ทั่วไป
-
ศิลปิน : ED HARCOURT
อัลบัม : HERE BE MONSTERS
แนวเพลง : ACOUSTIC ROCK
โปรย : "สีสันใหม่กับงานในแนว ACOUSTIC ROCK"
ศิลปินหนุ่มผู้มุ่งมั่นกับการทำงานทางดนตรี และการแต่งเพลง ก่อนหน้าที่จะออกอัลบัมเต็มนี้ เขาได้แต่งบท
เพลงไว้อย่างมากมาย ประมาณว่าเป็นร้อยๆ เพลงกันเลยทีเดียว เนื้อหาในการแต่งเพลงส่วนใหญ่จะมา
จากประสบการณ์ชีวิต และเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเขาจะใส่ความรู้สึกกับจินตนาการ
เข้าไปด้วย
หนุ่มคนนี้ไม่ได้มีความสามารถทางด้านการแต่งเพลงอย่างเดียว เขายังมีพรสวรรค์ในการเล่นเครื่อง
ดนตรีอีกด้วย ถ้าดูจากเครื่องดนตรีที่เขาใช้เล่นในอัลบัมชุดนี้ มีร่วม 20 ชิ้นทีเดียว ซึ่งมีทั้งเครื่องเป่า
เครื่องเคาะ และเครื่องดีด บีวอกซ์ (B. VOX) และแซมเพิลส์ (SAMPLES) ซึ่งเป็นอุปกรณ์การทำ
ซาวน์ดดนตรีของคนยุคใหม่
ED HARCOURT อาจจะเป็นเด็กหนุ่มหน้าใหม่ของวงการ แต่แนวดนตรีที่เขาทำนั้น ล้วนเกิดจากการทุ่ม
เทด้วยจิตวิญญาณของคนหนุ่มวัย 23 ปี นั่นถือว่าเป็นการทำดนตรีในแบบผสมผสาน เสียงร้องที่เป็นมิตร
ของเขา บวกกับเสียงของเครื่องดนตรียุคใหม่ และบีทที่น่าฟัง
ในอัลบัมชุดนี้ เขาได้ร่วมงานกับ HADRIAN GARRARD มือทรัมเพทฝีมือฉกาจ ส่วน ARNULF LINDNER
เข้ามาดูแลในเรื่องเบสส์ NICK YEATMAN ผู้ที่มีเรื่องตลกมาเป็นคนควบคุมจังหวะ อย่างพวกกลอง และ
เครื่องเคาะทั้งหลาย และ LEO ABRAHAMS มือกีตาร์ที่หาตัวจับยาก ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า ยังมีนัก
ดนตรีมืออาชีพอีกหลายคน ที่เข้ามาร่วมงานนี้
ดังนั้นคุณภาพในส่วนของภาคดนตรีของเขา ถือว่าสอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะด้วยการให้จังหวะ
และอารมณ์สอดคล้องกับเนื้อหาของบทเพลง ทั้งดนตรีที่ทำนั้นฟังง่ายๆ แต่มีความละเอียดในการทำ จะมี
ก็คงเป็นเพลง BENEATH THE HEART OF DARKNESS ที่ใช้ซาวน์ดค่อนข้างอีเลคทรอนิคส์เยอะหน่อย
ส่วนเพลงอื่นๆ ก็ยังคงโทนของอคูสติคไว้อยู่ โดยเฉพาะเสียงของเพียโน และทรัมเพท
ศิลปิน : KYLIE MINOGUE
อัลบัม : FEVER
แนวเพลง : POP DANCE
โปรย : "30 ยังแจ๋ว แม่กระดังงาลนไฟ"
วันคืนผ่านไป ไวเหมือนโกหก นับจากก้าวแรกในวงการเพลงเมื่อปี 1987 เมื่อโพรดิวเซอร์หนุ่มอย่าง
PETE WATERMAN นำเธอมาบันทึกเสียงในเพลง I SHOULD BE SO LUCKY ซึ่งทำให้เธอดังเหมือน
คลังแสงระเบิด เพราะเพลงของเธอไต่อันดับหนึ่ง ทั้งในอังกฤษ และออสเตรเลีย ถิ่นกำเนิดของเธอ
เมื่ออัลบัมแรก KYLIE ออกมา เธอก็ได้หัวใจของชาวอเมริกันมาครอบครอง ทำให้ฐานแฟนเพลงของ
เธอขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว ใครจะไปนึกว่าดาราเด็กชาวออสเตรเลียผู้นี้ จะโด่งดังได้ถึงขนาดนี้ แม้ว่า
เวลาผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว กระทั่งปัจจุบัน ตัวเธออายุปาเข้าไปเลขสามแล้ว ชื่อเสียงของเธอก็ไม่ได้จาง
