โค้งอันตราย
เพิ่งกระเตื้อง
ข่าวดีกำลังจะกลับมาแล้วครับ หลังจากที่อึมครึมอยู่นาน หนนี้ทำให้สภาวะตลาดของเดือนสิงหาคม 2558 ไตรมาสที่ 3 หดตัวขายได้เพียง 10.3 % เหลือเพียง 60,134 คัน และช่วยทำให้ยอดขายรวมหดตัวเหลือเพียง 15.7 % ขายกัน 477,978 คัน ซึ่งค่อนไปทางยอดรวมของปี จะหลุด 800,000 คัน เต็มทีแล้ว โดยไม่ต้องคอยให้ใครมาช่วยคำนวณ
คงไม่ต้องบอกว่าสภาวะเศรษฐกิจอยู่ในสภาพใด ทุกคนเพียงแค่ประคองตัวเอาชีวิตรอดไปแต่ละเดือน เฝ้าคอยโครงการอภิมหาโครงการของรัฐบาล ที่ออกข่าวกันมามากมาย เพียงแต่ยังติดขัดโน่นนี่นั่น ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้เสียที เลยยังไม่มีตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีอารมณ์ควักเงินในกระเป๋าออกมาใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นระดับราคาค่อนข้างสูงเกินล้านบาทขึ้นไป ผู้บริโภคชั้นกลางก็ยังกล้าสู้ กล้าควักเงินในกระเป๋าออกมาใช้ แต่พวกที่ต้องอาศัยเงินจากไฟแนนศ์ ก็ยังคงเหี่ยวเหมือนเดิม เพราะความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ที่กลัวประสบปัญหา หนี้สูญ เอนพีแอลตามยึด ก็เลยไม่ค่อยปล่อยออกมาง่ายๆ ส่วนรถหรูหลากยี่ห้อ ก็เปิดตัวกันเหมือนเป็นเรื่องปกติ เรียกว่าไม่แคร์คนซื้อที่ไม่ผ่านไฟแนนศ์ เพราะยังไงก็มีคนมีสตางค์ ที่พร้อมควักเงินในกระเป๋าออกมาใช้อย่างง่าย แต่ยอดขายประจำเดือนที่ลดลงน้อยกว่าเดือนที่ผ่านมา ก็เชื่อได้เลยว่า ไตรมาสสุดท้ายนี้ มีแคมเปญมหาศาลของค่ายรถยนต์ มาให้ผู้บริโภคได้ตัดสินใจให้ได้ลิ้มลองกัน ยิ่งปี 2559 เปลี่ยนวิธีคิดอัตราภาษีสรรพสามิต เป็นคิดจากการปล่อยค่าไอเสีย ก็แสดงได้ว่า รถบางรุ่นที่เครื่องยนต์ยังเป็นรุ่นเก่า ค่าไอเสียเยอะ ก็จะต้องเสียภาษีเยอะ ประเมินกันว่า รถที่จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น คิดเป็นเม็ดเงินกันตั้งแต่ 40,000 บาท ไปจนระดับหลักแสนเลยทีเดียว พวกที่ได้เปรียบกว่าเพื่อน ก็เป็นอีโคคาร์นี่แหละ ที่ราคาแทบไม่เปลี่ยนแปลง
แล้วทีนี้ ยังจะใจเย็นไม่ซื้อรถกันภายในปี 2558 ไหวอยู่หรือนี่
มาดูเรื่องทอพฮิทประจำเดือนกันบ้าง โดยเฉพาะเรื่องโครงการรถยนต์คันแรก ที่มีผู้เสนอให้ลดระยะเวลาถือครอง จากเดิม 5 ปี เหลือ 3 ปี เพื่อให้ช่วยกระตุ้นการขายรถยนต์ใหม่ ฟากทางรัฐบาลก็บอกว่า ไม่ขัดข้อง แต่ขอให้ทำกันขึ้นมาเป็นขั้นตอนตามระเบียบ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอีกพักใหญ่
ขณะที่โครงการนี้ สรรพสามิตเสนอเรื่องปิดโครงการไปแล้ว แต่มีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีใหม่ เลยยังล่าช้าอยู่ โดยระบุว่า ผู้ที่จะใช้สิทธิ์จะสามารถรับรถยนต์ได้ถึง 30 กันยายน 2558 หลังจากนั้นต้องถือครองรถยนต์ 1 ปี เพื่อรับเงินคืนภายใน 30 กันยายน 2559 เพราะโครงการผ่านมาเกือบ 4 ปีแล้ว รถยนต์ที่ซื้อไว้ ก็น่าจะตกรุ่นแล้ว ผู้ที่ไม่มารับรถยนต์น่าจะเปลี่ยนใจ และแต่ละเดือนมีผู้ขอใช้สิทธิ์ไม่กี่ราย จึงเห็นว่าควรเสนอ ครม. ให้ปิดโครงการได้แล้ว
