เทคนิค
-
ที่จริงแล้วไม่ต้องไปรณรงค์จัดระเบียบกันเป็นพิเศษหรอกครับ การจราจรเกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก
เกือบจะทุกคนในประเทศก็ว่าได้ และเป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยด้วย จึงต้องมีกฎระเบียบบังคับ
แต่ถ้ามีโดยไม่มีการควบคุมและลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนมันก็เปล่าประโยชน์
ตำรวจจราจรของไทยจึงทำอะไรที่ไม่เข้าเรื่องออกมาประจานตนเองอยู่เรื่อยๆ เช่น ติดป้าย "เขตเพิ่มวินัยจราจร"
ให้มันรกรุงรัง บดบังทัศนียภาพ และสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินมากมาย แต่คราวนี้ทำท่าจะใหญ่โตกว่ามาก
เพราะเป็นการสร้างภาพของนักการเมืองรุ่นใหญ่ จึงมีการใช้สื่อระดับประเทศ
ผมไม่เคยมีความหวังกับเรื่องพวกนี้มานับสิบปีแล้ว แต่เพื่อความเป็นธรรม ก็ต้องเปิดโอกาสในใจไว้ให้หน่อย
อยากให้ตนเองเป็นฝ่ายทายผิดสักครั้ง แต่หลังจากดูท่าทีในสามวันแรก จนล่วงเลยมาหลายสัปดาห์แล้ว
ก็ต้องบอกว่าเป็นไฟไหม้ฟาง ที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งครั้ง ไม่เชื่อตัดหน้านี้ไว้ หรือเก็บ "ฟอร์มูลา" ฉบับนี้ไว้ต่างหาก
เพื่อเอากลับมาดูก็ได้ครับว่าจริงหรือไม่ แถมยังมีความคิดและการปฏิบัติใหม่ๆ
ที่ไม่เข้าท่าและไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลยเพิ่มมาอีก
เมื่อวานผมผ่านย่านคลองเตยไปบนถนนพระราม 4 เห็นมีการตีเส้นหน้าสัญญาณไฟเพิ่มขึ้นอีกช่อง
เส้นใหม่ที่ว่านี้อยู่หน้าเส้นเดิม (คือถึงก่อนถ้าขับรถเข้าสู่แยก) ประมาณ 10 เมตร พื้นที่ระหว่างเส้นทั้งสอง ถูกเขียนว่า
จยย. ซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่าจักรยานยนต์ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจักรยานยนต์มันมีความพิเศษตรงไหน
จึงต้องจัดที่พิเศษไว้ให้รอสัญญาณไฟ และอยู่หน้ายานพาหนะอื่น ทั้งๆ ที่ขณะขับขี่ก็ปะปนกันอยู่บนถนน
คงกลัวว่ามันจะไม่กระหน่ำพ่นควันขาวใส่หน้าพวกเรา ตอนออกรถแข่งกันเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว
มีสิ่งน่าริเริ่มน่าปรับปรุงอื่นๆ อีกมากมายครับที่ควรทำก่อนเรื่องไร้สาระนี้
เจอของดีเข้าก็อยากชมเหมือนกัน เพราะผมไม่ใช่พวกด่าอย่างเดียว เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมผ่านแยก
"ผ่านฟ้าลีลาศ" มองไปที่โคมไฟจราจร พบว่ามีแผง แอลอีดี หรือไดโอดเรืองแสง บอกตัวเลขสองหลักอยู่
และเปลี่ยนไปในทางที่ลดลง จนถึงศูนย์แล้วจึงขึ้นต้นใหม่ ลองจับเวลาดูปรากฏว่าเป็นเลขที่บอกเวลาเป็นวินาที
เพื่อบอกให้ผู้ใช้รถทราบว่าเหลืออีกกี่วินาทีจึงจะเปลี่ยนสี เป็นสิ่งที่ดีมากครับ ในช่วงที่เป็นไฟแดง
จะช่วยลดความเครียดและความเบื่อหน่ายของผู้ใช้รถลงได้ เพราะเป็นการรอแบบมีระยะเวลาตายตัวที่รู้ล่วงหน้า