หายไป กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น อย่างซิงเกิล CAN T GET YOU OUT OF MY HEAD ที่เธอปล่อยออกมา
ก็ขึ้นแท่นอันดับหนึ่ง บนชาร์ทของอังกฤษ
ตอนนี้เธอกลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้ง กับอัลบัมใหม่ FEVER ซึ่งมีซิงเกิลยอดนิยมอย่าง CAN T
GET YOU OUT OF MY HEAD บรรจุไว้ด้วย เพลงเด่นในอัลบัมนี้ คงจะได้แก่เพลง MORE MORE MORE,
FEVER และ COME INTO MY WORLD
บทเพลงในอัลบัมชุดนี้ เธอมีส่วนร่วมในการแต่งด้วย อย่างเพลง LOVE AT FIRST SIGHT หรือเพลง
GIVE IT TO ME เป็นต้น ไม่แน่ว่าอัลบัมใหม่ชุดหน้า เธออาจจะลงมือแต่งเพลงเองทั้งหมดเลยก็ได้ ใน
การทำงานของอัลบัมชุดนี้ เธอได้ถ่ายทำเบื้องหลังไว้ด้วย โดยใช้ชื่อว่า FEEL THE FEVER โดยเริ่มตั้ง
แต่การเข้าทำงานในสตูดิโอบันทึกเสียง การถ่ายทำมิวสิควิดีโอ การถ่ายทำปกอัลบัม แล้วแทรกด้วยมุม
สัมภาษณ์
สำหรับความเซกซีของเธอ คงไม่ต้องกล่าวถึง เพราะดูแค่ปกอัลบัมก็เร้าใจแล้ว "LA LA LA LA LA
LA LA LA LA..."
ศิลปิน : MICHAEL JACKSON
อัลบัม : INVINCIBLE
แนวเพลง : POP
โปรย : "มนุษย์พลาสติคแห่งยุค 2000"
เขาคือผู้พลิกวงการเพลง POP ของโลก ด้วยการทำซาวน์ดสมัยใหม่เข้ามาใช้กับบทเพลง แล้วเพิ่มสีสัน
ในการแสดงด้วยท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้ร่างกายของเขาจะทำศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือน้ำเสียงสดใสของเขา
การกลับมาคราวนี้ คงจะเป็นที่กล่าวขานกันอีกครั้ง ด้วยศักดิ์ศรี และความเก๋า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนาน
เท่าใด ก็ไม่ได้ทำให้มนต์ขลังของเขาเสื่อมความนิยมลงไปเลย ด้วยการยืนหยัดในวงการมากว่า 30 ปี
จากสถิติเจ้าของรางวัลแกรมมีถึง 12 รางวัล และสถิติยอดจำหน่ายสูงสุดในโลก จากอัลบัม THRILLER
ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าอัลบัมชุดนี้ ยังคงติดอันดับในชาร์ทจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นผลงานที่ออกมาตั้งแต่ปี
1982 ก็ตาม
อัลบัม INVINCIBLE ผลงานใหม่ที่ได้ทีมงานคุณภาพระดับหัวกะทิ ไม่ว่าจะเป็น RODNEY JERKINS,
TEDDY RILEY, R. KELLY, BABYFACE และ DR. FREEZE เข้ามาร่วมกันผสมผสานงานในอัลบัม
สร้างความกลมกล่อมให้เกิดขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น MICHAEL JACKSON
นอกจากนี้ เขายังได้นักร้องระดับแถวหน้ามาร่วมด้วย โดยเฉพาะการร้อง RAP ได้น้ำเสียงอย่าง THE
NOTORIOUS BIG กับ FATS ซึ่งพวกเขาก็มาสร้างสีสันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเพลง UNBREAKABLE หรือ
HEARTBREAKER และ INVINCIBLE
สำหรับแฟนขาประจำคงตั้งหน้าตั้งตารอ กับอัลบัมชุดนี้อยู่แน่ๆ เพราะเขาทิ้งระยะห่างจากอัลบัมชุดที่แล้ว
