รอบรู้เรื่องรถ
ฟีล์ม...ถึงจะใส ก็ไม่ร้อน
"ไม่รู้จะไปดูทำไม ถึงเห็นแล้วชอบ ก็ไม่มีเงินจะซื้ออยู่ดี" ผมขอออกตัวก่อนนะครับ ว่าการที่เขียนเรื่องนี้ ในช่วงใกล้งาน "MOTOR EXPO" เป็นความบังเอิญล้วนๆ เพราะผมไม่มีผลประโยชน์จากจำนวนผู้เข้าชมงาน ไม่ว่าจะในแนวทางใดก็ตาม แต่เป็นเพราะผมเพิ่งกลับจากการไปชมงานแสดงรถยนต์ ที่เมืองฟรังค์ฟวร์ท สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นโอกาสในการได้ชมความก้าวหน้าทางยนตรกรรมอย่างใกล้ชิด ถึงจะติดตามได้ทางหน้าจอด้วยสื่ออีเลคทรอนิคก็ไม่มีทางเหมือนได้ชมของจริงครับ
ถ้าเป็นเรื่องของระบบต่างๆ ในรถยนต์ ที่ถูกพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว อาจเป็นไปได้ครับ และบางกรณีอาจจะมีรายละเอียดครบถ้วนกว่าก็ได้ แต่หากเป็นการชมรถรุ่นใหม่ที่เรายังไม่เคยเห็นเลย การชมภาพนิ่งหรือเคลื่อนไหวในจอภาพ ไม่มีทางให้ความรู้สึกดีเท่ากับการชมของจริงครับ มิติ สี แสงสะท้อน และเงาของรถจริง ไม่สามารถถูกเลียนแบบได้ด้วยอุปกรณ์ใดๆ ก็ตาม และโดยเฉพาะขนาดจริงที่อยู่หน้าเรา ยังไม่รวมบรรยากาศผู้คนที่มีความสนใจแนวเดียวกับเรา แสง เสียง การแสดงต่างๆ ซึ่งล้วนจะสัมผัสได้ ก็ต่อเมื่อมาชมด้วยตนเองเท่านั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความเห็นตามประโยคแรกของคอลัมน์นี้ ที่ผมต้องทนฟังมานับครั้งไม่ถ้วน หากจะเถียงหรือชี้แจง คงต้องอธิบายกันยืดยาว และไม่มีอะไรรับประกันว่าจะเปลี่ยนความเห็นผู้พูดได้ด้วย ว่าก็เพราะไม่มีเงินพอซื้อนี่แหละ จึงน่าไปชมไปสัมผัสด้วยตนเอง สิ่งอื่นที่พวกเราล้วนไม่สามารถซื้อได้ แต่น่าไปชมอย่างใกล้ชิดมีอีกมากมายครับ เช่น ภาพวาดโดยจิตรกรฝีมือเยี่ยมระดับโลก งานฝีมือต่างๆ ที่หามนุษย์ทำได้ดีเท่าอีกไม่ได้แล้วในพิพิธภัณฑ์ของต่างประเทศ ใครที่สนใจเรือเดินสมุทร เรือรบ เครื่องบิน จรวด ดาวเทียม หากมีโอกาสชมของจริง ไม่ควรพลาดครับ เพราะล้วนเป็นสิ่งที่เราซื้อไม่ได้ หรือซื้อไม่ไหวก็ตาม
"ไปดูแล้วเกิดกิเลสเปล่าๆ" การจะลดกิเลสต้องใช้วิธีอื่นครับ ที่ไม่ใช่การปิดหูปิดตาตนเอง ไปเห็นของจริงแล้ว ความงุ่นง่านอยากได้อาจจะลดลงก็ได้ ถ้าของจริงไม่เป็นอย่างที่เราจินตนาการไว้ หรืออยากได้มากขึ้นไปอีกก็ไม่แปลกอะไรเลย เอามาเป็นเป้าหมายเสริมกำลังใจ ในการทำมาหากินก็ยังได้ ลองเปลี่ยนความเห็นเดิมดูสักครั้งครับ ไปลองนั่งลองสัมผัสภายในของรถที่ปกติเราไม่มีโอกาสทำเช่นนี้ เพราะพวกเราคงไม่ชอบใช้วิธีเดินเข้าไปในร้านขายรถแล้วเสแสร้งว่าสนใจจะซื้อรถ เพียงเพื่อจะได้ลองนั่งหรือลองขับ แต่โอกาสเช่นนี้ เปิดให้ในงาน "มหกรรมยานยนต์" ทั้งหลายครับ