ถ้าเป็นช่วงไฟเขียว ก็ช่วยลดความเครียดได้เช่นกัน ผู้ขับรถที่ยังอยู่ห่างจากแยก จะได้ไม่ต้อง "ลุ้น"
ว่าจะไปได้พ้นหรือไม่ พวกที่อยู่ในระยะก้ำกึ่งพอดี จะมีไม่มาก และก็ยังเครียดน้อยกว่าการไม่มีนาฬิกาเตือนอยู่ดี
ผมว่าเป็นของใหม่สำหรับเมืองไทย ที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้รถมาก จึงลองกลับมาแยกนี้อีกที
โดยมาจากถนนอื่นที่ต่างจากเดิม ก็เห็นแผงบอกเวลาแบบนี้เช่นกัน
แต่คราวนี้พอตัวเลขถึงศูนย์แล้วกลับไม่มีการเปลี่ยนสีสัญญาณไฟ
คงเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคหรือเกี่ยวกับการปรับตั้ง ซึ่งน่าจะแก้ไขให้เรียบร้อย
และน่าจะติดตั้งให้แพร่หลายกว่านี้ แต่ควรเป็นแยกที่เหมาะสมเท่านั้นนะครับ
ไม่ใช่เล่นเสียทุกแยกจนเปลืองเงินมากมาย
ไหนๆ เขียนถึงเรื่องสัญญาณไฟจราจรแล้ว ก็ขอกล่าวถึง วิธีใช้งานของตำรวจด้วย
เท่าที่ผมเห็นปฏิบัติผิดกันเกือบทุกแยก คือทิ้งระยะช้าไปมาก ก็พอเข้าใจละครับ ว่ายิ่งช้างานก็ยิ่งน้อย
แต่ผู้ใช้รถเขาเดือดร้อนสาหัส ผมสังเกตดูหลายๆ แยกก็ไม่น่าจะใช่ความขี้เกียจ เพราะดูท่าทางตั้งใจทำงาน
อาจจะเป็นเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งทางด้านจิตวิทยาก็ได้ ตำรวจจราจรคงจะรู้สึกเพลิดเพลินหรือ "มัน"
กับการได้ดูรถทิศใดทิศหนึ่งแล่นฉิวไม่ขาดสาย บางรายหนักกว่านั้น ขบวนรถขาดตอนแล้ว
ก็ยังเปิดไฟเขียวรอโดยไม่นึกถึงพวกเจอไฟแดง ว่าเขาจอดรอมานานเท่าไรแล้ว
จนกว่าตำรวจจากแยกก่อนหน้าจะพูดวิทยุมาเตือน จึงจะยอมเปลี่ยนสัญญาณไฟ
ทุกแยกที่มีการจราจรหนาแน่นจากทุกทิศ ต้องเปลี่ยนสัญญาณไฟในระยะสั้นครับ
พูดภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายก็คือ ทุกคนต้องเจอสัญญาณไฟแดง ไม่ว่าจะมาจากทิศใด แต่รอไม่นานเกินควร
ก็จะไปได้อย่างเสมอภาคกัน แต่ที่เป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันทั้งเช้าและเย็น จะมีผู้โชคดี ขับมาแต่ไกลห่างจากรถคันหน้า
แต่ตำรวจจราจรก็ยังคงไฟเขียวรอแล้วกวักมือเรียก ในขณะที่รถจากอีก 3 ทิศติดกันยาวเหยียดเป็นสิบนาที
และที่แปลกอีกอย่างก็คือ คนไทยเรานี่กลับทนเดือดร้อนจากเรื่องที่ตนเองไม่ผิดได้นานจริงๆ ครับ
ทุกคนยอมรับชะตากรรม เหมือนเวลาถูกพวกเห็นแก่ตัวมันเอาเปรียบตามท้องถนน ถ้าเป็นพวกผิวขาว
(ผมไม่ได้ยกย่องคนพวกนี้นะครับ เพราะที่จริงแล้วคือพวกที่เอาเปรียบประเทศเราอยู่นั่นเอง)
ซึ่งรักษาสิทธิส่วนบุคคลและให้ความสำคัญต่อความคิดแบบตรรก
เขาจะไม่มีวันยอมทนดูตำรวจจราจรทำอะไรแบบนี้เด็ดขาด
รับรองว่าจะต้องมีการพร้อมใจกันกดแตรประท้วงแน่นอน
"ซาเล้ง" ติดเครื่องยนต์ กับซากรถแล่นได้
