รู้ลึกอุปกรณ์
ใส่จานเบรคหลัง ดีไหม ?
หลายท่านยังสับสนกับคำแนะนำจากผู้รู้ (จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง) ในการแนะนำให้เปลี่ยนระบบเบรคด้านหลัง ซึ่งจากเดิมเป็นแบบดุม ให้มาใช้แบบจาน (ดิสค์เบรค) เรามีข้อมูลมาประกอบก่อนตัดสินใจ
สำหรับรถยนต์ที่ใช้ทุกวันนี้ เราสามารถจำแนกระบบเบรคที่ติดตั้งมากับรถจากโรงงานออกเป็น 2 ระบบด้วยกัน ได้แก่
เบรคแบบกลไก (MECHANICAL SYSTEMS) หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อของ "เบรคมือ" (PARKING BRAKE) ระบบนี้จะทำงานผ่านก้านกำลัง หรือด้ามเบรคมือ เมื่อมีการออกแรงผ่านมือผู้ขับขี่ โดยการดึงให้ด้ามเบรคยกตัวขึ้น บริเวณปลายสุดของด้ามเบรคมือจะมีสายสลิงยึดติดอยู่ แรงจากการดึงดังกล่าวส่งผลให้ฝักเบรคเคลื่อนตัวเข้าหาจานเบรคในลักษณะแบบจับฝืดๆ ระบบเบรคแบบนี้นิยมใช้เพื่อการจอดรถในทางลาดชัน หรือขณะรถติดบนพื้นถนนที่มีระดับแตกต่างกัน และระบบนี้ยังมีการใช้เพื่อการแข่งขันในบางกรณีด้วย
เบรคแบบของเหลว (HYDRAULIC BRAKE) เบรคประเภทนี้ ถือเป็นระบบเบรคหลักของรถยนต์ทั่วไป เนื่องจากเป็นระบบที่มีความแม่นยำในการหยุดยั้งความเร็วของรถ ระบบเบรคอาศัยแรงดันของของเหลวในการทำงาน โดยเมื่อเท้าของผู้ขับขี่ออกแรงกดแป้นเบรค แรงกดจะส่งผ่านไปยังแม่ปั๊มของระบบเบรค ผลจากการกระทำดังกล่าว ทำให้ของเหลวที่บรรจุอยู่ภายในปั๊มเกิดการเคลื่อนตัวไปสู่ปลายทางอีกด้านหนึ่ง ซึ่งที่ปลายทางดังกล่าวจะมีปั๊มติดตั้งอยู่ แม่ปั๊มตรงส่วนปลายจะติดตั้งผ้าเบรคไว้ เมื่อของเหลวที่ได้รับแรงกดเคลื่อนที่มาถึงปลายทาง ส่งผลให้ลูกสูบที่ตอนปลายดันผ้าเบรคให้กดแนบชิดกับจานเบรค ความฝืดจากการเสียดสี ยิ่งรับแรงกดมากเท่าไร การบีบจับระหว่างผ้าเบรคกับจานเบรคก็จะมีมากเป็นทวีคูณ และสำหรับระบบเบรคแบบนี้ยังสามารถแยกประเภทตามลักษณะได้อีก 2 ประเภทด้วยกัน คือ
เบรคแบบกระทะ (DRUM BRAKE) เบรคแบบนี้มีลักษณะการทำงานแบบกางจับ แรงเบรคที่กระทำจะส่งกำลังผ่านไปสู่กระบอกเบรคที่ล้อ (WHEEL CYLINDER) ของเหลวดังกล่าวที่ได้รับแรงกระทำจะดันลูกสูบให้เคลื่อนที่ไปดันให้ผ้าเบรคกางออก จนสัมผัสกับจานกระทะเบรคที่ครอบอยู่ด้านนอก การเสียดสีของผ้าเบรคดังกล่าวทำให้รถสามารถหยุดได้ในที่สุด
เบรคแบบจานกลม (DISC BRAKE) เบรคประเภทนี้ในปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย การทำงานของเบรคแบบนี้ จะเป็นลักษณะของการกดจับให้ผ้าเบรคบีบเข้ากับจานเบรคที่ติดอยู่กับดุมล้อ แรงบีบของผ้าเบรคทำให้เกิดความฝืดจนสามารถหยุดความเร็วของรถได้
เมื่อทราบการทำงานของเบรคทั้ง 2 ประเภทกันไปแล้ว คราวนี้มาดูเรื่องประสิทธิภาพการทำงานของเบรคแบบดุม และแบบจานกันบ้างว่ามีความสามารถขนาดไหน
ข้อแตกต่างระหว่างเบรคแบบดุม และแบบจาน
เบรคแบบดุม อุปกรณ์ห้ามล้อประเภทนี้ มีหน้าสัมผัสของผ้าเบรคที่เยอะมาก การหยุดยั้งความเร็วของรถจึงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้ในการเบรคแต่ละครั้ง ก็อาศัยแรงกดเพียงเล็กน้อย จุดนี้เองเป็นผลให้ชิ้นส่วนต่างๆ ของเบรคประเภทนี้ไม่ต้องรับภาระหนักเท่าที่ควร อายุการใช้งานของเบรคจึงยาวนาน นอกจากนี้อุปกรณ์ในการซ่อมบำรุงก็มีราคาถูก เบรคประเภทนี้จึงเหมาะกับรถที่มีน้ำหนักการบรรทุกมาก และต้องการระบบเบรคที่เบาแรง