เนื่องจากความชอบส่วนตัว รวมทั้งการงานของผม ผูกพันอยู่กับรถยนต์ ตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ในโอกาสใด ผมจะสังเกตความเป็นไปของรถยนต์และผู้ขับเสมอ ไม่ว่าจะในประเทศที่เคยไปเล่าเรียน หรือประเทศที่ไปท่องเที่ยว เดินทางผ่าน รวมทั้งประเทศที่ไม่เคยไป แต่ได้สัมผัสจากการชมภาพยนตร์ หรือโดยสื่ออีเลคทรอนิคต่างๆ ผมยังไม่เคยเห็นประเทศใดอนุญาตให้ผู้ใช้รถ ดัดแปลงกระจกห้องโดยสารทุกบาน ให้ทึบแสงระดับที่บุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นภายในของห้องโดยสารได้เลย แม้ในตอนกลางวันที่มีแสงจ้าที่สุด ขนาดเอาไฟฉายส่องก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดี ไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวครับ อาจจะมีประเทศยากจนด้อยพัฒนา ที่กฎหมายยังไม่ครอบคลุมถึงสิ่งนี้ ก็ไม่น่าจะมีฟีล์มกรองแสงขาย แล้วเหตุใดสิ่งเลวร้ายอย่างนี้ ต้องเกิดขึ้นในประเทศเราด้วย
เรามาดูความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มของฟีล์ม กับความสามารถในการป้องกันความร้อนกันก่อนครับ เพราะต้นตอของปัญหานี้ น่าจะมาจากความเข้าใจผิด ว่ายิ่งเนื้อฟีล์มสีเข้มก็จะยิ่งป้องกันความร้อนได้ดี ถ้าเป็นสารทั่วไป เช่น แก้ว หรือพลาสติค อาจจะใช่ครับ แต่ฟีล์มยุคปัจจุบันมิได้เป็นเช่นนี้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม ช่วยให้เรามีฟีล์มที่กั้นรังสีความร้อนได้มาก โดยปิดกั้นคลื่นแสงที่ตามนุษย์มองเห็น ในสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก ด้วยการใช้อณูของโลหะบางชนิดและกรรมวิธีอื่นๆ อีกมาก ฟีล์มสีจางที่ดี ผลิตด้วยกรรมวิธีทันสมัย สามารถกั้นรังสีความร้อนได้ดีกว่าฟีล์มเข้มมากแต่คุณภาพต่ำ เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดที่จะใช้ฟีล์มเข้มเกินควร บางคนอาจอ้างว่าเพื่อความเป็นส่วนตัว ฟีล์มกันความเข้มปานกลางก็ให้ความเป็นส่วนตัวเพียงพอแล้วครับ เพราะเราไม่ต้องการหลบซ่อนตัว แค่นั่งอยู่ในรถที่ปิดกระจกหมดทุกบาน แสงผ่านได้พอประมาณ ก็มีความเป็นส่วนตัวเหลือเฟือแล้ว ก่อนเข้าหรือหลังออกจากรถ เราก็ไม่ได้มี "ความเป็นส่วนตัว" เท่านี้เลย
ถ้าจะเรียกชื่อให้ถูกต้อง ตามคุณสมบัติที่เราต้องการจากมัน เราควรจะเรียกฟีล์มที่ติดกระจกรถยนต์และอาคารพวกนี้ว่า ฟีล์มกรองความร้อน หรือฟีล์มกันความร้อน มากกว่า "ฟีล์มกรองแสง" ครับ