ผมจำได้ว่าเคยเขียนเรื่องอันตรายของรถนี้ไว้มากว่าปีหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ยังไม่แพร่ระบาดขนาดนี้
ปีใหม่นี้เลยขออนุญาตถามท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลว่า ท่านปล่อยให้รถเถื่อนติดเครื่องยนต์
ซึ่งไม่ได้ขึ้นทะเบียน และก็ไม่สมควรให้ขึ้นทะเบียนอย่างแน่นอนเช่นนี้
ขับเพ่นพ่านเป็นพันเป็นหมื่นคันบนท้องถนนได้อย่างไร วิธีจัดการกับผู้กระทำความผิดกฎจราจร มีหลายวิธีนะครับ
ไม่ใช่คอยแต่ยึดใบขับขี่อย่างเดียว ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่า ใครที่ไม่ใบขับขี่ จะทำผิดอะไรก็ได้บนท้องถนนหลวง
ตั้งแต่จักรยานยนต์หรือสกูเตอร์เถื่อนที่เรียกกันว่า "รถพอพ" รถจักรยานทั่วไป ซาเล้งหรือสามล้อแดงแบบถีบ
รวมทั้งแบบติดเครื่องยนต์ที่กำลังกล่าวถึงนี้ด้วย
เหตุใดจึงปล่อยให้ประชาชนเอาเยี่ยงอย่างกันในการกระทำความผิด
ปล่อยให้ลงทุนซื้อหรือดัดแปลงกันโดยไม่มีการท้วงติงหรือห้ามปราม ปล่อยเป็นปัญหาหมักหมมแรมปี
แล้วแก้ตัวในขั้นสุดท้ายว่า เห็นแก่ผู้คนหมู่มาก บางทีก็อ้างเรื่องยากจนพ่วงเข้าไปด้วย
ฐานะกับการฝ่าฝืนกฎหมายมันเป็นคนละเรื่องกันครับ
เรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรมการขนส่งทางบก แต่ที่เกี่ยวแน่ๆ ก็คือ ซากรถวิ่งได้
ที่เราเห็นกันอยู่บนถนนหลวง มีทะเบียนและต่อทะเบียนมาได้อย่างไรก็ไม่ทราบ
บางคันบังโคลนห้อยรุ่งริ่งแทบหล่นกลางถนน ยางอายุสิบปีหัวโล้นทุกเส้น โครงรถผุผัง เบรคทำงานได้ไม่เกินสองล้อ
ไม่ทราบว่าท่านอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ไม่เคยแปลกใจกับการได้มาของทะเบียนเลยหรือครับ
ผมว่าหากทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่กันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าของซากรถแล่นได้เหล่านี้
จะต่อทะเบียนมาได้เลย และหากเอามาใช้งานทั้งๆ ที่ไม่มีทะเบียนหรือใช้ทะเบียนปลอม
ดูจากสภาพรถก็น่าจะถูกตำรวจจราจรตรวจหรือจับภายในไม่เกินสิบนาทีอยู่แล้ว
เมืองเถื่อนเท่านั้นครับที่มีรถเถื่อนเต็มเมืองได้ ซื้ออุปกรณ์รถยนต์โดยไม่ถูกยัดเยียดได้แล้ว
ผมเป็นขาประจำตัวจริงของห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ที่สุดของเมืองไทย โดยเฉพาะที่อยู่ย่านถนนเพลินจิตนั้นเยี่ยมมาก
บรรยากาศดี บุคลากรถูกคัดเลือกและอบรมมาอย่างดี จึงมีบริการที่ดีมีคุณภาพ ยกเว้นแผนกเดียวที่ผมเข้าไปไม่ได้
คือแผนกอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ เพราะเพียงแค่ย่างก้าวเฉียดเข้าไปเท่านั้น ก็จะถูกพนักงานขายรุมต้อน
ให้คำแนะนำผิดๆ แบบที่คนพอมีความรู้เรื่องรถอย่างผม ไม่สามารถ "รับ" ได้ มันเป็นวิธีต้อนลูกค้าให้ประหม่า
แต่คนที่ไม่ประหม่าในเรื่องนี้ จะเกิดความรำคาญและอาจบันดาลโทสะได้ด้วย