ขณะที่เมื่อต้นทางไม่มีข้อแม้ใดๆ แล้ว ถัดมาก็เรื่องการศึกษามาตรการคืนภาษีส่งออกรถยนต์มือสอง ให้ผู้ส่งออกหรือเทนท์รถยนต์ เพื่อช่วยกระตุ้นตลาดส่งออกรถยนต์เก่า และเร่งระบายรถยนต์ที่มีอยู่ในประเทศ เพราะปัจจุบันมีการส่งออกรถยนต์เก่ามากกว่า 10,000 คัน/เดือน แต่ยังต้องเสียภาษีส่งออกในระดับสูง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาด ระบุว่าการศึกษาน่าจะแล้วเสร็จภายในเร็วๆ นี้ เพื่อให้สอดรับกับการปลดลอคการถือครองรถยนต์คันแรกจาก 5 ปี เหลือ 3 ปี ที่จะมีรถมือสองทะลักเข้ามาในตลาดอีกจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้มีการส่งออกไปขายยังประเทศในแถบแอฟริกาใต้ แต่เป็นลักษณะผ่านพ่อค้าคนกลาง คือ มีนักธุรกิจชาวบังคลาเทศ-เมียนมาร์ เข้ามาซื้อรถมือสองจากประเทศไทย เพื่อนำไปจำหน่ายยังประเทศแอฟริกาใต้ เลยยังไม่ค่อยมีนักธุรกิจรถยนต์คนไทย ให้ความสนใจมากนัก เพราะต้องเสียภาษีแพง
ขอปิดท้ายด้วย อีโค สติคเกอร์ (ECO STICKER) ที่น่าจะเห็นกันทั่วถึงแล้ว เพราะเป็นข้อบังคับตาม มาตรฐานสากล อีโค สติคเกอร์ มีขนาดเท่ากระดาษเอ 4 ติดไว้ที่กระจกบังลมด้านหน้า (WINDSHIELD) หรือกระจกด้านข้าง (SIDE WINDOW) ในตำแหน่งสามารถอ่านข้อมูลจากด้านนอกตัวรถยนต์ได้สะดวกชัดเจน
แสดงข้อมูลมากมาย ตั้งแต่อัตราการใช้น้ำมันอ้างอิง (หน่วย ลิตร/100 กม.) และระดับความปลอดภัยของรถยนต์ ได้แก่ มาตรฐานการปกป้องผู้โดยสารในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าของตัวรถ มาตรฐานการปกป้องผู้โดยสารในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านข้าง และมาตรฐานด้านความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ (ACTIVE SAFETY) เป็นต้น ได้รับการตรวจสอบ และรับรองโดยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ ผู้ผลิตจะต้องติดอีโค สติคเกอร์นี้บนรถทุกคัน ก่อนส่งไปยังผู้จำหน่าย และมันเป็นข้อบังคับ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม โดยผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะต้องติดไว้ที่รถยนต์ใหม่ทุกคัน ก่อนส่งรถยนต์คันนั้นไปยังผู้จำหน่ายรถยนต์ในเครือข่าย หรือดีเลอร์ (DEALER) สถานที่จัดแสดงรถยนต์ หรือสถานที่จำหน่ายรถยนต์
แต่ถึงอย่างไร งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 หนนี้ น่าจะเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดรถยนต์บ้านเราสดใสยิ่งขึ้น เหมือนที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/105513