มาดูโทษของการใช้ฟีล์มความเข้มเกินกันบ้างครับ เริ่มที่ฝ่ายผู้ขับและผู้โดยสารกันก่อน ตอนกลางวันที่แสงภายนอกยังมากพอ ถือว่ายังมีโทษน้อย เช่น ไม่สามารถส่งสัญญาณให้ผู้อยู่ด้านนอกรับรู้ได้ เช่น การโบกมือ ส่งสัญญาณให้ทาง หรือรับความเคารพจากผู้แสดงความเคารพได้ อย่างหลังนี่ดูเหมือนจะไม่รบกวนคนไทยส่วนใหญ่ เพราะยังไม่เข้าใจมารยาทในเรื่องนี้ ไม่ว่าผู้กระทำความเคารพจะอยู่ในระดับต่ำกว่าแค่ไหนก็ตาม ผู้ถูกทำความเคารพ จะต้องรับความเคารพเสมอตามมารยาทที่ดี ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เช่น ยกมือ พยักหน้า ยิ้ม มนุษย์เหมือนกันครับ ถึงจะเกิดมามีโอกาส มีโชคลาภไม่เท่ากัน ก็ไม่ควรเหยียดหยามกันขนาดนั้น แปลกครับ ชาวต่างชาติเขาไม่เป็นเช่นนี้ ไม่เฉพาะชาวตะวันตก ชาวตะวันออกเขาก็รู้ด้วยสามัญสำนึกว่าควรรับความเคารพต่อผู้ที่ทำความเคารพ และถ้าจะทำ ต้องให้เขาเห็น ด้วยการลดกระจกที่ปิดกั้นแสงลง ผมเคยสนทนากับผู้ชอบรถยนต์ หลายคนบอกว่าไม่ต้องการให้ทางต่อผู้ที่ขับรถติดฟีล์มเข้มจนมองไม่เห็นผู้ขับ เพราะมันไม่เกิดปฏิสัมพันธ์ต่อกันเลย แม้จะไม่ได้ต้องการการแสดงความขอบคุณตอบแทนเลยก็ตาม
บางคนอาจจะอ้างว่า ใช้ฟีล์มเข้มแล้วสบายตาดีเวลาแดดจ้า มีแว่นกันแดดทำหน้าที่นี้ได้ดีครับ อันตรายที่แท้จริงเกิดขึ้นได้เมื่อแสงจ้าภายนอกขาดตอนกะทันหัน เช่น ขับเข้าอาคาร ผ่านเงาของอาคารหรือต้นไม้ ถ้าใช้ฟีล์มจางเหมาะสม หรือไม่ติดฟีล์มเลย เช่น กระจกบังลมบานหน้า แล้วใส่แว่นกันแดดอยู่ ต้องรีบถอดออกทันที เพราะตาของเรา ปรับการรับแสงได้ไม่รวดเร็วเท่าความสว่างที่เปลี่ยนไป ถ้าเป็นทางโค้งเข้าร่มเงาต้นไม้ใหญ่ต่อเนื่องเป็นช่วงยาว แล้วติดฟีล์มเข้มเกินไว้รอบคันโดยเฉพาะบานหน้า อันตรายมากครับ เพราะไม่สามารถมองเห็นแนวขอบถนนได้ชัดพอ นี่เฉพาะกลางวันนะครับ
ถ้าเป็นกลางคืน ซึ่งปกติแม้ไม่มีฟีล์มที่กระจกเลย ก็มีสภาพแวดล้อมขณะขับรถมากมายที่ไม่มีแสงเพียงพอ เรามีถนนที่ไม่มีผู้รับผิดชอบใส่ใจเรื่องความปลอดภัย ไม่ติดตั้งไฟส่องสว่าง หรือมีแต่ชำรุดแล้วหาคนดูแลรับผิดชอบไม่ได้ แล้วยังมีผู้ขี่จักรยาน จักรยานยนต์ รถเข็น รถสามล้อ ที่ไม่เปิด หรือไม่มีไฟส่องสว่างเลย แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ? และหากเลือกฟีล์มเข้มเกินแล้ว อย่าไปหวังว่าการไปเสาะหาหลอดไฟสว่างพิเศษมาทดแทนจะชดเชยกันได้ นอกจากจะได้ของปลอม สว่างน้อยกว่าของเดิมแล้ว แม้ได้หลอดที่สว่างกว่าเดิมอยู่บ้าง ก็ไม่สามารถทดแทนแสงที่ถูกลดทอนโดยฟีล์มได้เลยครับ
แล้วข้อเสียสำหรับผู้อยู่นอกรถล่ะ ? ตัดสินยากครับ ว่าอย่างไหนเลวร้ายกว่ากัน สำหรับบุคคลทั่วไปและผู้ร่วมใช้ถนน เป็นเรื่องเล็กน้อย รบกวน ทำให้เสียความรู้สึก เช่น ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อยู่ในรถได้เลย ถ้าเดาว่ามีผู้สมควรทำความเคารพ หรือทักทายอยู่ในรถ ก็ต้องฝืนใจทำต่อไปครับ เช่น ยกมือไหว้รถฟีล์มดำ ไม่ต่างจากการไหว้ตอไม้ หรือสุนัข คือ ไม่มีสัญญาณใดกลับมาเลย เพราะคนไทยไม่ให้ความสำคัญกับการรับความเคารพ ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในมุมมองของการปฏิบัติงาน โดยผู้รักษากฎหมาย เป็นเรื่องใหญ่มาก ขนาดในประเทศที่ห้ามติดฟีล์มที่กระจกรถยนต์เด็ดขาด ผู้รักษากฎหมายยังต้องมีมาตรการป้องกันตนเองอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันตนเองในการหยุดรถเพื่อตรวจ ผมไม่มีเนื้อที่เพียงพอในการบอกรายละเอียด คงเคยเห็นกันบ่อยพอแล้วนะครับ ทั้งในข่าวและภาพยนตร์ ไม่มีประเทศไหนหรอกครับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่อโจรผู้ร้ายเหมือนเช่นประเทศไทย โดยยอมให้โจรใช้รถติดฟีล์มเข้มระดับที่ไม่สามารถมองผ่านได้เลย เรามาจำลองสถานการณ์ที่โจรร้ายมันปล้นใครมา หรือจับคนไปเรียกค่าไถ่ ด้วยรถฟีล์มเข้ม แล้วถูกเจ้าหน้าที่เรียกให้หยุด สมมติว่าโจรมันอารมณ์ดี รักสนุก มันอาจหยุดแล้วลอคประตูทุกบาน แล้วนั่งรอเฉยๆ ดูตำรวจเป็นตัวตลกว่าจะทำอะไรมันได้บ้าง ไม่มีครับ ทำอะไรมันไม่ได้เลย จะไปดึงประตูให้เปิดก็ไม่สำเร็จ จะทำหน้าขึงขัง ออกใบสั่งให้เอากระจกลงก็ไม่รู้เลยว่า มีคนมองหรือฟังอยู่หรือเปล่า แก้เด๋อทุบกระจกหรือครับ ? ไม่มีสิทธิ์ ถึงทำก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นตัวตลกสมใจโจรอารมณ์ดีได้จริงๆ คราวนี้มาดูแบบที่น่าจะเกิดขึ้นมากกว่า คือ โจรขนยาเสพติดมาและไม่ยอมให้จับแน่นอน เรียกให้หยุดแล้วมองไปก็ไม่เห็นอะไรภายในเลย ฝ่ายโจรอาวุธครบมือหลายคน กำลังเล็งปืนเตรียมพร้อม ไม่มีตำรวจในประเทศไทย ยอมตกเป็นเบี้ยล่างอย่างนี้หรอกครับ เท่าที่ผมเคยเห็นมาตลอดชีวิต มีที่นี่ประเทศเดียว เป็นหน้าที่ของหัวหน้าตำรวจ (เรียกชื่อตำแหน่งแล้วผมเบื่อหน่ายครับ) ที่จะต้องประท้วง เรียกร้อง ให้มีกฎหมายควบคุมความเข้มของฟีล์ม เพื่อปกป้องให้ความปลอดภัยแก่ลูกน้องขณะปฏิบัติหน้าที่ ยังไม่รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งจะถือว่าเป็นเพียงผลพลอยได้เสริมก็ได้
ที่จริงกฎหมายควบคุมความเข้มของฟีล์มติดกระจกรถยนต์ ถูกร่างขึ้นมาจนเกือบจะมีการบังคับใช้แล้ว บังเอิญพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามชนะการเลือกตั้ง กฎหมายนี้จึงถูกระงับ ด้วยเหตุผลเหมือนของเด็ก คือ "อะไรที่เป็นผลงานของพวกเอ็ง ไม่ว่าจะดีหรือไม่ พวกข้าขอกำจัด ทำลายให้หมด" บัดนี้น่าจะได้เวลานำกลับมาพิจารณาใหม่ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ว่าจะใช้รถหรือไม่ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ด้วยครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/105227