จุดด้อยของเบรคแบบดุมมีอยู่เช่นกัน คือ ในการบำรุงรักษา หรือซ่อมบำรุงชิ้นส่วนต่างๆ นั้นออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง เนื่องจากชิ้นส่วนต่างๆ จะถูกซุกซ่อนอยู่ภายใน นอกจากนี้ เบรคประเภทนี้ยังมีชิ้นส่วนเล็กๆ จำนวนมากอีกด้วย ดังนั้นในการซ่อมบำรุงแต่ละครั้ง ชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกถอดออกมาจำเป็นต้องได้รับการเก็บรักษาอย่างดีก่อนการประกอบ และจากชิ้นส่วนที่มีจำนวนมากของระบบเบรคประเภทนี้ จึงส่งผลให้การตอบสนองต่อการเบรคในแต่ละครั้งมีการตอบสนองที่ช้า
ที่สำคัญเรื่องของการสะสมความร้อนของเบรคแบบดุมนั้นมีมาก การระบายความร้อนของผ้าเบรค และจานเบรคจึงไม่ดีเท่าที่ควร จนบางครั้งอาจเกิดอาการผ้าเบรคไหม้ เบรคไม่อยู่ (BRAKE FADE) เนื่องจากชิ้นส่วนต่างๆ ถูกครอบไว้ภายใน ในเรื่องการรีดน้ำของเบรคในกรณีที่ต้องลุยน้ำ ชิ้นส่วนที่ใหญ่และไม่มีช่องถ่ายเทที่สะดวก ส่งผลให้ผ้าเบรคแห้งช้ากว่าจะใช้งานได้ตามปกติ การเบรคในกรณีดังกล่าวจึงไม่ดีเท่าที่ควร
เบรคแบบจาน ทีนี้มาดูกันที่เรื่องของเบรคแบบจานกันบ้าง ด้วยหลักการทำงานพื้นฐานที่ได้กล่าวไปแล้ว จึงเป็นผลให้เบรคแบบจาน กลายเป็นระบบเบรคที่มีแรงคงที่ทุกครั้งที่ทำการเบรค และด้วยการที่มีพื้นที่ระบายความร้อนมาก จึงทำให้ความร้อนที่เกิดจากการเบรคมีน้อย เบรคประเภทนี้เหมาะอย่างยิ่งกับรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูง จากการระบายความร้อนที่ดีของระบบเบรค โลหะมีการขยายตัวที่น้อยมาก ส่งผลให้ระยะการห้ามล้อมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่สำคัญเบรคประเภทนี้สามารถทำงานได้ตามปกติแม้จะเปียกน้ำ เนื่องจากจานเบรคที่เปียกน้ำนั้น น้ำที่ติดกับจานเบรคจะถูกระบายออกอย่างรวดเร็วตามการหมุนของล้อ จานเบรคจึงแห้งได้ตามปกติ นอกจากนี้ระยะห่างระหว่างจานเบรค และผ้าเบรคก็สามารถปรับได้เองโดยอัตโนมัติ อีกทั้งในเรื่องของการซ่อมบำรุงก็สามารถทำได้ง่าย เพราะชิ้นส่วนมีน้อย
ด้วยความแตกต่างทางคุณสมบัติดังกล่าว จึงทำให้รถยนต์รุ่นใหม่ๆ หลายรุ่นนิยมนำระบบเบรคทั้ง 2 แบบมาใช้ร่วมกัน โดยระบบเบรคในส่วนของล้อหน้าจะเป็นแบบจาน และระบบเบรคล้อหลังเป็นแบบดุม เนื่องจากในการเบรคแต่ละครั้ง ระบบเบรคแบบจานมีการตอบสนองที่ไว จะทำการห้ามล้อหน้าให้ช้าลง ซึ่งการเหยียบเบรคเพียงเบาๆ ในบางครั้งดุมเบรคของล้อหลังแทบจะไม่ต้องทำงานเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น จึงอยากจะฝากแง่คิดสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนระบบเบรคล้อหลังแบบดุม มาใช้แบบจาน สิ่งสำคัญของเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเกาะถนนของยางที่ใส่อยู่ หากหน้าสัมผัสของยางมีขนาดที่เพิ่มมากขึ้น การเบรคของรถก็ควรมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้หากคุณเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยการขับขี่ที่ชอบความเร็ว และมักเบรคติดต่อกันบ่อยครั้งเป็นเวลานานๆ จุดนี้จะทำให้เกิดความร้อนสะสมมากในดุมเบรคด้านหลัง จนอาจทำให้เกิดอาการ BRAKE FADE ขึ้นได้ ฉะนั้นถ้าต้องการตัดปัญหากวนใจดังกล่าว การเปลี่ยนมาคบหากับเบรคแบบจานก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เรื่องโดย : พันทาง
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : รู้ลึกอุปกรณ์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/10582