นานมากทีเดียว ผลงานในอัลบัมชุดนี้ ยังคงเอกลักษณ์ของ MICHAEL ไว้อย่างครบถ้วน แม้จะมีการนำสำ
เนียง LATIN มาใช้บ้างก็ตาม
ผลงานชุดนี้ จะโด่งดังได้ขนาดไหนนั้น คงต้องรอการพิสูจน์ แต่สิ่งที่ไม่ต้องรอ คงจะเป็นการหยิบอัลบัม
เก่าในอดีต ที่ทางต้นสังกัดนำมารีมาสเตอร์อีกครั้ง ซึ่งได้แก่อัลบัม OFF THE WALL, THRILLER, BAD
และ DANGEROUS ถ้าใครยังไม่มีอัลบัมไหน ลองไปหาเอาไว้ฟังก็แล้วกัน
ศิลปิน : NATALIE IMBRVGLIA
อัลบัม : WHITE LILIES ISLAND
แนวเพลง : POP ROCK
โปรย : "พรสวรรค์ และความเป็นตัวเอง ทำให้เธอมีเสน่ห์"
ถึงจะดูเรียบง่ายคล้ายๆ เด็กหัวอ่อน แต่เธอก็มีความเป็นตัวเองค่อนข้างสูง ถ้าเธอคิดจะทำอะไรแล้ว
ใครจะมาเปลี่ยนความคิดเธอ ต้องบอกว่ายากสักหน่อย
ความโด่งดังของเธอกำลังตามรอยรุ่นพี่อย่าง KYLIE MINOGUE ซึ่งเธอทั้งสองมีความคล้ายกันตรงที่เป็น
ชาวออสเตรเลีย และก็เริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงเหมือนกัน ก่อนที่จะมาจับไมค์ แต่ NATALIE
IMBRUGLIA เธอแตกต่างออกไป เธอไม่ใช่ POP DANCE แล้วไม่สนใจกับเพลงเหล่านั้น ในช่วงแรก
ก่อนที่เธอจะออกอัลบัม LEFT OF THE MIDDLE มีค่ายเพลงจำนวนมากให้เธอทำเพลงในแบบ POP
DANCE สิ่งที่เธอทำก็คือ การปฏิเสธในทันที
ซิงเกิล TORN แม้ว่าเธอจะมีส่วนร่วมในการทำเพลงน้อยก็ตาม แต่มันคือตัวเธอ ส่งผลให้ดาราสาวคนนี้
กลายมาเป็นพอพสตาร์ทันที อัลบัม WHITE LILIES ISLAND งานใหม่ที่เธอใช้เวลาในการแต่งเพลง
กว่า 1 ปี ว่ากันว่าเธอเขียนเพลงไว้ถึง 40 กว่าเพลง เพื่อเลือกมาใช้กับอัลบัมชุดนี้ ส่วนทีมงานในการ
ทำดนตรี เธอยังคงร่วมงานกับทีมเก่า ที่เคยทำในอัลบัมชุดแรก และมีเสริมเข้ามาอีกบางส่วน ในการ
บันทึกเสียง เธอทำใน อังกฤษ และ อเมริกา ดังนั้น อย่างแปลกใจ ถ้าจะมีซาวน์ดของฝั่งอังกฤษ
และอเมริกา ปนอยู่ในอัลบัมชุดนี้
บทเพลงที่คุ้นหูในอัลบัมชุดนี้ เห็นจะเป็นเพลง THAT DAY ซึ่งมักจะได้ยินจากทางสถานีวิทยุในบ้านเรา
ค่อนข้างมาก ถ้าเทียบงานชุดนี้กับงานชุดที่แล้ว ซาวน์ดดนตรียังคงไม่มีความแตกต่างกันเท่าไหร่ ถึงแม้ว่า
จะใส่ซาวน์ดพวกอีเลคทรอนิคส์เข้ามาบ้างก็ตาม แต่ก็ยังคงความนุ่มนวลด้วยเสียงของอคูสติคกีตาร์
เหมือนอัลบัมชุดที่แล้ว
ศิลปิน : LENNY KRAVITZ
อัลบัม : LENNY
แนวเพลง : ROCK
โปรย : "ชีวิตที่ทุ่มเทให้กับดนตรี ROCK"
เขาคือศิลปิน ROCK ของยุคปลาย 1980 ที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรี PUNK, SOUL, BLUES และ ROCK
เขาเคยได้รับการลงคะแนนเสียง ในนิตยสารโรลลิง สโตน ให้เป็นนักร้องชายยอดเยี่ยมมาแล้ว นอก
จากนี้ยังได้รางวัลแกรมมีมาถึง 3 รางวัล คงพอเป็นเครื่องรับประกันได้ถึงความสามารถ และผลงาน
ของเขา
LENNY KRAVITZ หนุ่มใหญ่จากนิวยอร์ค เขาเคยร่วมงานกับศิลปินระดับแถวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