ผมจึงเลิกแวะแผนกนี้อย่างเด็ดขาดมาประมาณ 10 ปีแล้ว เลยสบายหน่อยครับ
ไม่ต้องได้ยินคำถามว่ารถของผมวิ่งมากี่หมื่น กม. แล้ว ถ้าลองบอกไป
ก็จะได้คำแนะนำว่าต้องใช้น้ำมันเครื่องยี่ห้อไหน รุ่นไหน จึงจะถูกต้อง
ไร้สาระมากครับ เครื่องยนต์สมัยนี้ทนทานมาก เพราะฝีมือผลิตแม่นยำ วัสดุคุณภาพสูง ใช้งานได้อย่างน้อยที่สุด
200,000 กม. โดยเครื่องยังไม่ "หลวม" แน่นอน เพราะฉะนั้นถ้าน้ำมันเครื่องอะไรดี มันก็จะดีสำหรับเครื่องยนต์ของเรา
ไม่ว่ารถของเราจะวิ่งไป 5 หมื่น หนึ่งแสน แสนกว่า หรือว่าสองแสนกิโลเมตรก็ตาม ผมขอยกตัวอย่างเรื่องเดียวครับ
ที่จริงมีสนุกกว่านี้อีกหลายเรื่อง
เมื่อเลิกแวะเข้าไป แต่ใจยังสนใจผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาดบำรุงรักษารถยนต์อยู่ ก็ทำได้เพียงเดินผ่านห่างๆ
แล้วรีบกวาดสายตาเข้าไปสำรวจอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันความหงุดหงิดดังกล่าว เพราะถ้าหยุดชะงัก
"กรรมวิธีต้อนหมู" ก็จะเริ่มขึ้นทันที ผมสอบถามเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ที่เป็นคนปกติ
ก็ได้ทราบว่าพวกเขาก็รู้สึกอย่างผม และเลิกเข้าแผนกนี้ไปหลายคนเหมือนกัน ยกเว้นจำเป็นจริงๆ
ก็จะเข้าไปคว้าสินค้าที่ต้องการและรีบจ่ายเงินเลย
นี่คือที่ผ่านมาในอดีต และผมไม่อยากนำมาเขียนในคอลัมน์นี้ เพราะค่อนข้างไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ
เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ผมจำเป็นต้องเข้าไปซื้อยาขัดสีรถ ก็กัดฟันเข้าไปเช่นเคย ปรากฏว่าผิดคาด
เพราะการรุมลูกค้าแบบสามรุมหนึ่ง และพูดแบบน้ำท่วมทุ่งหายไปหมด หรือท่าทีแบบทีใครทีมัน หรือถึงคิวใคร
ที่จะเชือดหมูตัวนี้ หายไปในระดับที่รู้สึกได้ทันที
ผมได้แต่สันนิษฐานว่าฝ่ายบริหารคงได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าหลายรายแน่นอน
แต่วิธีการโมเมเพื่อให้ขายสินค้าได้ก็ยังมีอยู่ เพราะผมเจอกับตัวเอง บางอย่างค่อนข้างร้ายแรง
เพราะแนะนำผลิตภัณฑ์ผิดประเภท ใช้แล้วเกิดความเสียหายแบบแก้ไขไม่ได้
ผมเชื่อว่าต้นเหตุ มาจากระบบให้ค่าตอบแทนแบบแบ่งส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซนต์ ทำให้พนักงานขายไม่เกียจคร้าน
แต่วิธีนี้เป็นดาบสองคมครับ นอกจากจะต้องขายแบบยัดเยียดแล้ว
ก็จะอยากขายสินค้าเฉพาะที่ตัวแทนมากระซิบแถมค่าตอบแทนให้พิเศษ ถ้ามีการปรับเปลี่ยนวิธีให้ค่าตอบแทน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ก็อยู่ในวิสัยที่ทำได้ ผมว่าจะทำให้จุดอ่อนของแผนกนี้ของทุกๆ ห้าง
ไม่ใช่เฉพาะในเครือนี้ที่มีแผนกอุปกรณ์รถยนต์หมดไปได้
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน เมษายน ปี 2545
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/99