นทุนเหลือเป็นกำไรได้เลย จึงไม่มีใครอยากสร้างศูนย์บริการ ความเดือดร้อนจึงตกที่ลูกค้า 4. หาทางสอบถามจากผู้ใช้รถตัวจริงเลยครับ เช่น ตามลานจอดรถของศูนย์การค้า หรือข้างทางที่ไหนก็ได้ ผมเชื่อว่าหากเราทักทาย และสอบถามด้วยความสุภาพ ไม่มีใครรังเกียจครับ ถ้าดีก็อยากชม ถ้าเลวก็อยากด่าให้ฟัง ยิ่งเผยแพร่ได้มากเท่าใดยิ่งชอบ รายเดียวไม่พอครับ ฟังให้มากที่สุด แล้วนำมาประกอบการตัดสินใจ ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาพอสมควรครับ สรุปแล้วผมขอแนะนำหลักการปฏิบัติตนก่อนตัดสินใจซื้อรถ ด้วยวิธีที่จำง่ายๆ 3 ประการ ด้วยกัน คือ 1. อย่าใจร้อน ทั้ง 4 หัวข้อที่ผมแนะนำมาต้องใช้เวลาครับ ตั้งใจไว้เลยว่าเราจะไม่ลงชื่อ ซื้อ จอง จองซื้อ แล้วแต่จะเรียกกัน ในวันที่เห็นรถรุ่นนี้ตัวจริงเป็นครั้งแรก หรือซื้อหลังจากได้พบพนักงานขายเป็นครั้งแรก ให้เวลากับตัวเองไปเลยหลายๆ วัน เพื่อตรวจสอบ ไม่ต้องกลัวหมดเหมือนที่พวกคนขายชอบขู่ครับ อย่าไปเชื่อ ผมเคยย้ำอยู่เสมอว่าในโลกนี้เต็มไปด้วยคนขายของ และของที่คนอยากขายมากกว่าจำนวนคนที่มีเงินพอ พร้อมที่จะซื้อหลายเท่า ถ้ามีเงินพอมีของให้เลือกซื้อเสมอ ใจเย็นไว้ครับ 2. อย่าขี้เกียจครับ ต้องใช้เวลา ใช้สมอง ใช้แรงกายพอสมควร ในการตรวจสอบ 4 ด้านที่ผมแนะนำไว้ ดีกว่ามาเจ็บปวด และเสียเงินมากมายทีหลัง ความรู้สึกเสียรู้ ถูกเอาเปรียบ รังแก ทำให้มนุษย์เราป่วยหนักได้จริงๆ ด้วย ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็ง อาจเป็นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งได้เลย เพราะเมื่อใดที่จิตตก ภูมิต้านทานโรคก็จะลดลงตามทันที 3. อย่าประมาท หลงเชื่อคำพูดหรือ "ลมปาก" พนักงานขาย หรือ "ลูกยุ" ของเพื่อนร่วมงาน เพื่อน ญาติ ฯลฯ เวลาเราเดือดร้อน เจ็บปวด คนพวกนี้ไม่มาช่วยหรือแบ่งเบาหรอกครับ 3 อย่างเท่านั้นครับ จำง่ายๆ อย่าใจร้อน อย่าขี้เกียจ และอย่าประมาทหลงเชื่อ ถ้าทำได้ โอกาสผิดพลาดเกิดขึ้นยากครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/111775