MADONNA, MICK JAGGER และ VANESSA PARADIS มาแล้ว
หลังจากว่างเว้นมานาน ตอนนี้เขามาพร้อมอัลบัมใหม่ในนาม LENNY ถึงแม้ว่าจะทิ้งระยะค่อนข้างห่าง
จากอัลบัมชุดที่แล้ว แต่ก็ไม่ทำให้แฟนๆ ต้องผิดหวัง เมื่ออัลบัมชุดนี้เขาทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ทั้งแต่ง
เพลง เรียบเรียงดนตรีเอง โพรดิวศ์งาน และที่ขาดไม่ได้คือ ร้องเองด้วย ต้องเรียกว่า ในอัลบัมชุดนี้
เขาทำทุกอย่าง
กลิ่นอายดนตรียังคงรากของ ROCK แบบนุ่มๆ ซึ่งไม่ถึงขนาดร้อนแรง หรือหนักแน่นชนิดหูระเบิด แต่มี
สำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ในบทเพลงทั้งหมด 12 แทรคนั้น เพลง DIG IN น่าจะคลุมโทนรวมของอัลบัมนี้ แม้จะมีบางเพลงที่โดด
เด่นออกมาสักหน่อย อย่าง BANK ROBBER MAN ที่ฟังแล้วเรียกว่า เป็นเพลงที่หนักหน่วงที่สุดทีเดียว
สำหรับคนที่ไม่เคยฟังดนตรีในแบบ LENNY KRAVITZ และคุณไม่ใช่คนฟังดนตรีที่หนักๆ แล้วละก็ งานของ
เขาก็ถือว่าเป็นดนตรีที่น่าฟัง แต่ถ้าคุณชอบแบบดนตรีชนิดโหดๆ งานของเขาคงจะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
ศิลปิน : LIGHTHOUSE FAMILY
อัลบัม : WHATEVER GETS YOU THROUGH THE DAY
แนวเพลง : POP
โปรย : "พวกเขากลับมาพร้อมความอบอุ่นครั้งใหม่"
PAUL TUCKER และ TUNDE BAIYEWU สองหนุ่มที่เคยฝากผลงานอย่าง OCEAN DRIVE ในปี 1995
และ POSTCARDS FROM HEAVEN ในปี 1997 ซึ่งทั้งสองอัลบัมต่างก็ประสบความสำเร็จทั้งคู่ โดย
เฉพาะอัลบัมชุดที่สองในบ้านเรา คงจะคุ้นเคยกันดี เพราะมีบริษัทรถยนต์ในบ้านเรานำไปเป็นเพลง
ประกอบภาพยนตร์โฆษณา
เอกลักษณ์ของวงนี้ คงเป็นน้ำเสียงของ TUNDE BAIYEWU ที่แสดงถึงความอบอุ่น นุ่มนวล แม้ว่าน้ำเสียง
จะแตกพร่า กับการแต่งเพลง และทำดนตรีของ PAUL TUCKER เขาสามารถดึงพลังดนตรี และเสียง
ร้องมาผสานกันได้อย่างลงตัว
WHATEVER GETS YOU THROUGH THE DAY อัลบัมใหม่ล่าสุด ที่พวกเขาทำได้อย่างก้าวหน้า ทั้งใน
เรื่องความนุ่มนวลของบทเพลง รวมถึงอารมณ์ของดนตรี ซิงเกิลแรกที่ถูกตัดออกมาก่อนคือเพลง
(I WISH I KNEW HOW IT WOULD FEEL TO BE) FREE ของ NINA SIMONE กับเพลง ONE ของ
U2 มาผสมผสานกัน แล้วนำมาถ่ายทอดในสำเนียงของพวกเขา ซึ่งก็ได้ความไพเราะน่าฟังทีเดียว
ส่วนเพลง HAPPY พวกเขาได้แรงดลใจมาจากดนตรี HOUSE ของฝรั่งเศส ซึ่งโดยส่วนตัว TUCKER
มีความชื่นชอบดนตรีในตอนที่ไปอยู่บนเกาะ IBIZA ทำให้เกิดบทเพลงนี้ขึ้น ในเวลานี้ถ้ากล่าวถึงวง
ดูโอชายแล้วละก็ คงไม่มีใครโดดเด่นเท่ากับคู่นี้ เพราะอัลบัมนี้ พวกเขาเอาความอบอุ่นใส่ไว้ในบทเพลง
อย่างเต็มเปี่ยม
เรื่องโดย : ส. ศิลา
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน มกราคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8983